1. SistaCafe
  2. รู้จักเธอคนนี้ให้มากขึ้น Johnnifer The Voice Season 3
div-gpt-ad-1738652799410-17388492

สวัสดีค่ะ คราวที่แล้วเราได้รับคำแนะนำดี ๆ เรื่องการเตรียมตัวไปประกวดร้องเพลงจากพี่จอห์นนิเฟอร์ไปแล้ว แถมยังได้เคล็ดลับในการแต่งหน้าอีก คราวนี้เรามาคุยเกี่ยวกับตัวพี่จอห์นกันดีกว่า ว่ามีอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจให้มาประกวดร้องเพลงที่เวทีThe Voice Thailandได้ ก่อนอื่นต้องขอให้พี่จอห์นแนะนำตัวเองกันก่อนเลยค่ะ


ชื่อจริง :ปณต เรืองรัตนจินดา

ชื่อเล่น :จอห์นนี่

ปัจจุบันใช้ชื่อจอห์นนิเฟอร์

ชื่ออื่นๆ :แอน(ชื่อนี้มาจากเพื่อนๆ สมัยที่ยังเรียนมัธยมอยู่ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน มาจากคำว่า‘animal’) o[]O

การศึกษา :โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนชั้นป.1-ม.6 (12 ปี)




มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

คณะมนุษยศาสตร์

เอกภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสารธุรกิจ


ชอบร้องเพลงมานานแล้วรึยัง?

พี่ชอบดนตรี ชอบเสียงเพลงตั้งแต่เด็ก มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้มาร้องเพลงคือ

ช่วงสมัยเด็กๆ อยากเรียนเปียโน

สนิทกับอาจารย์ที่สอน เขาก็คิดแต่ค่าเรียน (ตอนนั้นฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี) อาจารย์บอกว่าพวกหนังสือหรือตำราไม่ต้องไปซื้อ เอาของครูไปซีร็อก แต่สุดท้ายคุณแม่มีเรื่องที่ต้องใช้เงิน ก็เลยไม่ได้เรียน พี่เลยคิดว่าจะทำยังไงให้ตัวเองเข้ามาอยู่ในสายดนตรีได้ เลยเลือกที่จะมาร้องเพลงแทน เป็นสิ่งที่คงไม่ต้องไปเรียนที่ไหน


ตอนเด็กๆ มีใครที่เป็นศิลปินในดวงใจ?

ตั้งแต่เด็กๆ เลยก็มีค่ะ เป็นวงที่คุณพ่อเปิดให้ฟังบ่อย ท่านจะฟังเพลงสากลมาโดยตลอด ส่วนคุณแม่ก็จะชอบฟังเพลงลุกกรุง โดยเฉพาะของคุณพี่ก็ชอบเหมือนกัน

เพลงที่ชอบที่สุดของ The Carpenters คือเพลงอะไร?

เพลงที่นึกถึงอยู่ตลอดก็คือเพลง


Close to you


ค่ะ เหมือนเป็นเพลงหากินเลยก็ว่าได้


การร้องเพลงต้องใช้ฟิลลิ่ง ไม่ต่างจากศาสตร์การแสดงเลย มีวิธีอะไรที่ทำให้ตัวเองอินไปกับเพลงนั้นๆ?

อย่างแรกคือเราควรจะต้องเข้าใจเนื้อเพลง ความหมายของเพลงก่อน

กิจกรรมที่เคยทำ เกี่ยวกับการร้องเพลง

ตอนเด็กๆ ที่โรงเรียนจะมีจัด English Day พี่ชอบร้องเพลงประสานเสียงกับเพื่อนสนิทอีก 2 คน ช่วงนั้นมีไอดอลตอนเด็กๆ คือครบ 3 คน พวกพี่ก็อุปโลกน์ตัวเองเป็นกันสุดฤทธิ์ อย่างพวกพี่จะเป็น(พี่เป็นแอน ตามที่ทราบกัน) ปัจจุบันก็ยังเรียกกันแบบนี้อยู่ (หัวเราะ) ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าไลน์ประสานเสียงมันทำยังไง อาศัยการใช้หูฟังเอาล้วนๆ ซึ่งมันเป็นความโชคดีที่หูเราไม่เพี้ยน เวลาร้องเพลงเสียงเลยไม่เพี้ยนตามค่ะ จำได้แม่นเลย เพลงที่ชอบร้องคือเพลงมีรุ่นพี่มาดีดกีต้าร์ให้ ทุกคนก็จำได้นะ เวลานึกถึงการร้องเพลงก็จะนึกถึงปณตขึ้นมาเลย

หลังจากจบจากกรุงเทพคริสเตียนก็ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ช่วงปี 2 เพื่อนก็ชวนให้ไปเข้าแข่งขันCoke Music Awardตอนนั้นชนะการประกวดประเภทวงดนตรีของมหาลัยก่อน แล้วก็ไปแข่งอีกทีที่หน้า(ปัจจุบันคือเซ็นทรัลเวิร์ล) แต่ไม่ได้ชนะค่ะ ได้รอง เค้าให้ร้อง 3 เพลง วงพี่ร้องเพลงแรกคือเพลงที่สองเป็นเพลงที่พี่ร้อง คือเพลง(ร้องเพลงนี้ได้ตั้งแต่ตอนนั้นเลย เนื้อเพลงก็หายาก ต้องให้อาจารย์ฝรั่งช่วยแกะเนื้อให้) ส่วนเพลงที่สาม เป็นเพลงที่สมาชิกในวงแต่งขึ้นมาคือเพลง(เพลงของวง)

ทำไมไม่ไปร่วมในวง Soul After Six กับเพื่อนๆ?

เรามีความรู้สึกว่า สถานภาพอย่างเรา ณ ตอนนั้นคงไม่น่าจะ ไม่ค่อยมีความมั่นใจ เลยไม่ได้ไปคลุกคลีอะไรกับเค้า


ช่วงเรียนจบไปทำงานอะไร?

จบมาปุ๊บตอนปี 2540 โชคดีที่ไม่ต้องไปหางาน เพราะมีญาติที่ทำโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ตามออเดอร์ญี่ปุ่น ส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก ก็ทำงานอยู่ประมาณเกือบ 3 ปี ก็สนุกดีนะ เหมือนได้ทำทุกหน้าที่เลย (จริงๆ หน้าที่ของพี่คือทำเอกสารส่งออกค่ะ) ได้เจอลูกค้าญี่ปุ่นที่เราต้องไปเทคแคร์ () ก็พูดภาษาญี่ปุ่นสลับกับภาษาอังกฤษบ้าง

ชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจขนาดนี้ แล้วทำไมถึงจับพลัดจับผลูมาเป็นช่างแต่งหน้าได้?

ในช่วงที่เรียนแต่งหน้า มีเพื่อนผู้หญิงที่ทำงานร้องเพลงอยู่ในโรงแรมก็ชักชวนให้มาร้องเพลงแทนบ้าง (เค้ามีรับงานร้องเพลงในงานข้างนอกด้วย โดยเฉพาะช่วงปลายปีนี่ยุ่งเลย)  ก็เอาประสบการณ์ที่ copy วงในเพลงนี่แหละมาร้อง แขกในโรงแรมก็ประทับใจ อาจเป็นเพราะพี่พูดภาษาอังกฤษได้อยู่แล้ว เลยมีการเอ็นเตอร์เทนพูดคุยกับแขกบ้าง จากตอนนั้นพี่ก็เลยได้ร้องเพลงอีกครั้ง แล้วก็เก็บเงินที่ได้จากการร้องเพลงไปเรียนแต่งหน้าที่ของ(เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว)

ช่วงที่พี่เรียนแต่งหน้าที่อาจารย์ก็เห็นว่าหน่วยก้านดี จบเร็ว เลยส่งให้ไปฝึกงานที่ช่อง 9แต่งหน้าผู้ประกาศข่าว สมัยนั้นไม่ได้มีข่าว 24 ชั่วโมงเหมือนทุกวันนี้ มีแค่ช่วงเช้าก็หมดแล้ว ตกเย็นพี่ก็ต้องรีบออกจากช่อง 9 อสมท.กลับบ้านไปเตรียมตัวไปร้องเพลงต่อ (แล้วบ้านอยู่นู่นค่ะ เทพารักษ์) ร้องเพลงเสร็จประมาณเที่ยงคืน-ตี 1 บางทีก็มีงานเลี้ยงด้วย ตอนนั้นได้งานละ 350 บาทเองมั้ง ร้องกับวงที่เปิดเป็นคาราโอเกะ เปิดด้วยคอมพิวเตอร์ ก็จะมีหัวหน้าวงมาคอยคุม วันไหนมี 2 งานก็ได้ 700 แล้ว แต่งานที่ไปฝึกที่ช่อง 9 ได้วันละ 150 บาทเอง (แต่ก็ต้องทำค่ะ ดีกว่าไม่มีอะไรทำ)

พอออกจากช่อง 9 มาได้อาทิตย์กว่าๆ อาจารย์ที่สอนแต่งหน้าก็โทรมาให้ไปช่วยแต่งหน้าในงานงานนึง ต้องใช้ช่างเยอะ ตอนนั้นพี่ก็ตามเค้านั่งรถทัวร์ไป (เป็นรถแบบฉิ่งฉาบทัวร์ กระเทยเต็มไปหมดเลย) ตอนนั้นเองก็ไปเจอเพื่อนรุ่นพี่คนนึงที่เป็นคนชักนำให้เข้าสู่วงการแต่งหน้าอีกครั้ง จนถึงตอนนี้ก็ 16 ปีมาแล้วค่ะ(ตั้งแต่ปี 2542)


งานที่รับแต่งหน้าส่วนใหญ่เป็นการแต่งหน้าเนื่องในโอกาสอะไร?

สมัยที่ยังอยู่ช่อง 9 ก็มี contact กับทีมงานในนั้นบ้าง ก็จะมี

แต่งหน้าสำหรับถ่ายรายการถ่ายหนังละครออกงานอีเว้นท์

มีมาเป็นช่วงๆ ค่ะ ได้แต่งหน้าดารามาก็หลายคน ส่วนมากจะเป็นงานอีเว้นท์นั่นแหละ


กลับมาเรื่องร้องเพลงกันบ้าง…


ทำไมถึงกลับมาร้องเพลง?

เป็นช่วงที่มีค่ะ เจอเพื่อนๆ พี่ๆ ที่รู้จักเต็มไปหมด รวมถึงเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วย เค้าก็มีถามว่าแต่ก็ไม่ได้มีงานเยอะนะ อาจเป็นเพราะเราหลุดจากวงการของดนตรีมานานแล้ว เวลามีคนติดต่อให้ไปร้องเพลงก็จะเป็นลักษณะปากต่อปากกันซะมากกว่า

ชื่อ “จอห์นนิเฟอร์” มีแรงบันดาลใจมาจากอะไร?

มาจากศิลปินที่เรารักมากๆ คนนึง ก็คือ พี่เพราะพี่รู้สึกว่าเค้าเป็นนักร้องผู้หญิงคนแรกที่ร้องเพลงอะไรๆ ก็ดูไม่น่าเบื่อ มีการอิมโพรไวส์และใส่ฟิลลิ่งตลอดเวลา เป็นการช่วยในการทลายกำแพงในการร้องเพลงของเราได้ดี ตัดความกลัวว่าเวลาร้องเพลงจะออกมาดูไม่สวย มีพี่คิ้มนี่แหละที่เปิดโลกทัศน์ให้กับเรา อย่างชื่อเล่นพี่จริงๆ ก็ชื่อเลยคิดว่าใช้ชื่อก็ได้เนอะ

ก่อนจะมาที่ The Voice พี่จอห์นเคยประกวดร้องเพลงที่ไหนมาก่อนมั้ย?

ไม่เคยเลยค่ะ เคยแต่ไป The Voice ใน Season 2 แต่ก็ไม่ติด มาติดตอน Season 3

มีแรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้อยากมา The Voice?

ปีที่ผ่านมาก่อนจะตัดสินใจประกวด ก็มีหลายๆ เหตุการณ์เกิดขึ้น มีเพื่อนที่เรียนรุ่นเดียวกันเสียชีวิต บางคนช็อค เส้นเลือดฝอยในสมองแตก ประสบอุบัติเหตุก็มี ทำให้คิดว่า ทำไมชีวิตคนเรามันสั้นขนาดนี้ มีเคสนึงที่ทำให้ตัดสินใจไม่ยากเลย นั่นก็คือ เพื่อนพี่มีน้องชายอยู่คนนึง เค้าเสียชีวิตจากอุบัติเหตุตอนไปเรียนที่เมืองนอก หลังตอนที่เพื่อนพี่คนนี้ก็เสียชีวิต แถมยังมีลูกมีเมียทิ้งไว้ด้วย มันเป็นอะไรที่สะเทือนใจมากนะ

The Voice ต่างกับเวทีการประกวดร้องเพลงอื่นยังไง?

พี่ว่าเค้าให้โอกาสหลายๆ อย่าง เช่น เพดานของอายุในการสมัครค่อนข้างกว้าง (ถึงอายุ 60 ปี ถ้าจำไม่ผิด) แล้วก็เลือกเสียงก่อนที่จะดูหน้าตาเราไม่ใช่คนหน้าตาดีอะไร เห็นแล้วมีเราเอาเสียงนี่ไปนี่แหละ มีแต่เสียงที่พอจะสู้กับเค้าได้ ตอนนั้นก็คิดว่าถ้ามันมีกฎเกณฑ์แบบนี้มันก็น่าจะเข้าไปลองดูนะ เผื่อจะได้มีโอกาสดีๆ โชคดีแบบคนอื่นเค้าบ้าง

ทำไมถึงเลือกร้องเพลง Misty ในรอบ Blind Audition คะ?

ที่ถามในตอนแรกว่าชอบศิลปินคนไหน นอกจาก

The Carpenters

ก็จะชอบดนตรีแจ็ซของคนผิวดำ อย่าง

Misty

ต้นฉบับเป็นของ

Ella Fitzgerald

เป็นแม่แบบเลย พี่ชอบมาก ฟังแล้วประทับใจ เป็นเพลงแรกที่เราได้ฟังศิลปินคนนี้ร้อง


ถ้าเป็นเพลงไทย มีเพลงไหนที่พี่จอห์นชอบเป็นพิเศษมั้ย?

เพลงของพี่คิ้มค่ะ () แนวป๊อบ-แจ๊ซเลยก็เป็นเพลงอยู่ตรงที่พี่คิ้มร้องแล้วมันดูมีเสน่ห์ ร้องกี่ครั้งก็ดูไม่ซ้ำซาก ทำให้คิดไปว่าถ้าเพลงได้มันทำได้แบบนี้ทุกเพลงก็คงจะดีนะ

จากการที่ได้ไป The Voice ใน season ที่ผ่านมา ได้รับอะไรจากรายการนี้บ้าง?

อย่างแรกก็คือมีคนยอมรับในเสียงของเรามากขึ้นได้เครดิตที่ดีในการร้องเพลง อย่างน้อยเค้าก็น่าจะชอบในความเป็นตัวเรา เหมือนมีอะไรมาการันตีถึงความสามารถของเรา (ประมาณว่าได้) มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

จบรายการแล้วชีวิตเปลี่ยนไปยังไงบ้าง?

มีคนให้เกียรติมากขึ้น เป็นความรู้สึกที่ดี เป็นที่ยอมรับ ได้เพื่อนใหม่ๆ ที่ดี ทำให้มีรอยยิ้มมากขึ้น(ปกติเป็นคนยิ้มเก่งอยู่แล้วค่ะ) ที่สำคัญคือได้การยอมรับจากครอบครัวมากกว่าเดิม แต่ก่อนเค้าไม่ได้สนับสนุนหรือต่อต้านอะไร แต่เค้าก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเราจะมีอย่างทุกวันนี้ มาอยู่ถึงจุดนี้ได้

จะมีผลงานอะไรใหม่ ๆ ออกมาให้ชมให้ฟังกันบ้างมั้ย?

ตอนนี้กำลังจะมีซิงเกิ้ลออกมา 1 เพลงและภาพยนตร์ที่กำลังจะเล่นเรื่องเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญที่ดำเนินเรื่อง และอาจจะได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ด้วย ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

สุดท้ายแล้วอยากให้พี่จอห์นให้กำลังใจ หรือฝากอะไรถึงผู้ที่อยากจะมาเวที The Voice ในรอบต่อไปหน่อยค่ะ

ถ้าเราคิดหรือมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนมีของ ไปลองดูเลยค่ะ เพราะรายการเค้าหยิบยื่นโอกาสให้เราแล้วส่วนนึง เรามีเวลาในการโฆษณาตัวเองอย่างเต็มที่ ทำไปเลย เพราะถ้าเราอยากจะทำในสิ่งที่เรารักต่อไป อย่างน้อยที่สุดเราก็ได้ประสบการณ์จากรายการ ได้เพื่อนใหม่ มิตรภาพที่ดีใหม่ๆ เอาให้เต็มที่ค่ะ


ได้ทราบเรื่องราวของพี่


จอห์นนิเฟอร์


ก่อนจะมาเข้าสู่วงการดนตรีเต็มตัวอย่างทุกวันนี้ เป็นยังไงกันบ้างคะ? เห็นมั้ยว่าหากเราได้ทำอะไรที่ตัวเองรัก มันจะออกมาดีหรือว่าไม่ดี เราก็มีความสุขที่ได้ทำมันค่ะ หวังว่าเรื่องราวดีๆ แบบนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับชาว

Sistacafe

ทุกคนได้ทำตามความฝันกันต่อไปนะคะ โชคดีนะคะทุกคน ต้องลากันไปแล้ว สวัสดีค่ะ :)

เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้