ธีธัชชะลอรถห่างออกมาจากร้านขายส่งดอกไม้ต้นไม้เมื่อเห็นรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่ ชายฉกรรจ์กำลังขนไม้ดอกหลายกระถางขึ้นกระบะหลังรถ โดยมีสตรีวัยกลางคนซึ่งสวมหมวกปีกกว้างช่วยยกกระถางดอกไม้จนเต็มกระบะของรถปิกอัพสีดำ

หญิงผู้นั้นคงเป็นมารดาของมัทรีที่เขาเคยพบเพียงครั้งเดียว เขาไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านจะมองตนเปลี่ยนไปเช่นไร

ชายหนุ่มเคลื่อนรถไปใกล้หลังรถกระบะขับออกไปแล้ว เมื่อเขาดับเครื่องยนต์ สตรีผิวคร้ามแดดก็หันมอง ธีธัชพนมมือไหว้ ก่อนท่านจะขยับหมวกบังแสงแดดเพื่อมองให้ชัดว่าเขาเป็นใคร

"สวัสดีครับ แม่..." เขาเรียกท่านด้วยคำที่เคยเรียก

อัมพรรับไหว้ เธอจำบุรุษตรงหน้าได้ แล้วก็แปลกใจที่เขามาปรากฏตัวที่นี่หลังเลิกรากับบุตรสาวของตนไปนานสองนาน แม้ชายผู้นี้จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการส่งเสียค่าเลี้ยงดูยัยหนูมาตลอด หากคนเป็นแม่ก็ยังขุ่นเคืองใจอยู่บ้างที่เขาคือต้นเหตุความทุกข์ของลูก

"ผมมาหามัทกับลูกน่ะครับ"

"มัทไม่อยู่ค่ะ มีอะไรเดี๋ยวแม่บอกมัทให้"

เล่นละครบทบาทต่าง ๆ มาก็มาก แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่นักแสดงหนุ่มกระอักกระอ่วนใจเช่นนี้เลย

"ถ้าอย่างนั้นผมขอขึ้นไปหาน้องปลายนะครับ"

"มัทบอกคุณเรื่อง... เรื่องน้องปลายแล้วหรือ"

อัมพรนิ่วหน้าประหลาดใจ เธอเคยบอกลูกให้ลดทิฐิ หันหน้ามาคุยกับพ่อของหลานอีกครั้งเมื่อหมอที่ทำการรักษาชี้แจงถึงอาการป่วยของเด็กหญิงปลายฟ้า หากมัทรีก็ใจแข็งเหลือเกิน

"เปล่าครับ ผมมาหามัทอาทิตย์ที่แล้วถึงได้รู้"

"อ้าว มัทไม่เห็นบอกแม่เลย"

และเพราะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในความสัมพันธ์ของบุตรสาว อัมพรจึงยินยอมให้ชายหนุ่มได้อยู่รอมัทรีที่นี่ เธอนำเขาเข้าไปในบ้านพลางถอดหมวกปีกกว้างมาถือไว้แทน"แม่โทรตามมัทให้ สักครู่นะคะ""ไม่เป็นไรครับแม่" ธีธัชรีบบอกท่าน "ผมขอขึ้นไปดูน้องปลายนะครับ""เอางั้นหรือ แต่เดี๋ยวมัทก็คงมา นี่ออกไปส่งแบบสวนที่ออกแบบให้กับรีสอร์ตในตัวจังหวัดค่ะ"

ธีธัชพยักหน้า เขายิ้มสุภาพด้วยความขอบคุณที่ท่านให้โอกาส ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดที่เคยขึ้นไปครั้งหนึ่ง

วันนี้ห้องที่อยู่สุดระเบียงทางเดินปิดประตูไว้ เขาหมุนลูกบิดเข้าไป ระวังให้เกิดเสียงเบาที่สุด ก่อนจะก้าวช้า ๆ ผ่านเตียงนอนของมัทรีตรงไปยังเตียงเด็กสีขาวข้างหน้าต่าง เครื่องปรับอากาศยังคงทำงานให้ความเย็นฉ่ำ ทว่าเหงื่อกาฬกลับซึมผ่านผิวกายเขาออกมา

ธีธัชไล่สายตามองตั้งแต่โต๊ะหัวเตียงซึ่งมีกระบอกและสายยางต่าง ๆ วางอยู่ ก่อนจะแลเลยมายังตัวเลขดิจิตอลบนหน้าจอเครื่องมือทางการแพทย์ คลับคล้ายคลับคลากับเครื่องช่วยหายใจที่เคยใช้ประกอบฉากการแสดง มีท่อต่อออกจากเจ้าเครื่องนั้นมาที่คอของลูกน้อยของเขา

มือชื้นเหงื่อกำขอบเตียงไว้แน่น เขาเม้มปากเป็นเส้นตรงไม่ให้เสียงสะอื้นผ่านลำคอออกมา แต่กับน้ำตา... มันหยาดรินลงตามร่องแก้มอย่างไม่อาจฝืนกลั้นได้อีกต่อไป ยิ่งเมื่อดวงตาใสแจ๋วมองสบมาอย่างไร้เดียงสา ผู้เป็นพ่อก็แทบทรุดอยู่ข้างเตียงด้วยความเวทนาสงสารสุดหัวใจ

ลูกของเขาหน้าตาน่ารัก แกไม่ได้ต่างจากเด็กคนอื่นเลย เว้นแต่ร่างกายซึ่งเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกัน สายพลาสติกเส้นเล็กที่ต่อออกจากจมูก และท่อนั่น...ท่อที่ต่อออกมาจากคอเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ

ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับลูกของเขา โรคบ้าๆ ที่มัทรีเคยอธิบายราวกับทำใจยอมรับได้ แต่เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี รู้แต่เพียงว่าเด็กหญิงจะต้องหาย และเขาจะทำทุกวิถีทางให้ลูกของเขากลับมาเป็นปกติเช่นเด็กคนอื่นให้จงได้

ชายหนุ่มยกนิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตา เขาค่อย ๆ ยื่นมือไปจับมือเล็กของเด็กน้อย แกมิได้กำตอบ แต่ดวงตากลมโตก็ละจากโมบายของเล่นมามองหน้าเขาอีกครา

"น้องปลาย..." ธีธัชทอดหางเสียงอ่อนโยนที่สุด "ลูก..."

ดวงหน้าเล็กคล้ายจะยิ้ม ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับออกจากกันเล็กน้อย แค่นั้นหัวใจพ่อก็เต็มตื้นขึ้นมา

เขาอยากก้มลงหอมลูก แต่ไม่แน่ใจว่านั่นจะปลอดภัยต่อแกหรือเปล่า จึงทำเพียงไล้นิ้วมือไปบนแก้มใสแผ่วเบา แล้วริมฝีปากเล็กก็ขยับเหมือนจะส่งเสียงบางอย่าง แต่ก็เบาเหลือเกิน

มัทรีเปิดประตูห้องเข้ามาเห็นภาพนั้น จากความหงุดหงิดที่เขามายุ่งวุ่นวายก็กลายเป็นความอ่อนใจ ธีธัชไม่ได้ถอยห่างและเบือนหน้าหนีจากลูกเช่นเมื่อแรกพบแก กระทั่งเขาเห็นเธอก้าวเข้ามา ร่างสูงจึงเหยียดหลังขึ้นมาสบตาเธอ

"ลงไปคุยกันข้างล่างเถอะค่ะ"

"ปกติมัทให้ลูกอยู่คนเดียวอย่างนี้หรือ" เขาถามขึ้นก่อนจะลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายเสียอีก

มัทรีรินน้ำให้แขกพร้อมกับวางลงบนโต๊ะกระจก เหมือนบอกกลาย ๆ ให้เขานั่งตรงนั้นและอย่าสร้างความวุ่นวายแก่เธออีก ลำพังที่ดาราดังอย่างเขามาปรากฏตัวต่อหน้าพวกตนก็ทำเอาเธอกับแม่วุ่นวายใจแล้ว

"แกอยู่ได้ค่ะ" เธอตอบสั้น ๆ

"แล้วถ้าไฟดับล่ะ เครื่องนั่น..."

"มันสำรองไฟ"

"แล้วถ้าลูกร้อง"

หญิงสาวหยิบเบบี้มอนิเตอร์ออกมาวางต่อหน้า มันเป็นเครื่องตรวจจับเสียงร้องไห้ รูปทรงเหมือนวิทยุพกพาแบบวอล์คกี้ทอล์คกี้ มีเจ้าเครื่องคล้ายกันนี้อีกอันอยู่ปลายเตียงลูกน้อยคอยส่งสัญญาณเข้ามาในเครื่องของเธอ

ธีธัชอับจนคำพูด ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะจัดการชีวิตลงตัวดีแล้วจนเขานึกละอาย

"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมจะหาพยาบาลพิเศษมาช่วยดูลูก"

มัทรีไหวไหล่ ถ้านั่นจะทำให้เขาสบายใจและเลิกยุ่งเกี่ยวกับพวกเธอก็ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ

"มีเพื่อนรุ่นเดียวกับผมคนหนึ่งเป็นหมอที่โรงพยาบาลใหญ่ ผมจะพาลูกไปพบเขา"

คราวนี้คนเป็นแม่ตวัดมอง เป็นสัญชาตญาณของความหวงลูกก็ว่าได้ และที่สำคัญ... เธอมั่นใจว่าพาลูกไปรักษากับแพทย์ที่ดีที่สุด เก่งที่สุดคนหนึ่งทางด้านนี้มาแล้ว

"ฉันคิดว่าถ้าคุณไม่อยากเป็นข่าว ทางที่ดีก็ปล่อยให้อะไร ๆ เป็นไปเหมือนที่ผ่านมาดีกว่าค่ะ ฉันไม่ปริปากบอกใครอยู่แล้ว แต่ยิ่งคุณพยายามมาเจรจากับฉันอย่างนี้มันก็มีแต่สุ่มเสี่ยงมากขึ้น เรื่องน้องปลายฉันดูแลแกได้ คุณไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรเลยค่ะ จริง ๆ นะ มัทไม่ใช่คนทำอะไรประชดใคร คุณก็น่าจะรู้"

ธีธัชโคลงศีรษะพร้อมกับกุมขมับ ไปกันใหญ่แล้ว ธุระของเขาไม่ใช่การให้เธอปิดปากเงียบเช่นเมื่อก่อน แต่คือการแถลงข่าวยอมรับกับสังคม ซึ่งเขาคิดว่าคนแรกที่ควรยอมรับในเรื่องนี้ให้ได้เสียก่อนก็คือเธอ

เอาล่ะ ประการแรกเลยคือเขาควรลดความห่างเหินระหว่างกันเสียก่อน ด้วยการกลับมาพูดจาเหมือนคนเคยรักเคยรู้จักกัน

"ฟังนะมัท พี่... พี่รู้ว่าตัวเองผิดและเห็นแก่ตัวที่ไม่ได้เปิดเผยเรื่องมัทกับลูกแต่แรก แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว พี่ก็ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการบันเทิง แล้วลูก... น้องปลายไม่สบายแบบนี้ มัทคิดว่าพี่จะดูดายได้อยู่เหรอ"

มัทรีกลอกตาอ่อนใจ เธอไม่เข้าใจอยู่ดีว่าช่วงเวลาแค่ปีสองปีจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเขาบอกได้อย่างไร และที่สำคัญ... มัทรีไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนี้อีก

"ฉัน..."

" 'ฉัน' อีกแล้ว ไหนมัทบอกเองว่าไม่ใช่คนช่างประชด"

หญิงสาวเม้มปากแน่น อยากจะฮึดฮัดขึ้นมาเหมือนกันว่าเขาไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้องอะไรจากเธอ แต่ก็ไม่ต้องการให้ธีธัชได้ใจที่เขาสามารถอยู่เหนืออารมณ์ความรู้สึกของเธอได้

"ฉัน" มัทรีเน้นคำ "ไม่เคยขัดขวางความเป็นพ่อลูกของคุณกับน้องปลาย คุณจะมาหาแกเมื่อไรก็ได้ ถ้าไม่คิดว่าอาจตกเป็นข่าวนะคะ"

ธีธัชถอนใจเฮือกใหญ่ ทำไมการเจรจามันถึงยากเย็นนัก ทั้งที่มีผู้หญิงมากมายอยากจะจับให้เขาไปเป็นพ่อของลูกพวกหล่อนเสียให้รู้แล้วรู้รอด

นักแสดงหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือหลังรู้สึกถึงแรงสั่นของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง เย็นนี้เขามีงานโชว์ตัวที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางกรุง และควรต้องเผื่อเวลากว่าจะฝ่าการจราจรติดขัดไปถึง

"เอาเป็นว่าพี่จะมีงานแถลงข่าวเร็ว ๆ นี้ มัทคงต้องไปด้วย เท่านี้ล่ะ" เขารวบรัดตัดความพลางลุกยืน

มัทรีก้าวตามไปที่กรอบประตู เธอกำลังจะต่อว่าที่เขามัดมือชกเช่นนี้ แต่สายตาของแม่ซึ่งมองมาก็ทำให้ต้องสะกดกลั้นความโกรธกลับลงไป

เธอมองเขาไหว้ลา ยิ้มแย้มเป็นอันดีกับมารดาของตนแล้วก็ได้แต่ลอบถอนใจ หญิงสาวไม่อยากเชื่อว่าธีธัชจะมาสำนึกคิดได้ในตอนนี้ ไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ

เป็นอีกครั้งที่นักแสดงหนุ่มต้องหลบหนีนักข่าวด้วยความช่วยเหลือของผู้จัดการสาวหล่อ ก่อนที่รถตู้ติดฟิล์มสีดำทึบจะเคลื่อนออกจากห้างสรรพสินค้ามาโดยไม่เป็นที่สนใจ

ธีธัชปลดเน็กไทภายหลังเสร็จสิ้นงานเปิดตัวรถยนต์ขนาดกลาง ณ ลานห้างสรรพสินค้า ชายหนุ่มปรายตามองหน้าจอแท็บเล็ตที่ผู้จัดการของเขาเลื่อนอ่านข่าว แล้วก็ชักสายตากลับแทบไม่ทันเมื่อเสียงบ่นลอยมา

"เอาแล้วไง ทวิตเตอร์นักข่าวเริ่มแซะนายแล้วไง 'พระเอกเทวดาคนต่อไปหลบสื่ออีกแล้ว' จะตั้งฉายาทั้งทีคิดชื่อใหม่ก็ไม่ได้เว้ย"

ธีธัชถอนหายใจพลางเบือนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างรถแทน

"ฉันก็มัวแต่ดูคิวเด็กรุ่นใหม่ ตกลงเรื่องที่ให้ไปจัดการน่ะเป็นไง ถ้าตกลงกันได้จะได้นัดแถลงข่าวที่ช่อง ผู้ใหญ่ก็เร่งมานี่"

"พี่ก็นัดวันมาแล้วกัน ผมคุยกับเขาแล้ว" เขาตอบเนือย ๆ

"เอ๊า แล้วทำไมไม่บอก"

ปุ้มปุ้ยค่อยโล่งใจ แต่แรกเธอคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะเรียกร้องสิ่งใดเกินกว่าพวกตนจะให้ได้เสียอีก

"ตกลงว่าจะโฟกัสไปที่ลูกนะ ส่วนแม่เด็กก็บอกว่าเป็นเพื่อนกัน ลูกนายน่าจะขวบกว่าแล้วนี่นะ พามางานแถลงด้วยสิ จะได้เป็นขวัญใจสื่อและแฟน ๆ"

"ไม่ได้หรอกพี่ น้องปลายไม่ค่อยสบาย เอาเป็นว่าถ้าช่องรีบก็แถลง ๆ ไปก่อน แค่ผมกับมัทแล้วกัน"

ผู้จัดการมาดทอมเปิดหน้าจอแท็บเล็ตอีกครั้ง ธีธัชปิดเปลือกตาลงขณะได้ยินเสียงปุ้มปุ้ยติดต่อหาคนในช่อง พูดคุยรายละเอียดซึ่งเขาก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ในหัวสมองตอนนี้กลับไปคิดถึง เป็นห่วงลูกอีกครา

บางทีเขาควรพักงานช่วงนี้เพื่อดูแล ทำความคุ้นเคยกับแก แค่เพียงคิดถึงดวงตากลมโตที่มองมาอย่างไร้เดียงสา ปากจิ้มลิ้มพยายามขยับยิ้ม ธีธัชก็ยิ้มออกมาได้ ความรู้สึกหนักอึ้งในใจเบาบางลงอย่างน่าอัศจรรย์

เขายังไม่เคยป้อนนมให้แก ไม่เคยเปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำ เช็ดตัว หรือทำสิ่งต่าง ๆ ให้ลูกเลย และกระหายใคร่รู้ว่าความรู้สึกยามได้ทำหน้าที่พ่อเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร

"ธีร์ ฟังอยู่หรือเปล่า" เสียงแข็งถามขึ้น ปลุกชายหนุ่มจากภวังค์ความคิด

"ฮะ อะไรนะ"

"พรุ่งนี้พี่จะเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ที่ช่อง งานแถลงน่าจะมีขึ้นสัปดาห์หน้า"

อีกไม่กี่วันเท่านั้น ธีธัชอยากใช้เวลานี้ทำในสิ่งที่ต้องการที่สุด อย่างน้อยเขาจะได้ไม่สมเพชตัวเองเกินไปหากต้องแถลงข่าวราวตนเป็นพ่อที่ดีตลอดมา

"อาทิตย์นี้ผมมีคิวงานอะไรหรือเปล่าพี่"

"ก็นายขอพักอาทิตย์หนึ่งหลังปิดกอง จะมีก็แต่งานโชว์ตัวกับงานเลี้ยงปิดกองนั่นแหละ"

"งั้นพี่เลื่อนงานโชว์ตัวช่วงเจ็ดถึงสิบวันนี้ไปก่อน แล้วงานเลี้ยงปิดกล้องผมขอบายนะ"

ผู้จัดการสาวหล่ออ้าปากจะต่อว่า หากชายหนุ่มรีบยกมือปราม เขาค้นหาสมุดเช็กในกระเป๋าซึ่งพกติดตัวเสมอ ก่อนกรอกตัวเลขลงไปแทนค่าเสียผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายจะได้รับ

ปุ้มปุ้ยผลักมือที่ยื่นเช็กส่งมา แสงตาเข้มขึ้นด้วยความไม่พอใจ

"เรื่องแค่นี้คุยกันแบบพี่น้องก็ได้ธีร์ ไม่ต้องใช้เงินคุยทุกเรื่องเสมอไป"

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงพูดจาขอร้องผู้จัดการดี ๆ ทว่าตอนนี้เขาไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว การปฏิเสธของปุ้มปุ้ยจึงยิ่งสร้างความสับสนให้แก่ธีธัช

เขาบอกขอบคุณอย่างละอายใจ ก่อนจะพับเก็บเช็กใบนั้นใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตแก้เก้อ เมื่อไม่มีความไว้วางใจ ความสนิทสนมก็ดูจะลดลงจนกลายเป็นความอึดอัดใจต่อกัน

พนักงานของบาร์หรูบนโรงแรมชื่อดังไม่แปลกใจที่ได้พบพระเอกซึ่งกำลังเป็นข่าวแวะเวียนมาบ่อย ๆ เมื่อเจ้านายของพวกตนซึ่งเป็นทายาทเจ้าของโรงแรมนี้คือเพื่อนของธีธัชนั่นเอง บาร์แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่ชายหนุ่มมักมาพักผ่อนหย่อนใจ

ลูกค้าส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นชาวต่างชาติ หรือไม่ก็คนมีระดับที่ไม่สนใจใคร ดาราอย่างเขาอาจต่ำต้อยกว่าผู้มีอันจะกินเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ เขาสามารถนั่งดื่มได้โดยไม่มีใครสนใจซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ยากจะหาได้จากที่อื่น

ค่ำคืนนี้ธีธัชเลือกนั่งยังเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์บริกร หันหลังจากผู้คนทั้งร้าน น้ำสีอำพันในแก้วใสสะท้อนกับแสงสีทองของโคมไฟด้านบน เขาเริ่มแสบตาอีกครั้งประสาคนพักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วก็ต้องหลับตาพลางยกมือกดหัวคิ้วที่ผูกแน่นมาตลอดเย็น

ใบหน้าลูกน้อยเด่นชัดขึ้นในมโนภาพ พร้อมกับเสียงต่อว่าของเพื่อนสะท้อนดังในโสตประสาท แทรกด้วยคำพูดเย็นชาของอดีตคนรัก ทุกอย่างชัดขึ้น ดังขึ้นพร้อมๆ กัน

"มัท!"

ชื่อที่ผ่านริมฝีปากออกไปเรียกสติให้ลืมตาอีกครั้ง ธีธัชเหลียวมองรอบกายเมื่อคิดว่าตนตะโกนออกมา หากก็ไม่มีใครสนใจสักคน แม้แต่บริกรที่อยู่ใกล้สุดก็ยืนเช็ดแก้วราวไม่รับรู้ความผิดปกติใด

เขาตัดสินใจวางธนบัตรแทนที่จะเป็นบัตรเครดิตดังเคย ไม่อยากรอกระทั่งเวลาเซ็นชื่อไม่ถึงนาทีนั่น แล้วจึงลุกออกไปยังชั้นจอดรถ

ชายหนุ่มโยนเสื้อแจ็คเก็ตไว้บนเบาะข้างก่อนขึ้นนั่งในรถ เขามิได้ขับออกไปในทันที หากนิ่งคิดว่าเหตุใดชื่อของมัทรีจึงผ่านริมฝีปากตนออกไป เพราะโกรธ หงุดหงิด หรือว่าคิดถึง...

คิดถึงน่ะหรือ เขาจะคิดถึงแฟนเก่าที่เลิกรากันไปตั้งนานได้อย่างไร

ก้อนเนื้อในอกคล้ายจะขยับเคลื่อนไหว มันเป็นความรู้สึกเดียวกับเมื่อแรกรู้จักเธอ หญิงสาวผู้เปรียบเสมือนแสงสว่างเล็ก ๆ ในใจเขา ยิ่งมืดมนเพียงไร เขาก็ยิ่งมองหาแสงนั้น มองหาเธอ

สี่ปีก่อน

เสียงโมบายหน้าประตูร้านดังไพเราะเมื่อประตูกระจกถูกผลักเปิด ร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามาพลางกวาดตามองหาผู้ซึ่งตนนัดหมาย

บ่ายแก่ที่ทุกคนเริ่มงานกันหมดทำให้ร้านกาแฟในซอยทองหล่อมีลูกค้าไม่มากนัก หนึ่งในนั้นคงเป็นมัณฑนากรสาวที่เขานัดเธอไว้ ว่าแต่คนไหนเล่า... ธีธัชไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเธอมาก่อนเลย

หลังจากยืนเก้ ๆ กัง ๆ กลางร้านโดยไม่มีใครแสดงตัวว่ามารอ ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจโทร. ไปยังเลขหมายที่ทางบริษัทต้นทางให้ไว้ แต่เลขหมายซึ่งเคยติดต่อได้ก็กลับไม่มีคนรับสายเสียอย่างนั้น อารมณ์หงุดหงิดจึงพาลลงที่เพื่อนแทน

"ไอ้โบ้ เด็กมึงเบี้ยวนัดแล้วว่ะ"

"อะไร เด็กกูก็ต้องอยู่กับกูสิ" บุรินทร์ตอบกวนมาตามสาย

"ฉันหมายถึงยัยมัทนาอะไรนั่น ป่านนี้ยังไม่โผล่มา นี่กองถ่ายเขาพักเฉย ๆ ฉันถึงแวะมาเจอได้นะ ไม่มีเวลารอคุณเธอทั้งวัน"

คนฟังแปลกใจกับคำพูดของเพื่อนจนลืมแก้ชื่อที่ถูกต้องของหญิงสาว

"เฮ้ย มัทก็อยู่ที่ร้านนั่นแหละ เนี่ย ในเฟซบุ๊กเพิ่งเช็กอินที่ร้านเมื่อสิบนาทีที่แล้ว"

คราวนี้ธีธัชค่อยลดโทรศัพท์ลง เขากวาดตามองทั่วร้านซึ่งมีลูกค้าอยู่เพียงสามคน เป็นหนุ่มแว่นคนหนึ่งและสาวใหญ่ ก็คงเหลือแต่หญิงสาวซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ เธอก้มหน้ามองแท็บเล็ตบนตักพลางจิ้มพิมพ์อย่างเมามัน

"เจอละ ตัวอ้วน ๆ ดำ ๆ ใช่ป่ะ" เขาเอ่ยขึ้นลอย ๆ ทั้งที่วางสายไปแล้ว

ได้ผล... ใบหน้าผุดผาดเงยขึ้นมองอย่างรวดเร็วเสียจนผมหางม้าสะบัด ก่อนดวงตาคู่งามจะหลบวูบเมื่อถูกรู้เท่าทัน

ธีธัชสั่งกาแฟก่อนจะเดินไปนั่งตรงข้าม ทันเห็นเจ้าหล่อนกดปิดหน้าจอแท็บเล็ตพลางส่งยิ้มมา ไม่รู้หรือไรว่าเขาหงุดหงิดและเกลียดการปั่นหัวแบบนี้จากคนที่ไม่รู้จักกัน

"ทำไมคุณไม่แสดงตัวแต่แรก มันเสียเวลาทั้งผมและคุณ"

"ฉันเสียเวลาขับรถอ้อมเมืองตามกองถ่ายคุณมาทั้งวันแล้วค่ะ" มัทรีตอบพร้อมรอยยิ้ม

รอยยิ้มนั้นเปิดเผย จริงใจ เหมือนคนรักสนุกที่ไม่ถือสาอะไรเกินกว่าจะฟังดูประชดประชัน

พระเอกหนุ่มได้แต่ยกกาแฟขึ้นจิบแก้เก้อ เขาเองที่นัดเธอไปแถวถนนสุทธิสาร ก่อนกองถ่ายจะเสร็จเร็วก่อนเวลาและมีงานต่อที่ตึกสถานี ทว่าเจ้าหล่อนยังไม่ทันมาถึงตนก็ต้องมาอัดรายการแถวสุขุมวิทต่ออีก กระทั่งนัดเจอกันที่ร้านกาแฟแห่งนี้

"ผมต้องขอโทษด้วย แต่ว่าต่อไปอย่าทำอย่างนี้ เพราะผมก็ไม่ได้สนิทสนมกับคุณ เข้าใจนะ"

"ค่ะ ฉันก็ขอโทษคุณค่ะ"

เธอยังคงยิ้มอยู่นั่นเอง แม้รอยยิ้มจะเจื่อนลงเล็กน้อยก็ตาม

มัทรีเริ่มต้นใหม่อย่างเป็นทางการด้วยการส่งนามบัตรให้อีกฝ่ายพร้อมกับหยิบสมุดจดออกมาเพื่อสอบถามถึงความต้องการของลูกค้า

"มัทรี..."

เธอเลิกคิ้วเมื่อเขาลืมตัวอ่านชื่อบนนามบัตร ธีธัชมั่นใจว่าจากนี้ต่อไปคงไม่มีทางจำชื่อผู้หญิงคนนี้ผิดอีกแล้ว เธอมีบางอย่าง... บางอย่างในตัวที่ลงว่ารู้จักกันแล้วจะไม่มีวันลืม

"ค่ะ เรามาคุยเรื่องตกแต่งภายในในแบบที่คุณต้องการดีไหมคะ" เธอถามขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง

"คุณจะจดทุกอย่างลงสมุด แทนที่จะเป็นแท็บเล็ตเครื่องนั้นน่ะหรือ"

คนรีบกลับเป็นคนที่โยกโย้เสียเอง เขาอยากคุยกับเธออีกสักหน่อย ชอบฟังเสียงที่ตอบเป็นคำ ๆ อย่างชัดเจน

"ค่ะ หัวฉันแล่นเวลาเขียน เราจะเริ่มกันหรือยังคะ"

ธีธัชพยักหน้า เขาบอกความต้องการของเขากับมัณฑนากรสาว ถ่ายทอดภาพห้องหับในความคิดให้เธอรับฟังตลอดยี่สิบนาทีต่อจากนั้น และปิดท้ายบทสนทนาด้วยการบอกที่อยู่บ้านซึ่งกำลังก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จเพื่อที่เจ้าหล่อนจะได้เข้าไปดูสถานที่จริง

"ถ้าฉันเข้าไปดูสถานที่แล้วจะทำภาพจำลองมาให้คุณดูก่อนนะคะ"

"คุณจะเข้าไปเมื่อไร"

หัวสมองชายหนุ่มเตรียมเปิดตารางงานในลิ้นชักความจำ ถ้าว่างแม้แค่เพียงปลีกตัว บางทีเขาอาจเข้าไปดูบ้านพร้อมกับเธอ

"มะรืนนี้ช้าไปไหมคะ"

“ไม่ ไม่เลย” เขาว่างพอดี

มัทรีเก็บข้าวของและยกแก้วกาแฟปั่นซึ่งเหลือติดก้นขึ้นดื่มจนหมด ท่าทางของเธอพร้อมจะจากไปทุกเมื่อหลังเสร็จธุระ ธีธัชอดเสียความมั่นใจไปไม่ได้ที่หญิงสาวไม่มีทีท่าเสียดายช่วงเวลาซึ่งได้พูดคุยกับพระเอกดังเอาเสียเลย

"ขอตัวเลยนะคะ"

ร่างระหงแบกกระเป๋าเป้จากไปก่อนเขาจะทันลุกยืนเสียอีก ชายหนุ่มมองตามก็เห็นรถญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่ขับออกไป รอยยิ้มทรงเสน่ห์ค่อยแต้มยังมุมปากพระเอกดัง เขาชักสนใจเพื่อนร่วมรุ่นคราวน้องของบุรินทร์ขึ้นมาเสียแล้วสิ

..........................

อย่างมัทนี่เรียกประชดไหมอ่ะคะ แต่ก็สมควรกับคนอย่างพี่ธีร์ละเนอะ หุๆ

นี่แค่ด่านแรกน้าาา พี่ธีร์ยังต้องเจอบทพิสูจน์อะไรบ้าง มาติดตามกันนะคะ

ใครที่อยากอ่านบทต่อไปไวๆ

อย่าลืมกดแชร์ & คอมเม้นท์ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ