ความใจบุญ คือเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงเราดูน่ารักมากขึ้น รักเด็ก รักสัตว์ รักคนแก่ มีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก โอ้โห! นางฟ้าชัด ๆ แต่...มนุษย์เรามีขีดจำกัดในการใช้ชีวิตค่ะอะไรที่มากไป ก็จะส่งผลเสียต่อตัวเราได้
ความใจบุญหากมีให้กับคนที่สมควรจะได้ เราก็สบายใจและอิ่มบุญจริง ๆ แต่ถ้าให้โดยไม่เลือก ให้เพราะสงสารตลอด ก็เสี่ยงเกินไปที่คนคิดไม่ซื่อจะมาหลอกเราได้ ความใจอ่อน ขี้สงสาร ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไปที่จะปรับเสียใหม่เพื่อป้องกันตัวเองและรักษาแต่คนดี ๆ ไว้ค่ะ
#1 ประเมินสถานะของคนที่มาขอความช่วยเหลือ
ก่อนจะช่วยเหลือใคร ซักถาม สังเกตดูให้ดีก่อนว่า คน ๆ นั้นเดือดร้อนจริงหรือไม่? เขาช่วยเหลือตัวเองได้หรือไม่? ถ้าเขาพอจะช่วยเหลือตัวเองได้ นิ่งไว้ก่อน อย่ามือไวโอนไว ในขณะเดียวกันถ้าเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จริง ๆ ก็อย่าเพิ่งออกตัวรีบช่วยทันที เดี๋ยวนี้มิจฉาชีพเยอะ แม้กระทั่งแฝงมาในคราบคนใกล้ตัวก็มีให้เห็นตามข่าวเรื่อย ๆ ต้องเช็คประวัติให้ชัวร์ก่อนค่ะ
#2 ประเมินความสามารถของตัวเอง
การให้ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินทอง ในเบื้องต้นนั้น เราพูดคุย สอบถาม ให้กำลังใจกันได้ เพื่อให้เขารู้สึกว่าเราพร้อมจะรับฟังอย่างเป็นมิตร อย่าเพิ่งรับปากในทันทีว่าจะช่วยโดยไม่ดูให้ดีก่อนว่าเราพร้อมจะรับภาระไหวหรือไม่? รับได้แค่ไหน? ถ้ากำลังของตัวเองไม่มากพอ แค่อยู่เป็นเพื่อนคุย เป็นที่ปรึกษาก็พอค่ะ
#3 ช่วยในสิ่งที่ตรงปัญหาของเขามากที่สุด
ตีโจทย์ให้แตกว่าปัญหาของเขาคืออะไร บางปัญหาไม่จำเป็นต้องใช้เงินเป็นหลักก็ได้ เช่น หากพบขอทาน ไม่จำเป็นต้องให้เงิน แต่เราเลี้ยงข้าวกล่องสักชุดให้เขาได้ การใช้เงินไม่ได้แก้ปัญหาทุกเรื่องเสมอไป เพราะบางทีมิจฉาชีพก็ปลอมตัวมาเป็นคนยากไร้ หากินกับความขี้สงสารของคนอื่นได้
#4 อะไรที่เราไม่ไหวจริง ๆ อย่ายอม!
การให้อย่างไร้ข้อแม้เป็นการให้ที่อันตรายที่สุด! เพราะบางทีคนที่มาขอเราเกิดติดใจเราขึ้นมาก็ยอได้เรื่อย ๆ ด้วยเพราะเห็นว่าเราง่ายกว่าใคร สะดวกกว่าใคร ดังนั้น ควรมีกฎเพื่อเบรกตัวเอง ( และคนที่มาขอ ) ตั้งแต่แรกว่าเราสะดวกที่จะช่วยได้แค่ไหน ตรงไหนที่เราไม่สะดวกจริง ๆ ก็ยอมรับไปตรง ๆ ว่ามันเกินกำลังเรานะ จดบันทึกหรือพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษรยิ่งดี กันลืม
#5 อย่าเกรงใจที่เราจะเตือนเขาบ้าง
ในกรณีที่เป็นคนคุ้นเคยกันดี อย่าเกรงใจที่จะเตือนในสิ่งที่เราเห็นว่าเริ่มไม่โอเค ความปรารถนาดีไม่จำเป็นต้องอยู่ในบริบทของการช่วยเหลือกันเท่านั้น การตักเตือนกันก็เป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อเบรกให้เขารู้สึกตัวว่าอะไรบ้างที่ชักจะไม่โอเคต่อคนอื่น หรือชักจะเกินขอบเขตไปแล้ว ( เตือนด้วยน้ำเสียงดี ๆ และโอกาสที่เหมาะนะคะ อย่าฉีกหน้ากัน เดี๋ยวจะมองหน้ากันไม่ติด )
#6 ฝึกปฏิเสธคนบ้าง
ตราบใดที่ไม่ได้เป็นมูลนิธิหรืออยู่ในบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ อย่าเป็นแม่พระที่ช่วยคนไม่เลือกหน้า หัดวางเฉยและปฏิเสธในเคสที่รู้สึกว่าไม่โอเค หรือไม่พร้อมจะช่วยจริง ๆ บ้าง เงินทองและพลังเป็นสิ่งที่หมดง่ายมาก เก็บไว้กับตัวเราเองและคนที่คู่ควรที่สุดจะดีกว่า
#7 อย่าเก็บคำคนมาใส่ใจมาก
อย่าช่วยใครเพียงเพราะไม่อยากให้เขามานินทาเรา กลัวมองเราในแง่ร้าย หรือกลัวว่าจะเอาเราไปพูดในทางที่ไม่ดี การปฏิเสธหรือช่วยได้แค่น้อยนิด เป็นสิทธิที่เราทำได้ไม่ผิดกฎหมาย และคนอื่นก็ต้องเคารพสิทธิเราด้วย
#8 หัดขอความช่วยเหลือคนอื่นบ้าง
การขอความช่วยเหลือคนอื่นบ้าง เป็นการสร้างภูมิต้านทานของจิตใจให้รู้สึกว่าเราก็มีค่า มีความเท่าเทียมกับคนอื่น ทีให้ความช่วยเหลือคนอื่นยังทำได้ ทีเราขอคนอื่นให้ช่วยบ้างทำไมจะไม่ได้? การที่เป็นคนขี้เกรงใจคนอื่นมากเกินไป เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ ในที่สุดเราจะอ่อนแอ เหมือนสะกดจิตตัวเองว่าเกิดมาเพื่อช่วยคนอื่น จนทำให้เรากลายเป็นแม่พระพร่ำเพรื่อ
--------------------------ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นคนที่สนิทมาก ๆ หรือคนแปลกหน้า หากคิดจะช่วยก็ช่วยเท่าที่สะดวกและคิดมาดีแล้วว่าตรวจสอบได้ ไว้ใจได้ อย่าช่วยในแบบที่เราจะลำบากใจทีหลังค่ะ เพราะการช่วยแบบนั้นเท่ากับว่าเราส่งเสริมให้มิจฉาชีพได้ใจ ชอบใจที่จะหลอกคนอื่นไปเรื่อย ๆ ขอให้สาว ๆ รักษาความดีในแบบที่พอดี ๆ อย่ามากเกินไปจนทำร้ายตัวเองนะคะ ขอให้พระคุ้มครองจ้า ^^--------------------------