ร้านลับ ถอดวิญญาณ


ตอนที่ 3 : ชีวิตที่แสนวุ่นวายของผม


หลังจากยัดตัวเองเข้าไปในเครื่องแบบมหาวิทยาลัย แล้ววิ่งตามหาเข็มขัดอยู่ ๑๕นาที (ที่ทำให้ผมสายกว่าเดิม เห้อพอรีบๆแล้วเป็นแบบนี้ทุกที) ผมก็ต้องออกจากห้องนอนอันแสนสุขของตัวเองมาเจอกับโลกภายนอกอันแสนวุ่นวาย บ้านของผมอยู่ไม่ไกลมหาวิทยาลัยเสียเท่าไหร่หรอกครับ แต่ก็ใช่ว่ามันจะใกล้จนเดินไปได้โดยไม่เหนื่อยนะครับ ต่อให้สายยังไงปรกติผมก็ต้องมายืนรอรถเมล์ เพื่อจะเบียดๆอัดๆกับคนจำนวนมากไปที่มหาวิทยาลัยอยู่ดี

เวลายังพอเหลือ ผมเดินออกมาจากซอยที่บ้านอย่างไม่รีบอะไรนัก เอาล่ะอย่างน้อยวันนี้ก็ได้ไปมหาลัยในสภาพที่ดูได้สักวัน ผมหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องกึ่งใหม่กึ่งเก่าที่ได้มาตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ขึ้นมากดเข้าไปอ่านข่าวสารเล่นๆพอเป็นความรู้ติดหัวบ้าง ก่อนจะเจอกับข้อความที่ทำให้ผมตกใจต้องรีบวิ่งออกไปที่ปากซอย

“รถเมล์ประท้วง ปิดถนนหน้าทำเนียบ เหตุ....ขึ้นราคา.....”

ผมวิ่งไปอ่านไปได้ไม่กี่คำก็ออกมาพบกับความจริงบริเวณป้ายรถเมล์ที่มีใครสักคนใจดีเขียนป้ายด้วยลายมือโย้ๆเย้ๆมาแปะไว้ให้ว่า วันนี้รถเมล์หยุด พร้อมกับเขียนผรุสวาทคำสาปแช่งที่มาหยุดกะทันหันในเช้าวันจันทร์แห่งชาติเช่นนี้แถมเอาไว้ด้วย จนผมทนไม่ได้ต้องโยนมาดนักเรียนทุนผู้แสนสุภาพทิ้งแล้วช่วยต่อคำสาปแช่งให้กับรถเมล์ในใจผมไปอีกขนานใหญ่ขณะที่เริ่มวิ่งออกไปหาTaxiถนน นั่นไง เหยื่อมาแล้ว

“พี่ครับไป มหาลัยAครับ” ผมเปิดประตูถือวิสาสะเสือกตัวเข้าไปนั่งด้วยความรีบร้อนไปด้วย ตะโกนบอกพี่คนขับไปด้วย โดยพยายามทำหน้าเหมือนมีเมียกำลังจะคลอดลูกนั่งอยู่ข้างๆเข้าไว้

“ไม่อ่ะน้อง....”

นั่นไงกลยุทธ์ของผมดูจะไม่สำเร็จเสียแล้ว คุณเดาไม่ผิดหรอกครับคำที่ตามมาต้องเป็น

“...พี่ต้องไปส่งรถ”

ผมทำหน้าเหมือนพี่คนขับเพิ่งเหยียบหางหมาสุดที่รักของผมโชว์ต่อหน้า(ซึ่งจริงๆผมก็ไม่ได้เลี้ยงหรอก) พร้อมกับใช้สกิลหมาที่อาศัยอยู่ในปากตอบกลับพี่เขาไปอย่างเบาๆแต่ยาวเหยียด ... อ๋อ ไม่หรอกครับ ผมไม่ได้ออกเสียง ไม่ใช่ไม่กล้านะ แค่ไม่มีเวลาพอ เพราะยังคิดไม่ทันจบประโยคแรกผมก็ติดสินใจสลัดคราบที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเนี๊ยบออกจากบ้านแล้ววิ่งตรงไปยังมหาวิทยาลัยของผมแล้ว

ซ่าส์........

ดูเหมือนคุณป้าคนหนึ่งจะกำลังรดน้ำต้นไม้ ที่เอามาปลูกไว้บนฟุตบาท แถมรดแบบไม่ดูตาม้าตาเรือตาเสือตราสิงห์ตราไฮนาเก้นลีโออะไรทั้งนั้นด้วย ถึงผมจะกระโดดหลดด้วยความว่องไวแล้ว แต่น้ำก็ยังกระเด็นมาโดนผมจนได้

“นี่มันวันบ้าอะไรเนี่ย ชีวิต...แย่กว่านี้ได้อีกไหม เบื่อเว้ย!!!”

พึ่บ! กระดาษใบหนึ่งสะบัดไปมาอยู่หน้าผม ผมหันไปมองที่มาของกระดาษแผ่นนั้นก่อนจะพบว่ามาจากลุงคนหนึ่งที่ดูไม่เหมือนคนแจกใบปลิวธรรมดาทั่วไป

“โบรชัวร์ร้านเปิดใหม่ของเราครับ รับไว้หน่อยถ้าสนใจค่อยสอบถามก็ได้ครับ”

ดูเหมือนลุงจะไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆถ้าผมไม่รับใบปลิวแผ่นนั้น ผมก็เลยทำเหมือนที่หลายๆท่านทำเวลามีคนแจกใบปลิวนั่นแหละครับ ผมรีบคว้ากระดาษใบนั้นแล้วยัดใส่กระเป๋าอย่างเสียมิได้ กะว่าเดี๋ยวไปถึงมหาลัยค่อยทิ้ง ทิ้งตรงนี้จะเสียน้ำใจลุง จะว่าไปลุงนั่นก็แต่งตัวไม่เห็นจะเหมือนคนแจกใบปลิวทั่วไปสักกระผีกเดียว กางเกงหนังยาวจรดปลายรองเท้าหนังสีดำ เสื้อหนังสีดำปิดมาถึงข้อมือ ถุงมือหนังสีดำคลุมจนไม่เห็นเนื้อ แถมบนใบหน้ายังมีแว่นดำอีกต่างหาก แผนการตลาดแบบใหม่หรืออย่างไร?

น่ารำคาญสุดๆนี่วันนี้มันยังแย่ไม่พออีกหรือ แค่นี้ก็ไปสายจะแย่แล้วยังเจอลุงประหลาดมาขวางทางเอาไว้อีกคิดไปวิ่งไปผมก็มาถึงมหาลัยเสียที ยอมรับตรงๆสภาพผมตอนนี้ดูไม่ได้เลยทีเดียว สายไป๑๕นาทีขอให้อาจารย์ยังไม่มาทีเถอะ

แสงตะวันร่ำไรที่ขอบฟ้าเตือนผมว่านี่เป็นเวลาใกล้เช้า วิญญาณเช่นผมไม่ควรโดนแสงแดดเช่นนี้ ถึงจะไม่เป็นอันตรายถึงกับจางหายไปหรือละลายแบบแวมไพร์ แต่พยายามปรากฏตัวและพูดคุยในที่ที่มีแสงมากเช่นนั้นก็เหนื่อยมิใช่น้อยเลยนะครับ ผมขอตัวก่อน ฟ้ามืดครั้งหน้าผมจะกลับมาเล่าต่อ


#โปรดติดตามตอนต่อไป


Follow