ผีเสื้อเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามแต่กว่าจะสยายปีกบินได้นั้นก็ต้องผ่านพ้นการเป็นหนอนมาก่อน เหมือนกับตัวของฉันที่ต้องตะเกียกตะกายฝ่าฟัน จนในที่สุดฝันที่ฉันเคยวาดไว้ในวัยเด็กก็กลายเป็นจริง การที่ได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านการแสดงแห่งนี้อาจเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตของฉัน ฉันต้องคว้ามันไว้เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่ฉันรัก สำหรับคนอื่นที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมก็คงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องดิ้นรน แต่สำหรับฉันแค่คำว่า พยายามอย่างเดียวคงจะไม่พอเพราะกว่าที่ฉันจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ คนอื่นอาจไม่รู้เลยว่าฉันต้องผ่านอะไรมาบ้าง ฉันมักตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เสมอว่า เราต้องพยายามมากแค่ไหนกันล่ะ ถึงจะเรียกว่า พยายาม

“จะไปเรียนการแสดงแกจะบ้าเหรอ”

“เรียนอย่างอื่นดีกว่าไหม แกเรียนไม่ได้หรอก”

“แกคิดดีแล้วเหรอที่จะไปเส้นทางนี้เป็นฉัน ฉันไม่เสี่ยงนะ”

“ไม่ใช่ว่าแกจะเป็นนักแสดงไม่ได้นะ อย่างน้อยแกแค่ต้องยกโครงหน้าใหม่ทั้งหมดเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”


คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น อุปสรรคที่แท้จริงมันเริ่มจากนี้ หลังจากเปิดเทอมได้ไม่นานฉันต้องใช้เวลาปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ ต้องยอมรับเลยว่าสังคมที่ฉันอยู่ต่างเต็มไปด้วยผู้คนที่พยายามจะโดดเด่น บางคนก็ใช้คำพูดหว่านล้อมที่เหมือนจะดีแต่แฝงคมในเอาไว้ บางคนก็แสร้งทำภาพลักษณ์ให้ดูดีต่อสังคมภายนอก หรือบางคนถึงกับยอมเจ็บปวดทุบหน้ายัดพลาสติกเพื่อแลกมากับความงามตามค่านิยม แท้จริงแล้วคนพวกนี้แค่อยากจะมีตัวตนหรือจุดยืนของตนเอง แล้วสำหรับฉันล่ะ จะต้องทำอย่างไรถึงจะได้มันมา ต้องใช้คำพูดแบบไหน ต้องแสร้งภาพลักษณ์ยังไง หรือจะต้องยอมเจ็บปวดเพื่อให้มีตัวตนเหมือนคนพวกนั้น

“ยืนเหม่อตั้งแต่เช้าอีกแล้วนะ”

เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังผ่านมาจากข้างหลังของฉันก่อนที่จะรีบวิ่งเข้ามาโอบคอฉันไว้ท่ามกลางบรรยากาศเสียงเจี๊ยวจ๊าว

“ก็มีเรื่องให้คิดหลายเรื่องน่ะ”

ฉันหันไปพูดกับหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับเอามือที่เธอโอบฉันลงและยิ้มอ่อนให้เล็กน้อย ชื่อของเธอคือ ดวงเทียน เธอเป็นเพื่อนคนแรกของฉันในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ วันแรกที่เราเจอกัน ฉันกำลังนั่งทานอาหารอยู่ในโรงอาหารคนเดียว ตอนนั้นฉันได้แต่คิดว่าคงไม่มีใครอยากมาเป็นเพื่อนกับหญิงสาวใส่แว่นหนาเตอะผู้ซึ่งไม่รู้จักคำว่าเครื่องสำอางหรือการแต่งหน้า แม้ฉันจะใส่แว่นแต่ทุกอย่างรอบ ๆ ตัวของฉันกลับมืดสนิท หันไปทางไหนก็มีแต่ผู้คนต่างนั่งกินข้าวด้วยกัน พูดจาเฮฮาอย่างสนุกสนาน แล้วฉันล่ะ ฉันจะมีเพื่อนไหม หรือจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดสี่ปี

ฉันพลางคิดพร้อมลุกขึ้นเพื่อที่จะไปเก็บจานและซื้อน้ำมาดื่ม ระหว่างที่ฉันรอต่อแถวเพื่อซื้อน้ำดื่มอยู่นั้นมีนักศึกษาชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแซงคิวฉันอย่างเงียบ ๆ เขาน่าจะเล็งเป้าหมายเป็นฉันไว้ตั้งแต่แรก บางทีเขาอาจคิดในใจว่า ยัยแว่นเตอะคงไม่กล้าโวยวายหรอก ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วยัยนี้คงไม่กล้าจะสู้คนหรือปริปากพูดออกมา ซึ่งเป็นอย่างที่เขาคิด ฉันได้แต่ยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงแม้ฉันจะรู้ว่าฉันมีสิทธิที่จะพูดแต่ฉันเลือกที่จะอยู่เฉย ๆ ดีกว่า แต่ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาชายคนนั้นพร้อมพูดว่า

“นายคิดจะทำอะไร”

“ห๊ะ ผมทำอะไร”

ชายหนุ่มแกล้งทำหน้าแบบงง ๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด

“ก็เห็นอยู่ว่านายเข้ามาแซงคิวคนอื่น ยอมรับมาเสียเถอะ”

หญิงสาวพูดพร้อมทำสีหน้าไม่พอใจ

“อ้าว คุณมาพูดอย่างนี้ได้ไง คุณมีหลักฐานเหรอที่มากล่าวหาผมแบบนี้”


ช่วงเวลานั้นผู้คนในโรงอาหารต่างก็จ้องมองมาหน้าร้านที่ฉันยืนอยู่ทำให้ฉันรู้เลยว่าวันนี้ต้องมีคอนเทนต์บางอย่างเกิดขึ้นในรั้วมหาลัยแห่งนี้อย่างแน่นอน บางคนยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวีดีโอ บางคนคุยกับเพื่อนพร้อมชี้นิ้วมาที่หญิงสาวกับชายหนุ่มเหมือนเป็นนักวิจารณ์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของคนอื่น เหตุการณ์เริ่มบานปลายไปกันใหญ่เพียงเพราะการแซงคิวเพื่อจะซื้อน้ำแค่ขวดเดียว

“หลักฐานน่ะ ไม่มีหรอกมีแต่นายเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจนายเอง แม้ว่านายจะมองมันเป็นแค่เพียงเรื่องเล็ก ๆ แต่การที่เรามาอาศัยอยู่ในสังคมส่วนรวม เราควรให้เกียรติคนอื่น ทำตามกติกาตามของสังคม”

“หรือที่เขาเรียกกันง่าย ๆ ว่า มารยาท”

หญิงสาวเน้นเสียงคำว่า มารยาท ลงไปอย่างหนักแน่นพร้อมกับยิ้มอ่อนให้กับชายหนุ่มคนนั้น เพื่อที่จะบอกว่าเกมนี้เธอชนะ สิ้นเสียงคำพูดของหญิงสาว เสียงผู้คนในโรงอาหารต่างโห่ร้องบอกได้ชัดเจนว่าผู้คนเลือกที่จะอยู่ฝั่งใคร ชายหนุ่มหน้าเสีย ก้มหน้า และรีบวิ่งออกไปจากโรงอาหารทันที

“คราวหลังหัดตอบโต้กลับเสียบ้างนะ ยิ่งเราพยายามมองข้ามคนพวกนี้เขาก็จะยิ่งได้ใจ”

เสียงหญิงสาวเดินออกมาพร้อมยื่นขวดน้ำมาให้ ฉันยิ้มรับขวดน้ำนั้นเอาไว้พร้อมขอบคุณ ปัจจุบันขวดน้ำขวดนั้นก็ยังถูกเก็บไว้เป็นอย่างดีเพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นระหว่างมิตรภาพเราทั้งสอง

“ว่าแต่ ฉันเหมือนเคยเห็นเธอในวันปฐมนิเทศนี่ เธอกับฉันเราอยู่สาขาเดียวกันใช่ไหม”

“ฉันชื่อดวงเทียนนะ แล้วเธอล่ะชื่ออะไร ”

“เอ่อ ฉันชื่อทานตะวันค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

“นะคะ” เธอพูดทวนคำพร้อมกับหลุดหัวเราะออกมา

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เธอนี่ตลกดีจัง เธอไม่ต้องพูด นะคะ กับฉันก็ได้ เราเป็นเพื่อนกันนิ”

“เอาล่ะไปเรียนกันเถอะนี่ก็ใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้ว ถ้าเข้าสายมีหวังโดนทำโทษอีกแน่”

นั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันยิ้มออกมา ฉันเกือบจะลืมไปแล้วว่ารอยยิ้มของความสุขมันเป็นอย่างไร วินาทีนั้นรอบตัวของฉันจากที่เคยมีแต่ความมืดมิดก็เริ่มมีแสงสว่างสลัว ๆ เหมือนกับแสงของดวงเทียนแม้มันจะไม่เจิดจ้าแต่ก็ทำให้ฉันอบอุ่นใจ ความกังวลของฉันที่จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้หายไป ตอนนี้ฉันได้เจอกับเพื่อนคนสำคัญที่จะเป็นแสงคอยนำทางพาฉันไปถึงจุดหมายเหมือนกับชื่อของเขา ดวงเทียน นับจากวันนั้นพวกเราก็กลายมาเป็นเพื่อนซี้กันจนทุกวันนี้ มันเป็นความสุขของฉันครั้งแรกนับตั้งแต่ฉันใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย

หลังจากทักทายกันเสร็จเราก็หาที่นั่งเพื่อจะทานข้าวเช้าด้วยกันวันนี้ฉันเลือกที่จะกินโจ๊กส่วนดวงเทียนเธอเลือกที่จะกินแซนวิชเจ้าประจำที่ขายในโรงอาหาร พวกเราคุยกันไปเรื่อยเพื่อรอเวลาเข้าเรียน

“วันนี้มีวิชาประวัติศาสตร์การแสดงนี่ ฉันไม่ชอบเลยพวกวิชาที่ต้องใช้ความจำ ว่าง ๆ ก็มาติวให้ฉันบ้างสิ”

เสียงของดวงเทียนพูดออกมาในขณะเธอกำลังเคี้ยวแซนวิชที่มีทั้งผักกาดแก้ว มะเขือเทศ ทูน่า และแฮม มันดูน่าอร่อยประกอบกับท่าทางที่เธอกำลังกินมันยิ่งทำให้น่าอร่อยขึ้นไปอีก

“อุ๊ย โทษที ลืมตัวไปหน่อยฉันไม่ควรพูดไปเคี้ยวไปสินะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ”

เธอทำหน้าตกใจ ก่อนที่จะเอามือขวาปิดปากและรีบเคี้ยวแซนวิชอย่างรวดเร็ว

“ไม่เป็นหรอกตอนนี้เราอยู่กันแค่สองคน แต่ถ้าเธออยู่กับคนอื่นเธอก็ควรระวังเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะ”

“เดี๋ยวเขาจะดูเธอไม่ดีและมันออกจะดูเสียมารยาทไปหน่อย”

หญิงสาวรีบเคี้ยวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะยกน้ำมาดื่มตาม เธอพกขวดน้ำมาจากบ้านเพื่อที่จะไม่ต้องซื้อน้ำที่โรงอาหาร คนอื่น ๆ อาจมองเธอแปลกแต่สำหรับฉันมันเป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่เธอดูค่อนข้างมีฐานะ แต่เธอไม่เคยพูดยกตนเองให้โดดเด่นหรือพยายามทำตัวเองให้อยู่ในสายตาคนอื่น เธอแค่ทำในสิ่งที่เธออยากจะทำโดยไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนเธอ ตอนนั้นเองมันทำให้ฉันเห็นว่าสังคมที่ฉันอยู่ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ฉันคิดเสมอไป

"ครับ เป็นอันว่าเนื้อหาของรายวิชานี้จะจบเพียงเท่านี้"

“ส่วนแนวข้อสอบอาจารย์จะแขวนไว้ในกลุ่มนะครับ”

เมื่ออาจารย์พูดจบทำให้ทุกคนรู้ว่าเทศกาลการสอบกำลังจะกลับมาเยือนอีกครั้ง งานค้างก็ยังไม่เสร็จแต่ก็ต้องมาอ่านหนังสือสอบกันอีก นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าชีวิตเด็กมหาวิทยาลัย พูดถึงเรื่องงานแล้วมันทำให้ฉันนึกได้ว่าพวกเรามีโปรเจกต์ละครเวทีรุ่นที่ต้องทำร่วมกันอยู่ ซึ่งข้อสรุปของละครเวทีรุ่นปีนี้พวกเราตกลงกันว่าจะแสดละครเวทีแสนคลาสสิคไม่ว่าใครก็จะต้องรู้จัก นั้นก็คือ “โรเมโอและจูเลียต”

“ทานตะวัน มาดูนี่ดิผลประกาศนักแสดงออกแล้วนะ”

“อ้าว ไม่ใช่อาทิตย์หน้าหรอกเหรอ”


ฉันทำหน้างงเพราะที่จริงตามกำหนดผลประกาศนักแสดงมันควรจะประกาศอาทิตย์หน้า ถ้าไม่ใช่ดวงเทียนที่มาคะยั้นคะยอให้ฉันไปลองคัดตัวดูฉันก็คงจะไม่ไปหรอกนะ เพราะหน้าตาอย่างฉันยังไงมันก็น่าจะไม่ผ่านแต่โอกาสมันก็ไม่ได้มีมาเสมอไปลองไปดูก็ไม่เสียหาย พูดถึงเรื่องคัดตัวแล้วฉันก็นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่แอบมานั่งสงบอารมณ์อยู่ในห้องน้ำก่อนที่ไปคัดตัวนักแสดง ตอนนั้นมีผู้หญิงสองคนเข้ามาแล้วก็ยืนพูดหน้ากระจกอย่างสนุกสนานว่า คนอย่างฉันกล้าไปคัดบทตัวละครเอกได้ไง พร้อมพูดว่าบทคนรับใช้น่าจะยังว่างนะ ความรู้สึกของฉันในตอนนั้นมันทั้งโมโหและเสียใจ ใจนึงก็อยากเปิดประตูออกมาคุยกันให้รู้เรื่องว่าเป็นฉันมันผิดตรงไหน แค่เพราะความสวยก็สามารถตัดสินคนได้แล้วนั้นเหรอ ฉันกำลูกบิดแน่นเตรียมพร้อมจะเปิดประตูพูดสิ่งที่อดกลั้นในใจออกไป แต่ตอนนั้นเองก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา พร้อมกับพูดว่า

“พวกเธอก็ไม่ได้ดีไปมากกว่าคนอื่นเขาหรอก ลองลบเครื่องสำอางของพวกเธอออกดูสิ ถึงตอนนั้นแล้วพวกเธอยังจะมั่นใจในใบหน้าของตัวเองกันอีกไหม”

พูดจบดูเหมือนสองคนนั้นจะหยุดหัวเราะแล้วรีบเดินออกจากห้องน้ำไปทันที เมื่อฉันรู้สึกแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่จึงเปิดประตูออกมาและได้เห็นกับหญิงสาวคนหนึ่งกำลังล้างหน้าอยู่ ฉันจำเธอได้ดีเธอชื่อว่า “ใบเฟิร์น” เธอทั้งสวย เก่ง และมีเสน่ห์ เธอเข้ามาตบไหล่ฉันเบา ๆ และบอกว่า “ทุกคนมีความงามที่แท้จริงอยู่ภายใน มาสู้และพยามไปด้วยกันนะ” วินาทีนั้นฉันรู้ได้เลยว่า เธอคนนี้นี่แหละที่เหมาะสมจะได้รับบทเป็น “จูเลียต”

“คนที่ได้บทโรมิโอ คือ ไอกระต่าย ส่วนบทจูเลียต คือ ใบเฟิร์น”

ดวงเทียนดูหน้าจอโทรศัพท์พร้อมบอกรายชื่อคนที่ได้รับบทในครั้งนี้ ฉันไม่แปลกใจเลยที่ใบเฟิร์นได้รับบทในครั้งนี้เพราะเธอคู่ควรกับมัน อาจจะมีเสียใจบ้างแต่อย่างน้อยฉันก็ได้พิสูจน์และแสดงความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป

“ฉันก็ไม่แปลกใจหรอกนะที่ใบเฟิร์นได้รับบทน่ะ เพราะวันนั้นเธอก็แสดงดีจริง ๆ”

“ว่าแต่ ไอกระต่าย นี่คือใครเหรอทำไมฉันไม่เคยได้ยินชื่อเขาเลย”

“ก็ไอคนที่หน้าเหมือนกระต่ายคนนั้นไง หมอนั้นไม่ค่อยได้เข้าคณะหรอกนะ”

ตอนนั้นภาพในหัวของฉันก็เริ่มนึกออก “ไอกระต่าย” ที่ดวงเทียนบอกคือเพื่อนร่วมคณะของเราที่ชื่อว่า วิว เขาไม่ได้เข้าคณะอย่างที่ดวงเทียนพูดนั้นแหละ ดูเหมือนผลงานการแสดงที่พึ่งปล่อยมาของเขาทำให้เขาดังพลุแตกในชั่วข้ามคืน อีกอย่างหน้าของเขาก็คล้ายกับกระต่ายจริง ๆ จนแฟนคลับมักจะชอบเอารูปเขาไปตัดต่อให้ดูน่ารัก บางครั้งฉันก็คิดนะว่าเขาอยากเป็นแบบนั้นจริง ๆ นั้นเหรอ ถ้าเขาชอบมันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าเขาไม่ชอบล่ะ แบบนั้นเขาก็ไม่ต่างจากหุ่นเชิดที่ต้องฝืนแสดงเอาใจต่อหน้าผู้คนน่ะสิ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาได้รับบทเป็นตัวเอกในการแสดงละครเวทีครั้งนี้นั้นก็หมายความว่าผู้คนต้องคาดหวังกับละครเวทีเรื่องนี้มากแน่ ๆ แค่คิดก็เริ่มปวดหัวแล้วสิ

“แกไม่เป็นไรใช่ไหม ถึงแม้ว่าแกจะไม่ผ่านการคัดเลือก แต่พวกเราก็ได้อยู่ฝ่ายฉากด้วยกันนะ”

“ช่างมันเถอะ ยังไงฝ่ายฉากก็เหมาะกับคนหัวใจศิลป์อย่างเราอยู่แล้ว”

“อีกอย่างวิวกับใบเฟิร์นก็เหมาะสมกัน มันต้องไปได้ดีแน่ ๆ ”

“ถ้ายัยนั้นไม่วีนแตกเสียก่อนนะ”

“ทำไมแกพูดเหมือนกับรู้จักเขาดีเลยล่ะ”

“ก็เราเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน หมายถึง เคยเป็น น่ะ”

“หมายความว่าไง”

วินาทีนั้นทำให้ฉันรู้ว่าเรื่องบางเรื่องมันก็ควรเก็บไว้ คนบางคนไม่ต้องการขุดคุ้ยมาเล่าอีก แต่ดวงเทียนตัดสินใจเล่าเรื่องราวระหว่างเธอและใบเฟิร์นให้ฉันฟัง บางครั้งจิตใจของมนุษย์นั้นมันก็ซับซ้อนกว่าที่เราคิด เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นตอนสมัยที่ทั้งสองคนยังเรียนม.ปลาย ตอนนั้นดวงเทียนเป็นคนที่เรียบร้อย ไม่มีความมั่นใจ แตกต่างจากตอนนี้ ทั้งสองคนสนิทกันมาก ๆ ไม่ว่าไปไหนก็จะอยู่ด้วยกันตลอด แต่แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นดวงเทียนแอบหยิบไดอารี่ความลับของใบเฟิร์นมาอ่านแล้วนำมาหยอกล้อ ตอนนั้นดวงเทียนแค่คิดว่าเราสนิทกันคงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก แต่เปล่าเลยใบเฟิร์นโกรธจัดจนด่าทอดวงเทียนด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ตอนนั้นเองทำให้เธอรู้ว่าแม้จะสนิทกันแค่ไหน สุดท้ายทุกความสัมพันธ์ย่อมมีเส้นกั้นเอาไว้เพื่อกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาก้าวก่าย ไม่ว่าดวงเทียนจะพยายามพูดกับใบเฟิร์นยังไง เธอก็ไม่สนใจ สุดท้ายดวงเทียนเลยตัดสินใจถอยห่างจากใบเฟิร์น และก้าวเดินต่อไปข้างหน้าจนกลายมาเป็นดวงเทียนในทุก ๆ วันนี้

“ก็ตามนั้นแหละ”

“แต่ว่ายังไงเพื่อนก็คือเพื่อน ความสัมพันธ์มันไม่ได้ตัดง่ายเหมือนกับตัดกระดาษซักหน่อย”

“ฉันเชื่อว่าต้องมีซักวันที่เธอทั้งสองจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”


เหลืออีกหนึ่งวันก่อนการแสดง ทุกอย่างถูกเตรียมไว้เกือบจะเสร็จสมบูรณ์ ฝ่ายฉากก็เช่นกันดวงเทียนกับฉันต่างทำงานกันเต็มที่เพื่อจะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนที่จะมา แต่ก็มีคนบางพวกที่นั่งกระดิกเท้าแต่ไม่กระดิกหางมั่วแต่มองคนอื่นโดยไม่คิดจะช่วยอะไรเลย แต่ก็ช่างมันเถอะเพราะสุดท้ายแล้วสังคมจะเป็นคนตัดสินการกระทำของคนเหล่านั้นเอง

“ทุกคนเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”เสียงนักศึกษาชายดังมาแต่ไกลทำให้ทุกคนหันไปมองเขา

“ตอนนี้ใบเฟิร์นเกิดอุบัติเหตุรถล้มกระดูกหักอยู่โรงพยาบาลน่าจะมาขึ้นแสดงไม่ได้แล้ว”

“พวกเราต้องหานักแสดงที่จะรับบทจูเลียตและซ้อมให้เสร็จภายในวันนี้”

ทุกคนในโรงละครต่างทำหน้าตกใจ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะซ้อมบทละครเสร็จภายในวันเดียวอีกอย่างเหตุการณ์นี้มันก็คาดไม่ถึงดังนั้นเราจึงไม่ได้เตรียมนักแสดงสำรองเอาไว้ ทุกคนเริ่มเครียดเพราะกลัวว่าจะไม่ทันเวลา

“ทุกคนเราจะซ้อมกันต่อโดยคนที่จะมารับบทแทนคือ ทานตะวัน”

“เพราะจากการตัดสินคะแนนครั้งก่อนทานตะวันเป็นคนที่ได้คะแนนรองลงมาจากใบเฟิร์น”


สิ้นเสียงหญิงสาวที่เป็นผู้กำกับพูดทุกคนต่างมองมาที่ฉัน เป็นไปได้ยังไงฉันนี่เหรอจะมารับบทนี้มันเป็นไปไม่ได้ ท่ามกลางความมึนงง บางคนกลับไม่เห็นด้วยเพราะฉันไม่สวยพอที่จะขึ้นเวที แต่ถ้าฉันปฎิเสธไปทุกอย่างที่ฉันทำมามันก็เสียเปล่า โอกาสมันมาหาฉันแล้วฉันจะสูญเสียมันไปไม่ได้เด็ดขาด ฉันตัดสินใจพูดบางอย่างออกไปให้ทุกคนฟัง

“ฉันขอพูดอะไรบ้างอย่างได้ไหม”

ฉันเริ่มพูดตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความฝันของฉัน กว่าฉันจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ฉันต้องทนเจอกับอะไรมาบ้างตกลงแล้วคำว่าพยายามที่คนอื่นว่าฉันมีไม่พอแท้จริงมันแค่คำโกหก เพียงเพราะว่าฉันไม่มีจมูกพลาสติกวิเศษสวย ๆ สีผิวของฉันไม่ได้ขาวเหมือนแช่ไฮเตอร์ หรือแม้แต่ความดังของฉันก็เทียบไม่ได้กับดาวค้างฟ้า ทำไมทุกคนถึงไม่ให้โอกาสกับคนที่แตกต่าง ฉันแค่อยากจะเป็นตัวของตัวเอง ฉันไม่อยากเหมือนหุ่นพลาสติกที่ต้องเปลี่ยนแปลงตามค่านิยมแล้วถูกผู้คนเชิดให้เล่นไปตามใจที่สังคมต้องการ ฉันไม่ต้องการจุดยืนให้ผู้คนสนใจแต่ฉันแค่อยากทำในสิ่งที่ฉันรักในรูปแบบที่ฉันเป็น

“ขอโอกาสให้ฉันพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้ไหมว่าฉันทำมันได้”

“ฉันไม่อยากจะเป็นหุ่นเชิดพลาสติกแต่ฉันอยากจะเป็นตัวของฉัน”

พูดจบเสียงปรบมือและโห่ร้องเชียร์ก็ดังขึ้นทุกคนต่างสนับสนุนฉันเต็มที่มันทำให้ฉันรูว่าฉันเดินทางมาจนใกล้จะถึงฝั่งฝันแล้วอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น ฉันจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าฉันเหมาะที่จะเดินในเส้นทางนี้

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเดี๋ยวฉันจะจัดการแต่งหน้าให้เธอเองเชื่อใจฉันได้เลย”

เสียงดวงเทียนพูดก่อนจะแยกไปทำงานต่อ ทุกคนต่างเร่งรีบทำงานให้เสร็จภายในวันนี้ส่วนฉันก็ต้องย้ายจากฝ่ายฉากขึ้นไปบนเวทีเพื่อซ้อมบทละครและแสดงทุกอย่างภายในวันเดียว ในที่สุดวันแสดงก็มาถึงแม้ฉันจะตื่นเวทีเพราะคนมันเยอะกว่าที่คิดเอาไว้มากแต่มันก็ผ่านไปได้ดีทุกคนส่งบทช่วยเหลือกัน ต้องขอบคุณคอนแทคเลนส์และฝีมือการแต่งหน้าของดวงเทียนที่ทำให้มั่นใจมากกว่าเดิม ทุกอย่างเป็นไปราบรื่นตลอดต้นจนจบ

“แสดงได้ดีและน่ารักมาก ๆ เลยนะทานตะวัน”

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังช่วยกันทำความสะอาดและเก็บของ เสียงของใบเฟิร์นก็ลอยมาเธอมาพร้อมกับไม้ค้ำยันที่ช่วยพยุงตัวเธอเอาไว้ไม่ให้ล้ม อาการเธอดูท่าน่าจะหนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ฉันเข้าไปช่วยพยุงเธอเอาไว้เพราะเธอดูเหมือนจะรู้สึกผิดกับทุกคนที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อนไปหมด แต่ทุกคนก็เข้าใจเธอเพราะอุบัติเหตุมันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ฉันช่วยพยุงใบเฟิร์นไปนั่งที่เก้าอี้และพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตอนนี้มันทำให้รู้แล้วแหละว่าทำไมดวงเทียนถึงได้สนิทกับใบเฟิร์นเพราะทั้งสองมีส่วนที่คล้าย ๆ กันอยู่นี่เอง พูดไม่ทันขาดคำดวงเทียนก็เดินมาพอดี

“ทานตะวันไปถ่ายรูปรวมกันเถอะ” เธอหันไปเห็นใบเฟิร์นนั่งอยู่ตรงเก้าอี้แต่ก็ไม่พูดอะไรพร้อมจูงมือฉันไป

“ขอบคุณเครื่องรางที่เคยให้ฉันนะดวงเทียน ถ้าไม่มีมันบางทีอาการฉันอาจจะหนักกว่านี้ก็ได้”

“ฉันขอโทษจริง ๆ ที่เคยพูดไม่ดีกับแกในวันนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจ”

เสียงใบเฟิร์นพูดกับดวงเทียนในรอบหลายปี ตอนนั้นเองดวงเทียนถึงกับน้ำตาไหลและปล่อยโฮออกมามันเป็นภาพที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน นี่อาจเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอที่ผ่านมาเธออาจจะเหนื่อยที่ต้องยอมแสดงเป็นคนที่แข็งแกร่งแต่ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องแสดงอีกต่อไปแล้ว กลับมาเป็นตัวเธอคนเดิมนั้นแหละดีแล้ว

“ฉันก็ขอโทษเหมือนกัน ฉันไม่ควรไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวเธอ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะ”

“ช่างมันเถอะ มันก็ผ่านไปแล้ว ความสัมพันธ์เราไม่ได้ตัดง่ายเหมือนตัดกระดาษซักหน่อย ฮ่า ๆ ๆ ”

“สาว ๆ ได้เวลาถ่ายรูปรวมกันได้แล้ว ใบเฟิร์นยังไหวใช่ไหม” วิวเดินเข้ามาตามพวกเราเพื่อให้ไปถ่ายรูปรวม

“ก็ไหวอยู่ ขอโทษนะที่ต้องทิ้งแกไปกลางทางแบบดื้อ ๆ”

“ใครบอกว่าแกทิ้งไปแบบดื้อ ๆ แกส่งนักแสดงดาวรุ่งคนใหม่มาให้เราต่างหาก”

“พวกแกเตรียมตัวขอลายเซ็นต์ทานตะวันกันได้เลยนะ”

ทุกคนหันมาหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ในที่สุดฉันก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า ฉันสามารถเติมเต็มความฝันของตัวเองได้สำเร็จ ค่านิยมไม่ใช่ตัวชี้วัดของความพยายามเสมอไป ทำไมเราจะต้องเหมือนคนอื่นในเมื่อธรรมชาติสร้างเรามาให้มีความแตกต่าง ความแตกต่างนั้นเองที่ทำให้เกิดความสมดุล ลองคิดเล่น ๆ ดูสิว่าถ้าทุกคนเหมือนกันหมด ทั้งโลกจะน่าเบื่อขนาดไหน ตอนนี้ฉันสามารถพูดได้แล้วว่า ฉันสามารถสยายปีกบินได้เหมือนกับผีเสื้อถึงแม้ว่ามันจะไม่งดงามแต่มันก็อิสระในแบบที่มันควรจะเป็น “จงอย่ายอมให้สังคมกำหนดเรา เพราะเส้นทางชีวิตของเราเป็นสิ่งที่เราจะต้องกำหนดเอง”