พออายุเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ปัญหาหลายๆ อย่างก็เริ่มปรากฏให้เห็นกัน โดยเฉพาะปัญหาของผิวมีมักจะมาควบคู่เมื่ออายุที่เพิ่มมากขึ้น หากละเลยหรือไม่รีบปรับก็สามารถทำให้ลดความมั่นใจและลดต้นตอของการแก้ไขได้อย่างลำบาก อย่างที่รู้กับว่าเมื่ออายุมากขึ้นการผลิตหรือสร้างคอลลาเจนในผิวหนังของเราจะลดลงเรื่อยๆ ทำให้ผิวที่เคยเต่งตึง เรียบเนียน ไม่เหมือนเดิม นอกจากนั้นผิวยังดูหมองคล้ำไม่สดใสด้วย แม้บางครั้งจะพยายามใช้ตัวช่วยหรือมั่นทาสกินแคร์เป็นประจำก็ยังไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ทั้งหมด เพราะเมื่ออายุมากขึ้นการดูแลก็มากขึ้นตามด้วยเช่นกัน ซึ่งก็รวมไปถึงสิ่งที่ทำเป็นกิจวัตรรวมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอน หรือการออกกำลังกาย เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้เป็นสิ่งที่เราต้องเน้นทำควบคู่ไปกับการใช้สกินแคร์หรือการเสริมด้วยอาหารเสริมต่างๆ เข้าไปด้วย ฉะนั้นเราจึงนำ ศาสตร์ชะลอวัย ที่สามารถทำได้ด้วยการปรับพฤติกรรมมาฝากชาวซิสกัน ไม่ต้องถึงวัยเลข 3 หรือ 4 ก็สามารถทำได้ ยิ่งสามารถทำได้เร็วก็สามารถลดต้นตอของปัญหาที่จะตามมาในอนาคตได้ดีสุดๆ แต่ใครอยู่ช่วงวัยนี้แล้วนั้นก็ไม่ต้องกังวลเพียงค่อยๆ ปรับก็สามารถช่วยลดปัญหาลงได้เหมือนกัน


✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿


ศาสตร์ชะลอวัย คืออะไร?

รูปภาพ:

ศาสตร์การชะลอวัยหรือ Anti-Aging เป็นสาขาใหม่ทางการแพทย์ที่มุ่งเน้นการป้องกันให้มีสุขภาพร่างกายที่ดีแข็งแรง ฟื้นฟูภาวะเสื่อมตามวัย เพื่อไม่ให้ร่างกายแก่ไปตามอายุจริงทั้งสุขภาพร่างกายภายนอกและสุขภาพร่างกายภายใน แต่คำว่า “แก่” นั้นในความหมายของศาสตร์ชะลอวัยหรือเวชศาสตร์ชะลอวัยคือการฟื้นฟูสุขภาพไม่ได้หมายถึงการมีริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวหนังแต่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงความแก่ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งจะเน้นการรักษาที่ดูแลอวัยวะและระบบในร่างกายให้แข็งแรง ป้องกันหลีกเลี่ยงโรคที่อาจเกิดขึ้นตามวัย ตามความเสื่อมของอวัยวะและร่างกาย หรือความเสี่ยงจากการใช้ชีวิตควบคู่กับการมีชีวิตที่ดีแบบยั่งยืน


การดูสุขภาพแบบ Anti-Aging ศาสตร์ชะลอวัย

ในด้านการรักษาโรคของเวชศาสตร์ชะลอวัยนั้นจะเป็นการรักษาร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน โดยจะได้รับยาเดิมที่เคยรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน แต่จะนำการรักษาแบบเวชศาสตร์ชะลอวัยมาเติมเต็มเข้าไปช่วย เพื่อให้คนที่เข้ามาปรึกษามีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นรวมถึงการฟื้นฟูสุขภาพด้วย

แต่สำหรับศาสตร์ชะลอวัยควรเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่แรกๆ หากไม่ได้เริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ดูแลไม่ทัน ก็สามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปได้เพื่อทำให้ชะลอวัยได้นาน เพราะในร่างกายมนุษย์ของคนเรานั้นมีกลไกความเสื่อมในร่างกายทุกคน อย่างเช่น สารอนุมูนอิสระ(Oxidant) ฮอร์โมนพร่อง และการสร้างหรือซ่อมแซม DNA ที่ผิดปกติ เป็นต้น เช่น หากร่างกายมีสารอนุมูนอิสระเป็นจำนวนมากอาจจะเกิดการรับประทานอาหารที่มีสารพิษเข้าไป ทำให้ร่างกายก็จะเกิดการเผาผลาญเพื่อทำลายสารพิษเหล่านั้นส่งผลให้มีสารอนุมูนอิสระในร่างกายเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก กระบวนการอักเสบก็จะเกิดขึ้นตามมา หากใครที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ปริมาณที่สูงและพอเหมาะ หรือสารที่สามารถยับยั้งการเกิดอนุมูนอิสระจะส่งผลยับยั้งการเกิดอนุมูนอิสระได้ ทำให้สารอนุมูนอิสระทำงานได้อย่างสมดุล ทำให้สารตกค้างที่เป็นของเสียจากกระบวนการเผาผลาญมีน้อยหรือไม่มีเลย ส่งผลให้กระบวนการอักเสบเกิดขึ้นน้อย ร่างกายก็จะเสื่อมช้า แต่หากใครที่มีสารต้านอนุมูนอิสระไม่เพียงพอ กระบวนการอักเสบก็จะเกิดขึ้นมากทำให้ร่างกายเสื่อมได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง


รูปภาพ:

บอกเลยว่าสารอนุมูนอิสระนั้นมาจากพฤติกรรมต่างๆ ที่หลายคนทำเป็นประจำ หรืออาจจะเป็นการได้รับจากภายนอกไม่ว่าจะเป็น

  • ความเครียดด้านร่างกาย เช่น อดนอน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ออกกำลังกายแบบหักโหม มีความเจ็บป่วย
  • ความเครียดทางด้านจิตใจ
  • การได้รับสารเคมี หรือมลภาวะ เช่น PM 2.5 ฝุ่น เป็นต้น
  • อาหารขยะ พวกอาหารทอด อาหารฟาสฟู๊ด อาหารที่ผ่านการแปรรูป อาหารแช่แข็ง หรืออาหารที่มีสารอาหารความจำเป็นหลงเหลือน้อย

รูปภาพ:

โดยพฤติกรรมเหล่านี้เป็นตัวสร้างอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย ยิ่งใครที่ทำพฤติกรรมนี้บ่อยๆ พวกสารอนุมูนอิสระในร่างกายก็ยิ่งมีจำนวนมาก การเสื่อมของร่างกายก็จะตามมาเรื่อยๆ หรือค่อยๆ สะสมนั่นเอง แต่นอกจากการสร้างอนุมูนอิสระให้กับร่างกายแล้วนั้น ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลให้การหลั่งของฮอร์โมนมากขึ้นตามมาอีกด้วยคือ

  • อายุที่มากขึ้นเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
  • อาหาร
  • อาหารเสริม ควรมาจากแหล่งธรรมชาติก่อนและเลือกชนิดที่มีสารอาหารสูง
  • การออกกำลังกาย
  • การนอน
  • ความเครียด
  • การเจ็บป่วย
  • การได้รับยาหรือสารเคมี
  • การได้รับสารพิษหรือโลหะหนัก

ดังนั้นแล้วสิ่งสำคัญมากที่สุดของศาสตร์ชะลอวัยหรือไม่เพียงแค่นั้นรวมไปถึงเวชศาสตร์ชะลอวัยแล้วนั้น คือการปรับพฤติกรรมของเรานั่นเอง


การดูแลรักษาแบบ Anti-Aging

การดูแลรักษาจากแพทย์ไม่ว่าจะเป็นการเสริมวิตามิน ฮอร์โมน หรืออาหารเสริมเป็นเพียงส่วนประกอบเพื่อดูแลสุขภาพช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะการดูแลรักษาสุขภาพจะไม่สมบูรณ์ถ้าเราไม่ปรับพฤติกรรมใช้ชีวิตร่วมไปด้วย เช่น จากปกตินอนดึกต้องปรับให้นอนเร็วขึ้น เคยสูบบุหรี่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปรับลดปริมาณจนสามารถเลิกได้ในที่สุด เรียกว่าต้องปรับการใช้ชีวิตและเลือกปฏิบัติเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสุขภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นผลเสียในทุกๆ ด้าน โดยแพทย์นั้นจะเป็นเสมือนผู้ที่ให้คำปรึกษาในการปรับพฤติกรรมให้เป็นไปตามสไตล์ของแต่ละคนเพื่อให้การดูแลสุขภาพนั้นเป็นแบบยั่งยืน


4 หลักสำคัญในการปรับพฤติกรรม ฉบับศาสตร์ชะลอวัยทำได้ง่ายๆ

รูปภาพ:

  1. เลือกสารอาหารที่ดีและมีประโยชน์
  2. นอนให้มีประสิทธิภาพ
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  4. ลดความเครียด

เหมือนจะง่ายทั้ง 4 ข้อ แต่บอกเลยว่ายังมีรายละเอียดยิบย่อยในแต่ละข้อด้วยเช่นกัน คือ


เลือกสารอาหารที่ดีและมีประโยชน์

การรับประทานอาหารนั้นควรให้เป็นเวลา ไม่ควรทานมื้อดึกเกิรไปทุกวัน มื้อเช้าควรเป็นมื้อที่อิ่มและอยู่ท้องแม้จะทานในปริมาณมาก แต่ในมื้อเย็นควรลดปริมาณให้น้อยลง อีกทั้งในแต่ละมื้ออาหารนั้นควรมีอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามโภชนาการ ต้องอย่าลืมลดปริมาณแป้งและน้ำตาลไปด้วย เพราะทั้งสองนี้เป็นตัวที่ช่วยให้ผิวเสื่อมและแก่เร็ว นอกจากนี้นั้นการเลือกชนิดของอาหารก็ควรใส่ใจด้วยเช่นกัน และควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแปรรูป


นอนให้มีประสิทธิภาพ

ควรที่จะเข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกวันรวมทั้งวันทำงานหรือวันหยุดร่วมด้วย ห้ามนอนกลางวันเป็นประจำหรือไม่ควรงีบเกิน 30 นาที และไม่ควรงีบหลังเวลา 15:00 น. เป็นต้นไป ในช่วงก่อนนอนพยายามหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม อย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนนอน หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และอาหารมื้อหลัก หรืออาหารที่มีรสจัด อาหารหวานอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนอน ทั้งนี้หากใครออกกำลังกายให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างน้อย 2 ชั่วโมงจะดีเป็นอย่างมาก สภาพแวดล้มสำหรับการนอนก็ควรมีอุณหภูมิที่เหมาะสม ระบายอากาศได้ดี ไม่ควรมีเสียงดังหรือเสียงรบกวน เพื่อการนอนอย่างเต็มอิ่มและมีประสิทธิภาพตลอด 7-8 ชั่วโมงการพักผ่อน


ลดความเครียด

การลดความเครียดนั้นสามารถเกิดได้จากการเลือกกิจกรรมที่ผ่อนคลายและชื่นชอบตามสไตล์ของแต่ละคน เพื่อลดการใช้ร่างกายและสมองเยอะลงนั่นเอง ซึ่งกิจกรรมตัวอย่างนั้น เช่น นั่งสมาธิ ดูหนังที่ผ่อนคลายสามารถเลือกการดูหนังตื่นเต้น หนังสยองขวัญ หรือหนังดราม่าได้ ฟังเพลงเพราะๆ ที่ชอบ อ่านหนังสือที่ใช่ เลือกงานอดิเรกที่ชอบมาทำ หากิจกรรมศิลปะมาลองทำ ไปเที่ยว หรือทำกิจกรรมตามความสนใจเฉพาะบุคคล สิ่งเหล่านี้ก็จะสามารถช่วยลดอาการเครียด วิตกกังวลทั้งสัปดาห์ของเราลงได้เพียงหากิจกรรมที่เราชอบและสามารถผ่อนคลายไปกับมันนานๆ ได้


แต่สำหรับใครที่สังเกตอาการตัวเองว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีนั้นสามารถใช้การรักษาแบบ Anti-Aging หรือเวชศาสตร์ชะลอวัยจากการพบแพทย์ เพื่อรักษาได้ตามที่ได้บอกข้างต้นได้ ซึ่งการรักษานั้นจะมีขั้นตอนดังนี้


✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿


เริ่มต้นดูแลสุขภาพด้วย Anti-Aging

รูปภาพ:

สำหรับผู้ที่มารับคำปรึกษาจากแพทย์ด้าน Anti-Aging นอกจากมาดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันให้ห่างไกลจากโรคแล้วยัง มาด้วยเหตุผลหลักคือมีปัญหาสุขภาพแต่ยังไม่ถึงขั้นป่วย เป็นโรคหาคำตอบของปัญหาไม่ได้ อาจจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อย ไม่สดชื่น ไม่มีแรงในการทำงาน ซึ่งพบได้บ่อยในช่วงวัยวัยทำงาน ซึ่งที่มาของอาการก็มาจากภาวะต่อมหมวกไตล้า รวมถึงบางคนมารับการดูแลรักษาเพราะได้รับคำแนะนำจากคนใกล้ชิดเพื่อส่งเสริมให้สุขภาพแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งการดูแลรักษาของแพทย์นั้นก็จะเน้นให้เวลาเพื่อการพูดคุยในทุกๆ เรื่องของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน ครอบครัว การรับประทานอาหาร การนอน การออกกำลังกาย แนวคิดและในแง่มุมต่างๆ เพื่อค้นหาที่มาของปัญหาและความเสี่ยงที่เป็น ซึ่งนี่คือหลักสำคัญของการดูแลแบบ Anti-Aging เมื่อได้รับข้อมูลในเชิงลึกของพฤติกรรมการใช้ชีวิตของบุคคลนั้นแล้ว แพทย์ก็จะเจาะลึกลงไปอีกระดับด้วยการตรวจเลือดเพื่อดูระดับวิตามิน แร่ธาตุ ระดับฮอร์โมน และส่วนอื่นๆ ที่จำเป็นในแต่ละคน ซึ่งสำหรับวิตามิน แร่ธาตุ หรือฮอร์โมนที่ขาดหรือพร่องไปนั้นก็จะมีการจัดการรักษาขึ้นแบบเฉพาะบุคคลหรือใช้แบบยาแตกต่างกัน เช่น ชนิดยาที่ควรรับประทาน เมื่อได้รับการเสริมในสิ่งที่ขาดอย่างถูกต้องและเหมาะสมนั้นก็สามารถได้รับสุขภาพที่ดีในอนาคตได้


นอกจากนี้การตรวจเพื่อตรวจหาค่าระดับพลังงานของเซลล์ในร่างกายเพื่อประเมินภาวะสมดุลทางพลังงาน ภาวะขาดสารอาหาร การทำงานของต่อมหมวกไต พลังงานจิตใจ ระดับน้ำและออกซิเจน รวมถึงความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอีกตัวช่วยที่สำคัญในการดูแลแบบ Anti-Aging เพราะหากสามารถตรวจพบว่าค่าพลังงานบกพร่อง นอกจากการรักษาด้วยการเสริมวิตามิน แร่ธาตุ และฮอร์โมนตามปกติแล้ว ยังเป็นแนวทางให้แพทย์สามารถใช้วิธีการรักษาที่ตรงจุดมากขึ้น อย่างเช่น CPT/FCT เป็นต้น


✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿ ✿


สรุป

บอกไปว่า ศาสตร์ชะลอวัย ที่ทำได้จากการปรับพฤติกรรมนั้นไม่ยากเพียงแต่ต้องใส่ใจเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เข้าไปด้วย เพราะรายละเอียดเหล่านั้นสามารถช่วยปรับพฤติกรรมให้ดีมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเรื่องของการกิน การนอน การออกกำลังกาย หรือการลดความเครียด เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้นั้นเป็นองค์ประกอบที่สามารถเป็นตัวเสื่อมภายในของร่างกายที่จะนำมาสู่ภายนอกอย่างเห็นได้ชัดได้ในอนาคต ซึ่งใครที่เพิ่งเริ่มต้นในตอนนี้บอกเลยว่าต้องค่อยๆ ปรับพฤติกรรมไป เพราะบางอย่างนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นชินแต่หากลองทำไปเรื่อยๆ แล้วบอกเลยว่าผลลัพธ์ที่จะได้นั้นคุ้มค่ากับการลงมือทำในครั้งนี้แน่นอน แต่ใครที่อยากได้สุขภาพแบบครบถ้วนสามารถเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาแบบ Anti-Aging ได้เลย เพราะเป็นการตรวจและรักษาแบบครบวงจรแถมยังได้สุขภาพที่ยั่งยืนกลับมาด้วย แต่ใครที่สะดวกแบบไหนสามารถเลือกทำแบบนั้นกันได้เช่นกัน


ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก : Freepik



บทความอื่นๆ ที่ซิสไม่ควรพลาด






เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้