ร้านลับ ถอดวิญญาณ


ตอนที่ 2 : เรื่องเล่าของผม


เรื่องมันเริ่มขึ้นจากเช้าที่ธรรมดา ๆ กลางเดือนมกราคมวันหนึ่ง วันธรรมดาที่แสนน่าเบื่อใช่ครับธรรมดามากๆ และน่าเบื่อมากๆ จนผมไม่คิดว่าจะมีอะไรแปลกประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้นกับผม ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาจากที่นอนอันแสนสบายเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่แหกปากร้องจนแสบแก้วหู พร้อมกับอารมณ์เบื่อโลกที่ค้างอยู่ในใจของผมมานาน เป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องสู้ต่อไป


อยากจะอ้อยอิ่งอยู่บนเตียงอีกสักหน่อย กดเลื่อนนาฬิกาปลุกก็แล้ว เจ้านาฬิกาปลุกนี่ก็ไม่ได้รู้ใจเจ้าของบ้างเลยรีบปลุกอีกครั้งเสียเร็วเชียว สุดท้ายผมเลยคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป และหวังว่าสายน้ำจากฝักบัวจะช่วยให้สติของผมตื่นขึ้นมาบ้าง


ผมเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ ไม่หรอกครับผมไม่ได้โม้ เพราะผมก็ไม่ได้อยากมาอยู่ที่นี่เสียเท่าไหร่ คณะหรือ?ก็อันดับต้นๆของมหาวิทยาลัยอีกนั่นแหละครับ ผมไม่ได้หัวดี ไม่ได้เป็นคนขยันด้วย มาอยู่ที่นี่ได้ก็พ่อแม่พี่น้องนี่แหละครับคาดหวังกับผมไว้มาก ผมก็เลยต้องหยิบหนังสือมานั่งอ่านเสียตั้งแต่ม.๔ ทั้งๆที่ตัวเองขี้เกียจจะตาย อ่านบ้างอู้บ้าง นั่งเหม่อจ้องหนังสือเปล่าๆบ้าง แต่ก็นั่นแหละคนเลยติดภาพที่มีผมกับหนังสืออยู่คู่กัน แล้วก็คิดกันไปเองว่าผมเป็นนักเรียนยอดเยี่ยม เป็นคนขยัน ผมต้องได้เรียนมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง ต้องได้คณะอันดับหนึ่งแน่ๆ


แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ ยิ่งพยายามทำตามความคาดหวังของใครๆ ความคาดหวังก็ยิ่งเพิ่มขึ้น สุดท้าย ไม่รู้ว่าเพราะผลการอ่านๆจ้องๆหนังสือของผม หรือผลที่แม่ผมไปบนศาลเจ้าไว้แทบจะรอบเมืองหลวง ผมก็เข้ามาเป็นนักศึกษาที่นี่เสียแล้ว


แรกๆตอนปิดเทอมหลังจากประกาศผลสอบผมก็ภูมิใจอยู่แหละครับ พ่อแม่ก็เลี้ยงฉลองแล้วเลี้ยงฉลองอีก ไม่กะว่าจะให้ผมเหลือหุ่นเท่ๆไว้อวดสาวๆในมหาลัยตอนเปิดเทอมเลย แต่พอเปิดเทอมเข้าจริงๆนี่สิครับ สาวสงสาวๆไม่ต้องพูดถึงเลยล่ะครับ หุ่นนี่ผอมเพรียว ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เวลาจะกินจะนอนมลายสิ้นไปเลยล่ะครับ ทั้งงานทั้งรับน้องทั้งเรียน แต่ละวันแทบลากตัวเองไปคณะไม่ค่อยจะไหว


แย่กว่าที่ผมได้เป็นนักศึกษาที่นี่คืออะไรรู้ไหมครับ ผมได้ทุนของมหาวิทยาลัยด้วยครับ พ่อแม่ผมนี่เอาไปคุยโม้สามบ้านแปดบ้านต่อให้เอามาคูณกันได้ยี่สิบสี่บ้านก็อาจจะยังไม่พอ พ่อแม่ผมอาจจะคุยไว้มากกว่านั้นก็ได้ครับ ได้ทุนแล้วไม่ดียังไงหรอครับ ก็แค่กฎระเบียบยิบย่อยแทบขยับตัวไม่ได้ ต้องคอยทำตัวเป็น ”เด็กทุน” เป็นตัวอย่างให้คนอื่นน่ะสิครับ เห้อ


ก็ยังดีที่ผมลากตัวเองจนผ่านช่วงเวลาปี๑ มาได้ หลังจากปีนรกนั่นผมก็ปฏิญาณกับตัวเองไว้อย่างดีว่า ผมจะเลิกยุ่งกับกิจกรรมที่ไม่จำเป็นให้หมด ชีวิตผมเรียนอย่างเดียวก็จะตายแล้ว ขอผมใช้เวลาว่างทุกวินาทีใคร่ครวญว่าผมไม่อยากเรียนอยู่ที่นี่ขนาดไหนจะดีกว่า


ลาออกสิ! คุณกำลังคิดแบบนี้อยู่ใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอแนะนำให้คุณขึ้นไปอ่าน สองย่อหน้าที่แล้วใหม่ ใช่ครับผมเป็นเด็กทุน ถ้าผมลาออกต้องมีค่าปรับแน่ๆ แล้วพ่อแม่ผมก็คงจะไม่ใจดีและดีใจที่ผมลาออกพอที่จะเสียเงินมากมายมาให้ผมเริ่มเรียนใหม่แน่นอน นี่แหละชีวิตผม มันช่างน่าเหนื่อยหน่ายนัก


โอ๊ะ แย่แล้ว ผมอาบน้ำนานเกินไปแล้ว พอน้ำราดหัวแบบนี้ความคิดของผมมันก็ชอบไหลไปเรื่อยๆแบบนี้แหละครับ หยุดไม่อยู่ ไปเรื่อยๆจนลืมเวลาทุกที ผมต้องไปเรียนแล้วล่ะครับ



Follow