บทนำ : สองนักแสดง


ตึงตึงตึง


รอบข้างเงียบสงัด มีเสียงเสียงกลองที่รัวตามจังหวะหัวใจ ผู้ชมเบื้องล่างต่างนิ่งงันราวกับต้องมนตร์ ยามเท้าข้างหนึ่งของนักกายกรรมแตะลงบนเชือกที่ขึงระหว่างเสาสองด้านบนความสูงนับสิบเมตร

นักกายกรรมผู้นั้นเป็นเด็กสาว ร่างแบบบางในชุดสีแดงเพลิงที่เย็บประดับเลื่อมระยิบระยับงดงามกำลังเดินอยู่กลางอากาศ ใต้เท้ามีเพียงเชือกหนึ่งเส้น หน้ากากสีขาวที่ปิดครึ่งบนหน้าซ่อนสีหน้าของเธอจากผู้เฝ้าชมเบื้องล่าง

ไม่มีตาข่ายรองรับ ไม่มีสายสลิงโยงใยตัว ไม่มีกระทั่งไม้ยาวสำหรับถือช่วยทรงตัว

สำหรับคณะละครสัตว์ยามค่ำคืน ความตื่นตาคือหัวใจสำคัญของการแสดง

ชาล์สสูดหายใจ คอหยัดตรงมองไปเบื้องหน้า ในแววตาไม่มีความประหวั่นใดๆ ยามทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงไปยังเชือกเส้นน้อย

บนเชือกหนึ่งเส้นที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวหนึ่งเดียวของเธอเหนือพื้นนับสิบเมตร สมดุลอาจเป็นหัวใจหลัก แต่ความกลัวคือสิ่งที่จะปัดให้เธอร่วงลงมา

หัวหน้าคณะเคยจับเธอโยนลงมาจากเชือกนี้นับครั้งไม่ถ้วน เพื่อให้เธอไม่กลัวที่จะร่วงลงไป

ดังนั้นเธอจึงก้าวไป ย่ำลงบนเชือกอย่างแช่มช้า เชือกหย่อนลงตามน้ำหนัก แต่ละย่างก้าวของเธอสะกดผู้คนเบื้องล่างให้ลุ้นระทึก ไม้กลองกระทบหนัง เคาะตามจังหวะการก้าวเดิน


ตึก ตึก ตึก

จนเมื่อเดินมายังกึ่งกลางของเชือก ท่ามกลางเสาสองฝั่งที่ขึงมันไว้ ร่างที่เดินอย่างระมัดระวังมาตลอดก็หยุดนิ่ง เธอโค้งให้ผู้ชมก่อนเริ่มการแสดง โค้งอย่างต่ำจนหน้าผากแทบจรดกับหัวเข่า

แล้วเธอก็เริ่มเต้นรำ

ผู้ชมเบื้องล่างตะลึงงัน

เด็กสาวผู้นั้นกำลังเต้นรำอยู่บนเชือก

เป็นการเต้นรำด้วยท่วงท่าอันแปลกประหลาด ใช้ความอ่อนตัวของร่างกายสูงมาก เธอกึ่งก้าวกึ่งกระโดด เหยียบย่างด้วยปลายเท้า หมุนตัวอยู่บนนั้น ราวกับมันไม่ใช่แค่เชือกเส้นน้อย

ก้าวกระโดด หมุนตัว เลื่อมบนชุดระยิบระยับทุกการเคลื่อนไหว เสียงกลองเต้นระรัว กระหน่ำให้หัวใจคนดูสั่นสะเทือนตามจังหวะกลอง ระทึกขึ้น เร้าอารมณ์ขึ้น ราวกับเด็กสาวกำลังเต้นรำอยู่ริมหน้าผา

ทุกครั้งที่เธอกระโดด ทุกครั้งที่เธอแตะเชือก ยิ่งเชือกดีดแล้วสั่นมากเท่าไร ก็ยิ่งน่าหวาดเสียวว่าร่างเล็กๆ นั่นจะเหยียบพลาดแล้วตกลงมา

เมื่อเสียงกลองสุดท้ายหยุดลง เด็กสาวบนเชือกก็ขยับยิ้ม หลับตา แล้วทิ้งร่างตัวเองลงสู่อ้อมกอดของสายลม

ลมปะทะหู รู้สึกได้ถึงสายลมที่ถูกน้ำหนักของเธอแหวกลงสู่เบื้องล่าง เส้นเชือกค่อยๆ ห่างจากตัวไป เลื่อมบนชุดสะท้อนไฟระยิบระยับ ราวกับดวงดาวจรัสแสงที่กำลังร่วงลงสู่พื้น

ที่เสาต้นหนึ่ง บาร์โหนได้ถูกปล่อยลงมา นักกายกรรมอีกคนหนึ่งใช้เข่าเกี่ยวห้อยตัวอยู่บนบาร์ โฉบเข้ามายังร่างที่ร่วงลงสู่พื้น

เมื่อแว่วเสียงแหวกลมดังเข้ามาใกล้ เด็กสาวผู้ร่วงหล่นก็ชูมือขึ้น

แล้วในวินาทีที่ชวนใจหาย มือของเด็กสาวที่ร่วงหล่นถูกคว้าไว้อย่างเหมาะเจาะ เฉียดวินาทีที่จะกระทบพื้นไปเพียงไม่กี่คืบมือ

มืออันแข็งแรงและคุ้นเคยที่เอื้อมมารับเธอได้เสมอเมื่อเธอร่วงลงมา เธอมองตาอีกฝ่าย ตาที่มีสีเดียวกับเธอ รอยยิ้มที่ละม้ายคล้ายกับเธอ ความอบอุ่นในมือและความตื่นเต้นส่งผ่านมือมายังเธอ

อีกฝ่ายกำลังตื่นเต้น

เช่นเดียวกับเธอ

บาร์เหวี่ยงเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ในวินาทีที่มันขึ้นสูงสุด เธอก็พลิกตัว จับมือทั้งสองข้างของเขาไว้ แล้วกระโดดราวกับทะยานขึ้นสู่ฟ้า

เสียงกลองและดนตรีเริ่มบรรเลง ราวกับเมื่อครู่เป็นเพียงแค่การโหมโรง

การแสดงเริ่มขึ้นแล้ว!!


ในขณะที่ที่แห่งหนึ่งกำลังระทึกตื่นตาไปกับเสียงกลอง

ที่แห่งนี้ก็กำลังบ้าคลั่งไปกับจังหวะกลองเช่นกัน

ตุ้ม! ตุ้ม! ตุ้ม!

เสียงกลองดังกระหึ่ม กระแทกตึงเป็นทำนองที่คนฟังได้ยินต่างสะท้าน ช่วยเร่งให้เหล่าคนดูรอบ ‘อารีน่า’ ต่างบ้าคลั่ง

เมื่อทำนองกลองดังขึ้น เหล่าลูกค้าขาประจำในสังเวียนใต้ดินก็เริ่มโห่ร้อง เพราะต่างรู้กันดีว่าทำนองกลองที่กระหึ่มก้อง ฟังแล้วชวนให้สั่นสะท้านเป็นของใคร


“ปีศาจคลั่ง! ปีศาจคลั่ง!”“ราชันแห่งอารีน่า!!”“ปีศาจคลั่ง! ปีศาจคลั่ง!”


เหล่านักพนันผิดกฎหมายเกาะขอบบ่อคอนกรีตเกราะกรังตะโกนร้องลงไปเบื้องล่าง ทุกสายตาจับจ้องไปยังลานประลองที่เป็นบ่อทรงกลมขุดลึกลงไป

ที่ด้านหนึ่ง ประตูกรงเหล็กถูกเลื่อนขึ้น พร้อมกับจังหวะกลองที่รัวเร่งให้จังหวะหัวใจเต้นแรง

ในตอนที่อารมณ์พุ่งขึ้นจุดสูงสุด เสียงกลองก็หยุดลง แต่ยังทิ้งความกระหึ่มไว้ในใจ เมื่อราชันแห่งลานประลองก้าวเข้ามาในสังเวียน

เด็กหนุ่มผมดำ....ปกปิดใบหน้าครึ่งล่างด้วยชุดหนังสีดำที่คอสูงจนปิดมาถึงใต้ตา แขนที่ขาวซีดราวกับไม่เคยเจอแสงแดดเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสมส่วนกับร่างกาย ทั่วทั้งร่างถูกระบายไปด้วยแผลเป็น แม้ไม่ได้มีร่างใหญ่โตเหมือนพวกนักสู้สังเวียนใต้ดินที่สักแต่กินเยอะๆ เพิ่มน้ำหนักให้ตัวใหญ่ๆ แต่แววตาที่ดุดันราวกับกระหายเลือดยามกวาดมองก็ชวนให้คนรอบข้างถึงกับสะท้านเฮือก

ราชันแห่งสังเวียนใต้ดิน....ปีศาจคลั่งที่ร่ำลือกันว่าเพียงเกิดมา คำแรกที่ร้องหาคือเลือด...อาหารมื้อแรกที่กินคือเนื้อของบิดา และซากศพมารดาคือของรับขวัญวันแรกที่ลืมตาดูโลก ถูกเลี้ยงดูให้โตมาโดยปีศาจร้าย อยู่ใกล้ชิดกับความตาย กินเสพเลือดเนื้อของผู้ท้าชิงเป็นอาหาร...

“ขอเสียงให้กับปีศาจคลั่ง ราชันแห่งอารีน่าด้วยครับ!!” แจ๊คกิล โฆษกผิวดำประจำลานประลองประกาศก้อง

“และวันนี้.....ผู้ท้าชิงตำแหน่งราชันกับปีศาจ คืออสุรกายยักษ์ไซโคลน!!”

เสียงโห่ร้องกระหึ่มจากเหล่าคนดู อีกฟากฝั่งของลูกกรง คือผู้ท้าชิงตัวใหญ่ที่อุดมไปด้วยไขมันมากกว่ากล้ามเนื้อเดินตึงตังอวดพลังเข้ามาในลาน และพยายามวางท่าข่มขวัญปีศาจคลั่ง

นักพนันมือใหม่ต่างหัวเราะ ราชันแห่งลานประลองอะไรนั่นก็ตัวแค่นั้น จะเอาอะไรไปสู้กับพวกนักสู้บ้าพลังบ้าไขมันได้

แต่เหล่านักพนันผู้เป็นแฟนตัวยงยิ้มกระหยิ่มในใจ

ปีศาจคลั่ง ไม่ใช่แค่สมญาเอาเท่บนสังเวียนเท่านั้น

เสียงกลองกระแทกจังหวะ ตึง! ตึง! ตึง! ปลุกเลือดในกายให้เดือดพล่าน

ผู้ที่ได้ชื่อว่าจ้าวสังเวียนที่ไม่เคยแพ้หลับตาอยู่กลางลาน ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ปล่อยให้เสียงกลองและเสียงกู่ร้องที่บ้าคลั่งค่อยๆ ไหลเข้ามาในตัว


"ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!""ปีศาจคลั่ง! ปีศาจคลั่ง!"ตึง! ตึง! ตึง!!!เขาลืมตาตาอันเป็นสีแดงฉานราวกับเลือดปีศาจคลั่งตื่นขึ้นแล้วแล้วการแสดงอันบ้าคลั่งก็เริ่มขึ้น


ตึง!



เสียงตีสุดท้ายหยุดลงพร้อมกับปลายเท้าเปลือยเปล่าจรดลงอย่างมั่นคงลงบนพื้น

ผู้ชมลุกขึ้นปรบมือกับการแสดงอันมหัศจรรย์


เด็กสาวนักกายกรรมโค้งตัวต่ำ มือเธอจับนักกายกรรมอีกคนแน่น รับรู้ถึงความชื้นของเหงื่อและลมหายใจตื่นเต้นของกันและกัน

การแสดงของค่ำคืนนี้จบลงแล้ว


ตึง!


หยดเลือดนับครั้งไม่ถ้วนของวันนี้พุ่งออกจากแขนของคู่ต่อสู้ สาดกระเซ็นยังพื้นลาน พร้อมกับท่อนแขนที่ถูกฉีกกระชาก


กลองรัวเป็นจังหวะหนักแน่นปลุกคนดูให้มีอารมณ์ร่วมกับการประลอง บีบหัวใจให้สั่นสะท้านกับความบ้าคลั่งของปีศาจ


ทุกเสียงกลองที่ลั่น ต้องมีเลือดสาดขึ้นกลางอากาศ ทุกเสียงจังหวะที่ตี อวัยวะชิ้นหนึ่งต้องกระเด็นหลุดจากร่าง


ปีศาจกำลังกระหายเลือด


ราวกับราชันแห่งสังเวียนกับเต้นรำท่ามกลางเลือด เสียงทุกเสียงรอบตัวราวกับเป็นแค่อากาศธาตุ ผ่านหูไปราวกับไม่มีตัวตน มีเพียงเสียงกลองที่ราวกับเฆี่ยนแส้สั่งให้ความบ้าคลั่งเขาพุ่งสูงขึ้นไป!


“ผู้ชนะคือปีศาจคลั่ง!!”

เสียงประกาศชัยชนะราวกับลมผ่านหู เสียงโห่ร้องรอบตัวก็ราวกับอากาศธาตุ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน หรือรอบตัวเกิดอะไร แต่สิ่งที่ทำให้เขาหยุด คือผู้คุมสนามที่ลงมาคว้ามือเขาชูขึ้น กับซากศพของผู้ท้าชิงที่แหลกเหลวเป็นชิ้นผู้แทบเท้า ไม่เหลือชิ้นส่วนไหนให้เขาหยิบมากระชากระบายความบ้าคลั่งของตัวเองได้อีกแล้ว


เสียงกลองหยุดลงพร้อมๆ กับสติที่เริ่มกลับมา คนดูโห่ร้องกับชัยชนะ แย่งกันเบียดเสียดยังปากบ่อของลานโดยไม่สนใจความอบอ้าวของลานประลองใต้ดิน สีหน้าต่างตื่นเต้นระทึกกับการประลองที่เลือดสาดถึงใจ



"ปีศาจคลั่ง! ปีศาจคลั่ง!"

"ปีศาจคลั่ง! ปีศาจคลั่ง!"

'ปีศาจคลั่ง' เงยหน้าขึ้นมองคนพวกนั้น


สีหน้าอันบ้าคลั่งกับรอยยิ้มที่สนุกสนานกับความรุนแรง


ไม่แน่ใจแล้วว่า เขาคือปีศาจ

หรือพวกมันกันแน่ที่เป็นปีศาจ

เมื่อหน้าที่ของเขาบนนี้หมดลงแล้ว ปีศาจคลั่งก็ลากร่างที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดไปยังประตูกรงที่เปิดไว้


ทิ้งความบ้าคลั่งทั้งมวลไว้เบื้องหลัง


จบไปอีกหนึ่งวัน...


นั่นคือสิ่งเดียวที่เขารู้สึก


ใครที่อยากอ่านบทต่อไปไวๆ

อย่าลืมกดแชร์ & คอมเม้นท์ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ