1. SistaCafe
  2. ไม่อยากหน้าแหก อย่าริอาจใช้คู่กัน ชวนซิสส่อง สารในสกินแคร์ที่ 'ห้ามใช้ร่วมกัน' มีอะไรบ้าง

ถ้าจะให้พูดถึงส่วนผสมสกินแคร์ เอาจริงๆ สาธยายให้ฟังสามวัน ยังไม่หมดเลย เพราะส่วนผสมที่ช่วยในการบำรุงผิวมันมีเยอะมาก หลายคนคิดว่า การใช้สกินแคร์รวมกัน ตัวนั้น ตัวนี้ ใช้ด้วยกันคงไม่เป็นไร จริงๆ แล้วเป็นนะ เพราะสารบางตัวจะใช้ร่วมกันไม่ได้ด้วยความที่มันเข้ากันไม่ได้ มันอาจจะไปลดประสิทธิภาพหรือด้อยคุณภาพสกินแคร์ที่เราใช้เช่น อยากได้ผิวกระจ่างใส แต่กลับใช้สกินแคร์สองตัวที่สารไม่เข้ากัน ไปๆ มาๆ ผิวกลับหมองคล้ำหนักกว่าเดิม อะไรแบบนี้ ซึ่งวันนี้เราจะมาดูพร้อมๆ กันค่ะซิสว่าส่วนผสมสกินแคร์ที่ 'ห้ามใช้ร่วมกัน'นั้นมีอะไรบ้าง เตรียมจดเลยนะคะ ไปค่ะ ไปดูพร้อมๆ กันเลย** ทุกครั้งเวลาที่เราเลือกใช้สกินแคร์ สิ่งที่เรานึกถึงคือ มันต้องตอบโจทย์กับสภาพผิว แต่ว่าการรู้เรื่องเหล่านี้ไว้บ้าง ก็ไม่เสียหายนะ รู้ ดีกว่าไม่รู้แล้วใช้ไปแบบมัวๆ ผลสุดท้าย แทนที่ผิวจะดี กลับแย่หนักกว่าเก่า ฉะนั้นรู้ไว้ก่อน เป็นเรื่องที่ดีที่สุดนะคะ **

8 คู่ ส่วนผสมสกินแคร์ที่ไม่ควรใช้ร่วมกัน!

1. Vitamin C + Benzoyl Peroxide

หลายคนอาจจะงงว่า เอ๊ะ! Benzoyl Peroxide หรือ BPO หรือ BP มันคืออะไร จริงๆ แล้วถ้าใครที่เป็นสิวบ่อยๆ น่าจะรู้จักกันดีอยู่ มันคือสารตัวนึงที่ช่วยลดการอุดตันและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวนั่นเอง ซึ่งว่ากันว่า เราไม่ควรใช้สกินแคร์ที่มีสารตัวนี้ ร่วมกับวิตามินซีนะ เพราะมันไม่เป็นผลดีต่อผิวของเราเท่าไหร่นัก เพราะ Benzoyl Peroxide ค่อนข้างกัดผิว ช่วยละลายหัวสิวสำหรับคนที่รักษาสิว ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแสบ แดง คันยิบๆ ถ้าใช้คู่กับ Vitamin C จะเกิดออกซิเดชั่น ผิวจะยิ่งอักเสบ และระคายเคือง  ซึ่งไม่โอเค!

2. Vitamin C + Retinol

Retinol เป็นอีกหนึ่งสารที่เรามักจะเห็นในสกินแคร์กันอยู่บ่อยๆ ตัวนี้จะช่วยในเรื่องของการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และคอลลาเจน ช่วยลดริ้วรอย ปรับให้ผิวดูสดใสขึ้นได้ คนที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยน่าจะรู้จักสารตัวนี้ดีเลยละ! ซึ่ง Vitamin C และ Retinol มีคุณสมบัติที่คล้ายๆ กัน แต่ใช้ร่วมกันไม่ได้นะ เพราะทั้งสองตัวจะทำงานได้ดีในค่า pH ที่ต่างกัน Retinol จะทำงานได้ดีที่ค่า pH 5.5 - 6 แต่ Vitamin C ทำงานได้ดีที่ค่า pH น้อยกว่า 3 เพราะงั้นถ้าเราใช้ทั้งสองตัวนี้ร่วมกัน จะไม่ได้ทำให้ผิวของเราดีขึ้น แต่จะยิ่งไปลดประสิทธิภาพของตัวใดตัวหนึ่งแทน ทำให้ผิวของเราได้รับการบำรุงผิวที่ไม่คุ้มค่าเอาซะเลย

3. Vitamin B3 + AHA

การใช้สารทั้งสองตัวนี้ร่วมกัน อาจจะไม่ก่อให้ผิวเกิดการระคายเคืองก็จริง แต่ใช้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้ผิวดีขึ้นเท่าไหร่นะ เพราะสารทั้งสองตัวนั้น ไม่ได้ส่งเสริมกันอยู่แล้ว ฉะนั้นเลือกใช้แค่ตัวใดตัวหนึ่งก็พอนะคะ เพราะ Vitamin B3 มีส่วนช่วยเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรงและจะทำงานได้ดีในค่า pH ที่เป็นกลาง ในขณะที่ AHA เป็นสารที่ทำให้ค่า pH บนผิวนั้นไม่สมดุล ฉะนั้นเมื่อทั้งสองสารนี้ผนวกเข้าด้วยกัน จะทำให้การทำงานของ Vitamin B3 มีประสิทธิภาพที่ลดลง ต่อให้ใช้ต่อเนื่องในช่วงระยะเวลานึง ก็ไม่เห็นผลเท่าที่ควร เพราะงั้นไม่ควรจับสารทั้งสองตัวนี้ใช้คู่กันนะคะ

4. Vitamin C + AHA

นอกจาก AHA จะไม่ควรใช้ร่วมกับ Vitamin B3 แล้ว ยังไม่ควรใช้ร่วมกับ Vitamin C เพราะ AHA มีส่วนที่ทำให้การทำงานของวิตามินซีลดลงได้ ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าใช้คู้กันแล้ว มันก็ไม่เวิร์กใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นเลือกใช้ตัวใดตัวนึงจะดีกว่า Vitamin C กับ AHA ที่มีฤทธิ์เป็นกรดทั้งคู่ ยิ่งฝืนใช้ด้วยกันแล้ว ไม่ใช่แค่ไปลดประสิทธิภาพของวิตามินซีเพียงอย่างเดียว แต่จะยิ่งทำให้ผิวของเราเสียสมดุลด้วย

5. Vitamin C + Niacinamide

Niacinamide หรือก็คือ Vitamin B3 ทำไมถึงไม่ควรใช้คู่กับ Vitamin C นะ ตัวนึงก็ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น อีกตัวก็ช่วยให้ผิวกระจ่างใสเปล่งปลั่ง น่าจะใช้ด้วยกันได้ แต่จริงๆ แล้ว ไม่ได้นะคะ! การใช้ Vitamin C ร่วมกับ Niacinamide จะทำให้ผิวที่ควรกระจ่างใสของเรา แลดูหมองคล้ำมากยิ่งขึ้น! เพราะทั้ง 2 สารนี้จะไปลดประสิทธิภาพของกันและกัน ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองขึ้นได้ แต่ในปัจจุบันก็มีสกินแคร์บางตัว ที่หยิบสารทั้งสองตัวมาผนวกเข้าด้วยกันในสกินแคร์ตัวเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะนั้นถูกผลิตมาในปริมาณที่ใช้ร่วมกันได้ ฉะนั้นไม่ต้องกังวลไปนะจ๊ะ

6. Salicylic + Glycolic

สารทั้งสองตัวนี้ มีส่วนช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิวเหมือนกัน แต่ใช้ร่วมกันไม่ได้นะจ๊ะ! พราะเขาคือ AHA และ BHA ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวหากมีค่าเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากเกินไป แทนที่จะไปช่วยลดจุดด่างดำ ริ้วรอย ความหมองคล้ำให้ดีขึ้น กลับทำให้ผิวของเราพังหนักขึ้นแทนล่ะสิไม่ว่า เพราะการใช้ดับเบิลสารผลัดเซลล์ผิวร่วมกันถึง 2 ตัว จะไปทำให้ค่าการผลัดเซลล์ผิวมีมากจนเกินไป ก่อให้เกิดผิวแห้ง ผิวลอก และผิวไม่แข็งแรงขึ้นได้ เพราะงั้นเลือกใช้ตัวใดตัวนึง และไม่ควรใช้ติดต่อกันทุกวันด้วยนะคะ

7. Retinol + AHA/BHA

นี่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพราะทั้งสองสารนี้ ก็เป็นสารที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเหมือนกัน! ซึ่ง Retinol ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ลดริ้วรอย และ AHA/BHA ก็ช่วยผลัดเซลล์ผิวเช่นกัน ถ้าเราใช้สารทั้งสองตัวนี้ร่วมกัน จะยิ่งเป็นการไปเร่งผลัดผิวแบบคูณสอง อย่าคิดว่า ก็ดีซิ! ผิวจะได้ใสๆ ไบรท์ๆ ขึ้นไวๆ ไง ไม่ใช่นะคะ! ผิดอย่างที่เพื่อนๆ คิดเลยค่ะ เพราะถ้าเราใช้ทั้งสองตัวนี้ร่วมกัน จะทำให้ผิวของเราบางลง ไวต่อแสงแดดมากขึ้น ทำให้ผิวง่ายต่อการคล้ำเสีย หรือเกิดผื่นแดงได้ง่ายกว่าเดิม เพราะงั้นอย่าใช้คู่กันเลยนะ

8. Retinol + Scrub

อย่างที่เพื่อนๆ รู้กันว่า Retinol ช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิว ปรับผิวกระจ่างใส และลดริ้วรอย ซึ่งแม้จะมีผลดี ก็ตามมาด้วยผลเสียเช่นกัน เพราะจะทำให้ผิวของเราไวต่อแสงมากขึ้น บางคนที่มีผิวบอบบางอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ด้วย แล้วยิ่งถ้าเราใช้เขาคู่กับ Scrub ขัดผิวไปด้วยแล้ว โอ้โห! ความพังบังเกิดขึ้นแน่นอนสิคะ จากผิวที่บางอยู่แล้ว ก็จะยิ่งบางหนักขึ้นไปอีก ผลที่ตามมากคือ ผิวระคายเคือง แห้งลอกได้ง่ายขึ้น เพราะงั้นถ้าเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Retinol อยู่ แนะนำว่าอย่าใช้ร่วมกับ Scrub นะ

ลองอ่านกันดูนะ แล้วลองดูว่า เอ๊ะ! ทุกวันนี้สกินแคร์ที่เราใช้ๆ กันอยู่ มันมีส่วนผสมสกินแคร์ที่ไม่ควรใช้คู่กันรึเปล่า เอาจริงๆ ลองสังเกตผิวดูก็ได้ว่า ใช้ตัวนี้คู่กับตัวนี้แล้ว ผิวดีขึ้นมั้ย หรือผลที่ได้ออกมากลับแย่ลง แล้วเดี๋ยวเราจะเก็ทเองว่า อ่อ เนี่ยถ้าไม่แพ้ ก็ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ การใช้สกินแคร์ก็แบบนี้แหละ ลองผิดลองถูก ถ้าไม่เวิร์กก็หยุดใช้ อย่าดันทุรังใช้ไปจนหมดนะ เดี๋ยวหน้าจะแหก!สำหรับวันนี้ต้องลาไปก่อนแล้ว บ๊ายบาย

เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้