การเดินเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการออกกำลังกายที่ง่ายสะดวกและลงทุนน้อยเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ซึ่งการเดินที่ถูกต้องและสม่ำเสมอใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีแต่กลับสร้างเสริมสุขภาพที่แข็งแรงของเราได้ในระยะยาวช่วยให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทำงานได้ดีมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นจนเราต้องประหลาดใจทีเดียว สวัสดีค่าเพื่อนๆ ก่อนเข้าเรื่องเลย ขอถามหน่อยว่ามีใครเป็นสาย Lazy ไม่ค่อยชอบขยับตัวบ้างมั้ยเอ่ย? ว่ากันว่าคนที่ไม่ค่อยได้ขยับตัวมักจะไม่ค่อยได้ใช้พลังงาน ทำให้ความแข็งแรงลดลง ป่วยง่าย แล้วยังส่งผลถึงรูปร่างของเราด้วยนะ พอไม่ได้ขยับร่างกายก็ไม่เผาผลาญ เลยทำให้หุ่นเผละจากเป๊ะเป็นพังได้ยังไงล่ะ บทความนี้เลยอยากชวนเพื่อน ๆ มาขยับร่างกายลดหุ่นด้วยวิธีง่าย ๆ ใช้พลังงานไม่มากอย่าง “แจกทริคเดินลดน้ำหนักยังไงให้หุ่นเพรียว?” กัน แค่เราเดินอย่างถูกวิธีก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกาย ช่วยเผาผลาญไขมันทำให้หุ่นดีได้ด้วยนะ แล้ววิธีการเดินลดไขมันที่ถูกต้องมีเทคนิคยังไงบ้าง ต้องตามไปดูในบทความนี้เลย แต่ก่อนอื่นลองตามไปดูประโยชน์ของการเดินกันก่อนดีกว่า ว่าแค่ก้าวเท้าออกเดินช่วยดูแลรักษาสุขภาพของเราได้ยังไงบ้าง
สำหรับใครที่เป็นสายขี้เกียจออกกำลังกายแต่อยากผอมไว การเดินลดไขมันก็นับเป็นหนึ่งในทริคที่ช่วยได้ แต่รู้ไหมว่ามีวิธีอื่นอีกนะ! ลดหุ่นแบบเชื่อมจิต คืออะไร ? แค่จัดโต๊ะอาหารถูกก็ลดความอ้วนได้จริงเหรอ ? ถ้าอยากรู้ต้องตามไปอ่านต่อที่ “สูตรลับลดหุ่นคนขี้เกียจ ! อยากผอมแต่ไม่พร้อมเหนื่อย” กดลิงก์ด้านล่างนี้เลยนะ 👀✨
Published Article
https://siscret-sistacafe.web.app/public-article.html?id=4bv1EkV5e6sQrdaw12Tx

✦✦✦✦✦✦✦✦✦
แค่เดินก็สามารถลดน้ำหนักได้จริงเหรอ ?

การเดินเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนทำอยู่เป็นประจำ ขึ้นอยู่กับระยะทางและระยะเวลาที่เราใช้นั้นมีความแตกต่างกัน แต่เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันอย่างการเดินนี่แหละ ที่เป็นตัวช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน และช่วยสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อได้ เพราะการเดินเป็นการออกกำลังกายแบบต้านแรงโน้มถ่วงโลก ทำให้กระดูกถูกกระตุ้นให้ผลิตเซลล์ออกมามากขึ้น ถ้าเราลองไปดูร่างกายของคนที่นอน หรือนั่งทั้งวันจะพบว่า มวลกระดูกจะลดลง กล้ามเนื้อลีบเหลวไม่กระชับ ดังนั้นการเดินออกกำลังเพียงแค่วันละ 30 นาที ก็ช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น และลดความเสี่ยงจากโรคกระดูกพรุน และสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายได้แล้ว แถมยังช่วยกระชับหน้าท้องและสะโพกอีกด้วยนะ
ผลวิจัยด้านสุขภาพสตรีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ พบว่า การเดินต่อเนื่อง 3-5 ชั่วโมง/สัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกได้กว่า 54% ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 20% นอกจากนี้การเดินยัง สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้มากถึงประมาณ 60%
หรือจากผลการศึกษาของ University of Colorado พบว่า การเดินเพียงวันละ 10-15 นาที ทำให้อาการโรคเบาหวานดีขึ้น และยังเป็นการช่วยให้อินซูลินทำงานดีขึ้นร่างกายสามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้ดีขึ้น หมายถึงสามารถควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้การเดินเร็วติดต่อกันนาน 21 นาที/วัน 4-5 วัน/ สัปดาห์ หรือ 2.5 ชั่วโมง/ สัปดาห์ จะสามารถลดความเสี่ยงภาวะโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจได้ถึง 31% เขาเลยพูดกันว่า “การเดิน 1 นาที จะทำให้ชีวิตยาวขึ้นอีก 12 นาที” เลยทีเดียวล่ะ!
**จะเห็นเลยว่าไม่เพียงแค่สามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้เท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงในโรคต่างๆ ได้อีกด้วย เพราะการขยับตัวอย่าง การเดิน เป็นการช่วยให้ร่างกายได้มีการออกกำลังกายเบาๆ อยู่ตลอดเวลา ยิ่งใครสามารถทำติดต่อกันได้ก็ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง และยังช่วยควบคุมรูปร่าง น้ำหนักได้อีกด้วย
✦✦✦✦✦✦✦✦✦
การเดินมีประโยชน์กว่าที่คิด เดินลดพุง ลดโรค !

- สร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
การเดินในท่าทางที่ถูกต้องก็เหมือนเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง สามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกในคนวัยหมดประจำเดือนได้ และการเดินยังถือว่าเป็นการออกกำลังกายต้านแรงโนมถ่วงโลก สามารถ
ทำให้กระดูกถูกกระตุ้นให้ผลิดเซลล์ออกมามากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน ชะลอการสูญเสียมวลกระดูก และการเดินอย่างถูกท่า ยังช่วยสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เอ็นต้นขา เข่า น่อง ข้องเท้า รวมไปถึงกระชับหน้าท้องและสะโพกได้อีกด้วย
- ชะลอความจำเสื่อม
มีการทดลองว่าคนที่เดินไปคิดไปสามารถคิดงานดีๆ ได้มากกว่าการนั่งอยู่เฉยๆถึง 60% ในการศึกษายังพบว่าการเดินออกกำลังกายนาน 40 นาที 3 วัน/สัปดาห์ สามารถเพิ่มขนาดสมองที่เชื่อมโยงกับการวางแผนและความจำได้ ทั้งยังช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดีและไปเลี้ยงสมองมากขึ้น การเดินในผู้สูงวัยจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการหดตัวของสมอง และสามารถรักษาความทรงจำได้นานหลายปี ชะลอความเสื่อมของสมองในผู้สูงวัยได้
- การเดินทำให้หลั่งสารแห่งความสุข
การออกกำลังกายด้วยการเดินเร็วต่อเนื่องจะกระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินสารแห่งความสุข สารเคมีธรรมชาติที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดและทำให้จิตใจสบาย สดชื่น อารมณ์ดี คลายความเครียด ลดความวิตกกังวล ลดภาวะซึมเศร้า ทำให้นอนหลับง่ายหลับดีขึ้น
- เพิ่มภูมิคุ้มกัน
มหาวิทยาลัย Appalachai State University ศึกษาพบว่าการเดินต่อเนื่อง 30-45 นาที/วัน สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายได้ การเดินทำให้กระเพาะลำไส้มีการเคลื่อนไหวส่งผลให้การย่อยอาหารและการขับถ่ายดีขึ้น การเดินลดน้ำหนักยังทำให้มีรูปร่างที่สมส่วนหุ่นดีอีกด้วย ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก อาจใช้การเดินช่วยลดน้ำหนักตัวได้ โดยเดินวันละประมาณ 1 ชั่วโมง จะทำให้การเผาผลาญพลังงานในร่างกายเพิ่มขึ้น การเดินด้วยความเร็ว 3กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่อเนื่อง 30 นาที จะเผาผลาญพลังงานได้ประมาณ 75 แคลอรี่ หากเพิ่มความเร็วเป็น 4-5 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะสามารถเผาผลาญพลังงานได้ 99 แคลอรี่ และหากเดินเร็วขึ้นเป็น 6 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 150 แคลอรี่ สังเกตุคนญี่ปุ่นจะสุขภาพแข็งแรงไม่อ้วนเพราะถูกฝึกให้ขยันเดินตั้งแต่เด็ก 100 ก้าวที่เราเดินเท่ากับ 1 นาทีของการยกน้ำหนัก, 150 คือ ก้าวที่เราเดินเท่ากับ 1 นาทีของการว่ายน้ำและการปั่นจักรยาน สำหรับประโยชน์ในข้อนี้อ้างอิงมาจากผลการวิจัยและผลการศึกษาหลายแหล่งอย่างผลวิจัยด้านสุขภาพสตรีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ พบว่าการเดินช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูกได้กว่า 54% และลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 20% เลยด้วย ส่วนผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยโคโลราโด พบว่าการเดินวันละ 10 - 15 นาที ช่วยให้อาการโรคเบาหวานดีขึ้น นอกจากนี้การเดินเร็วติดต่อกันนาน 21 นาทีต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะโรคหลอดเลือดสองและหัวใจได้ถึง 31% และจากการศึกษาของ Appalachai State University พบว่าการเดินอย่างต่อเนื่อง 30 -45 นาทีต่อวัน สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายได้อีกด้วย
เพื่อนๆ พอได้รู้ประโยชน์ของการเดินมาบ้างแล้ว ว่าส่งผลต่อร่างกายในหลายๆ ด้านเลย ทั้งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันสุขภาพร่างกาย และยังช่วยดูแลสุขภาพจิตใจ แถมช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย แค่ก้าวเท้าเดินก็ได้ประโยชน์มากมายขนาดนี้ คงต้องลองออกกำลังกายลดหุ่น เพิ่มความแข็งแรงด้วยการเดินบ้างแล้ว แต่ถึงการเดินจะไม่ใช่การออกกำลังหนัก แต่การสวมใส่เสื้อผ้าและรองเท้าก็สำคัญ เพราะช่วยเซฟอาการปวดเท้า และการเลือกเสื้อผ้าที่ดีก็จะช่วยระบายอากาศและความร้อนในร่างกายได้ ควรเลือกสวมเสื้อ กางเกงที่ยืดหยุ่นระบายเหงื่อได้ดี รองเท้าควรเป็นรองเท้าสำหรับออกกำลังกาย ป้องกันการลื่น หรือหกล้ม ไม่บีบนิ้วเท้า น้ำหนักเบา กระชับข้อเท้าได้ดี พื้นมีวัสดุลดแรงกระแทก เพื่อช่วยกระจายน้ำหนัก มีแรงส่งในการยกเท้าทำให้เมื่อยช้าลง ช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่เอ็นฝ่าเท้า ข้อเท้า เข่า หรือขา ทำให้เดินสบายเดินได้ต่อเนื่องและนานขึ้นนั่นเอง
✦✦✦✦✦✦✦✦✦
ทริคเดินลดน้ำหนัก ลดไขมันได้ผลดี

การเตรียมตัวก่อนเดินออกกำลังกาย ** อย่าลืม warm up-cool down ก่อน-หลังการเดิน
การเดินเพื่อออกกำลังกายควรอบอุ่นร่างกายด้วยการ warm up เบาๆ ยืดเส้นยืดสายกล้ามเนื้อข้อต่อก่อนการเดิน เพื่อให้ร่างกายรับรู้ถึงการเตรียมพร้อมในการทำงานระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ กล้ามเนื้อข้อต่อ นอกจากนี้ก่อนหยุดเดินต้องค่อยๆ ผ่อนแรงเป็นการ cool down และยืดกล้ามเนื้อเบาๆ จะช่วยลดอาการบาดเจ็บจากกล้ามเนื้ออักเสบหรือเป็นตะคริว ทั้งยังเป็นการช่วยปรับระดับการทำงานของหัวใจ ปอด เข้าสู่ระยะผ่อนคลายหลังออกกำลังกาย ซึ่งมีความสำคัญมากโดยเฉพาะในผู้สูงวัยเพื่อไม่ให้เกิดภาวะระบบกล้ามเนื้อข้อต่อ รวมถึงระบบหัวใจและหลอดเลือดหยุดกระทันหัน
ทริคเดินลดน้ำหนักอย่างแรก เดินวันละ 30 นาที - 1 ชั่วโมง
ผลของการเดินออกกำลังกายขึ้นอยู่กับจำนวนครั้ง ระยะเวลา และระดับการเดิน แม้การเดินจะไม่ใช่การออกกำลังกายที่หนัก แต่การเดินอย่างสม่ำเสมอจะให้ผลดีกว่าการเดินนานๆ แต่น้อยครั้ง สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเริ่มจากการเดินเล่นช้า ๆ เมื่อร่างกายเริ่มคุ้นเคยสักระยะหนึ่งแล้วจึงค่อยเริ่มเดินเร็วขึ้น โดยปกติแล้วควรเดินด้วยความเร็วประมาณ 6 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นเวลา 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 4 ครั้ง สำหรับระยะเวลาที่ร่างกายเริ่มเผาผลาญไขมันนั้น มีหลายความคิดเห็น แตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปแล้ว การออกกำลังกายอย่างน้อย 20 นาทีขึ้นไป จะส่งผลให้น้ำหนักลดลงได้ แม้จะเดินในระยะทางเท่ากัน ใช้เวลาเท่ากันแต่ผลของการออกกำลังกายอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเดินเร็วแค่ไหน ท่าทางในการเดินเป็นอย่างไร และลักษณะเส้นทางที่เดินเป็นอย่างไร หากเป้าหมายคือการเดินวันละ 14,000 ก้าว สัปดาห์ละ 4 ครั้ง แต่ไม่สามารถจัดเวลาให้ทำตามเป้าหมายได้ในครั้งเดียว ก็สามารถแบ่งเดินช่วงเช้าและเย็น ช่วงละ 40 นาทีขึ้นไป ถ้าแบ่งเป็นสองช่วงแล้วยังทำได้ยาก ให้เพิ่มความถี่ในการเดิน แทนที่จะลดให้เหลือเพียง 30 - 40 นาที เพราะจำนวนครั้งสำคัญกว่าระดับการเดินและระยะเวลาดังที่กล่าวไปแล้ว หากไม่มีเวลาจริง ๆ อย่างน้อยให้แบ่งการเดินเป็นสองช่วงเวลา ช่วงละ 20 นาทีก็ได้
ทริคเดินลดน้ำหนักอย่างที่ 2 เดินอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการเดินออกกำลังกายคือ ‘ความสม่ำเสมอ’ การพยายามเดินในเวลาเดิมเสมอเพื่อผลในการออกกำลังกาย อาจทำให้เกิดความเบื่อหน่ายจนล้มเลิกกลางคันได้ ควรเดินทุกครั้งเมื่อมีเวลาจะดีกว่า การเดินในช่วงเวลาสบายๆ อย่างสม่ำเสมอทุกวัน จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดก่อนเริ่มเดินออกกำลังกาย ควรเช็กร่างกายตัวเองก่อนว่าร่างกายของเราพอไหวกับการเดินในระยะทางและระยะเวลาประมาณไหน สำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ลองเช็กว่ามีโรคประจำตัวรึเปล่า ถ้าเกิดว่ามีประวัติอาการป่วยที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ พรือมีการทานยา ควรพกยาติดตัวเอาไว้ด้วย และควรเริ่มเดินจากระยะน้อยๆ ประมาณ 5 นาทีก่อน เพื่อสังเกตว่าร่างกายพอรับไหวมั้ย แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาให้มากขึ้น ไม่ควรหักโหมในครั้งแรก
ทริคเดินลดน้ำหนักอย่างที่ 3 ควรเดินเมื่อใด และอย่างไร
การตื่นเช้าแล้วออกกำลังกายเป็นนิสัยจะทำให้ร่างกายคุ้นกับการตื่นเช้า และเริ่มต้นวันใหม่ด้วยร่างกายที่เบาสบาย คนที่เริ่มต้นวันด้วยการออกกำลังกายจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า และดูมั่นใจกว่าเพราะในช่วงเช้าการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติจะตื่นตัว หากได้เดินออกกำลังกายก็จะช่วยให้เส้นประสาทต่างๆ ในร่างกายได้รับการกระตุ้น ส่งผลให้ทำงานได้ดี นอกจากนี้การเดินออกกำลังในตอนเช้ายังช่วยคลายความกังวล ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และกระตุ้นการทำงานของสมองด้วย ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายคือ 10 โมงเช้า เพราะหลังจากตื่นนอนสักพักหนึ่ง ร่างกายจะเริ่มผ่อนคลาย และอาหารเช้าก็ย่อยไประดับหนึ่งแล้ว ระบบย่อยอาหารจึงทำงาน การออกกำลังกายในช่วงนี้ จะช่วยกระตุ้นอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐานให้สูงขึ้น ไขมันในร่างกายจึงถูกดึงออกมาใช้ตลอดวันมากขึ้น การเดินตอนเช้ายังส่งผลดีต่อสุขภาพสมอง เพิ่มพละกำลังกล้ามเนื้อ เพิ่มความทนทานและความจุของปอด ทั้งยังช่วยลดความอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย แต่ในช่วงเวลานี้ร่างกายจะผ่อนคลายลงเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น จึงควรปรับระดับการเดินให้ต่ำกว่าปกติ หรือไม่ให้หนักเกินไป ในช่วงที่อากาศเย็นควรเตรียมร่างกายด้วยการวอร์มอัพ เพื่อยืดกล้ามเนื้อและข้อต่อ จะได้ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ
- การเดินที่ดีสำหรับช่วงเช้า ควรเดินเร็ว 30 นาที
- การเดินที่ดีสำหรับช่วงเย็น บริหารกล้ามเนื้อเบา ๆ 10 นาที + พาวเวอร์วอร์กกิ้ง (power walking) เดินให้เร็วขึ้น 50 นาที
ทริคเดินลดน้ำหนักอย่างที่ 4 การเดินขึ้นบันได/ทางลาดชัน
การเลือกเดินออกกำลังในพื้นเอียง ลาดชัน หรือขั้นบันได จะเป็นการเดินที่กระตุ้นให้สมอง หัวใจ ปอดและกล้ามเนื้อทำงานมากขึ้น เผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการเดินเร็วๆ 2-3 เท่า บางคนอาจบอกว่าทำงานบ้านเป็นการออกกำลังกายที่เพียงพอแล้ว แต่หากการทำงานบ้านไม่สามารถทำให้หัวใจและหลอดเลือดให้ทำงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ จะไม่ถือว่าเป็นการออกกำลังกายที่สามารถเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามการทำงานบ้านก็ยังเป็นกิจกรรมการออกแรงที่ดีอย่างหนึ่ง ดีกว่าไม่ออกแรงอะไรเลย สำหรับท่านที่ไม่มีเวลาออกกำลังกายจริงๆ ก็ควรหาโอกาสเดินให้ได้มากที่สุดในระหว่างวัน เช่น การเดินแทนการนั่งรถ การเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ อย่างน้อยให้ร่างกายได้ต้านแรงโร้มถ่วงโลกไม่เสี่ยงกับภาวะกระดูกพรุนในอนาคต เดินขึ้นเขาเผาผลาญกว่าทางเรียบ
เมื่อเราเดินได้ไกลพอสมควร ทีนี้อยาก "ลดน้ำหนัก" ให้ได้มากขึ้น แนะนำให้เดินขึ้นเขา หรือขึ้นเนิน เพราะการเดินขึ้นจะช่วยให้เราใช้พลังงานมากขึ้น กว่าการเดินพื้นเรียบ ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเช่นกัน เปรียบเทียบระหว่างการเดินทางไกล 5 กิโลเมตร กับการเดินขึ้นเขาหรือขึ้นเนินเพียง 2 กิโลเมตร ก็จะได้ใช้พลังงานในปริมาณที่ไม่แตกต่างกัน
ทริคเดินลดน้ำหนักอย่างที่ 5 แกว่งแขนเพิ่มแรงส่ง ทำให้ระบบน้ำเหลืองทำงานได้ดี
แรงเหวี่ยงเบาๆ จากการแกว่งแขนจะทำให้มีแรงช่วยส่งให้ร่างกายไปข้างหน้า ช่วยให้การเดินทรงตัวมีประสิทธิภาพและเดินได้คล่องแคล่วมากขึ้น ที่สำคัญตำราเเพทย์เเผนจีนที่ใช้กันมานับพันปีเชื่อว่าในบริเวณรักเเร้ ขาหนีบเป็นจุดรวมของเส้นเลือด เส้นประสาทและต่อมน้ำเหลืองจากสมองไปยังอวัยวะส่วนต่างๆ ซึ่งระบบน้ำเหลืองไม่มีปั้มเหมือนระบบเลือดที่มีหัวใจ ดังนั้นการเดินเเกว่งเเขนจึงช่วยกระตุ้นให้น้ำเหลืองตามข้อพับต่างๆ เกิดการไหลเวียนดีช่วยระบายและขับของเสียที่คั่งค้างตามจุดต่างๆ การแกว่งแขนจากข้างหน้าไปข้างหลังตามจังหวะก้าวเท้า ไม่ควรแกว่งแรงจนเกิดการกระชากหัวไหล่ อาจเกิดการอักเสบของเอ็นข้อไหล่เรื้อรังได้

ทริคเดินลดน้ำหนักอย่างที่ 6 ใช้แอปหรือนาฬิกาติดตามจำนวนก้าว
อีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยให้เรารู้ว่าวันนี้เราเดินไปกี่ก้าวหรือใช้ไปแล้วกี่แคลอรี่ หนึ่งเทคโนโลยีที่นักกีฬาหลายคนนำมาใช้ไม่เพียงแค่นักกีฬายังรวมไปถึงบุคคลทั่วๆ ไป ที่ได้นำแอปจากมือถือเพื่อติดตามข้อมูลในการเดินแต่ละวัน แต่ปัจจุบันมีความแม่นยำมากขึ้นเพราะแค่สวมใส่นาฬิกาข้อมูลที่เป็น Smart Watch ก็สามารถทำให้เรารู้ว่าใน 1 วันเราเดินไปแล้วกี่ก้าว และใช้เวลาไปแล้วกี่นาที? กี่ชั่วโมง? เพราะการที่เราพยายามติดตามข้อมูลส่วนนี้จะช่วยกระตุ้นให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น
ทริคเดินลดน้ำหนักอย่างที่ 7 เพิ่มเพลย์ลิสต์สนุกๆ ให้กับจังหวะก้าวเดิน
การเพิ่มเพลงที่ชอบจะทำให้รู้สึกว่ามีกำลังใจและรู้สึกกระปรี้กระเปร่าในขณะที่ก้าวเดินหรือเดินบนลู่วิ่ง เพราะการฟังเพลงนั้นจะทำให้เราสนุกไม่รู้สึกเบื่อ โดยเฉพาะคนที่เดินบนลู่วิ่ง หรือออกไปเดินข้างนอก นอกจากชมธรรมชาติแล้วก็ช่วยเพิ่มประสบการณ์สนุกสนานมากยิ่งขึ้นดังนั้นแนะนำให้เพิ่มเพลงโปรดในเพลย์ลิสต์ด่วนๆ
ทริคเดินลดน้ำหนักอย่างที่ 8 นำขวดน้ำติดตัวไปด้วยเมื่อต้องเดินนานๆ
การรักษาความชุ่มชื้นอย่างเหมาะสมถือว่าเป็นคีย์หลักสำคัญสำหรับการช่วยส่งเสริมสุขภาพให้ดีที่สุด ดังนั้นแล้วเพื่อสุขภาพที่ดีการพกน้ำดื่มระหว่างทางจะช่วยทั้งเรื่องลดน้ำหนักได้ดีมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยกักเก็บและรักษาพลังงานให้เราสามารถเดินในระยะทางที่ยาวขึ้น หรือระยะเวลานานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ทริคเดินลดน้ำหนักอย่างที่ 9 วางแผนเส้นทางการเดิน
ลองหาสถานที่ใหม่ๆ หรือสามารถใช้ Google Maps เพื่อวางแผนเส้นทางการเดินเพื่อเราจะได้ทราบอย่างชัดเจนว่าเราควรเดินไปที่ไหน ระยะทางเท่าไหร่ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเผาผลาญแคลอรี่ทิ้งไปจำนวนเท่าไหร่ได้นั่นเอง
ทริคเดินลดน้ำหนักอย่างที่ 10 กำหนดการเดิน
ลองเขียนลงในปฏิทินหรือสมุดแพลนจะทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่เราสามารถทำตามเป้าหมายการเดินได้ เพราะถ้าเรามีการบันทึกเราก็จะสามารถทำตามที่กำหนดไว้ยิ่งถ้าพยายามเลือกเดิน 1 ครั้งทุกวันจะช่วยให้เรารักษาความเสมอได้ตลอดนั่นเอง
สรุปสั้น ๆ ! ทริคง่าย ๆ ในการเดินออกกำลังกาย มีอะไรบ้าง ?
- ใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนการขับรถยนต์ส่วนตัว
- เดินไปยังป้ายรถประจำทาง หรือสถานีรถไฟฟ้า/รถไฟใต้ดินถัดไป และลงก่อนถึงที่หมายหนึ่งป้าย หรือหนึ่งสถานี
- ใช้บันไดแทนลิฟต์ และบันไดเลื่อน
- จัดเวลาให้ได้เดินไปที่ทำงาน และเดินกลับหลังเลิกงาน อย่างละ 30 นาที
- ควรเดินให้ได้ระยะทางวันละ 3 กิโลเมตร
- หากมีนัด ควรกะเวลาให้มาถึงก่อนเวลานัด เพื่อจะได้มีเวลาเดินเล่นรอบๆ เบาๆ
✦✦✦✦✦✦✦✦✦
สรุปควรเดินกี่นาทีถึงจะเวิร์ก ช่วยลดไขมันได้ดี

- ควรเดินอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาที - 1 ชั่วโมง
การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ไม่หนัก ถ้าอยากให้การเดินเห็นผลดีเลยจำเป็นต้องใช้ความสม่ำเสมอเข้าช่วย สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นลองเริ่มจากการเดินช้า ๆ พอร่างกายคุ้นเคยแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเดินเร็ว ส่วนใครที่อยากลดหุ่นด้วยการเดิน ควรเดินด้วยความเร็วประมาณ 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นเวลา 1 ชั่วโมง หรือจะลองตั้งเป้าหมายเป็นการเดินอย่างน้อยวันละ 14,000 ก้าว แล้วแบ่งช่วงเวลาในการเดิน เป็นช่วงเข้าและเย็น 40 นาทีก็ได้เหมือนกัน ยิ่งเดินควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างน้อย 20 นาทีขึ้นไป จะช่วยเสริมให้น้ำหนัดลดลงได้ดีขึ้นอีกด้วย
- เดินออกกำลังกายในช่วงเช้าและเย็น
อย่างที่บอกไปว่าการเดินลดหุ่นต้องอาศัยความสม่ำเสมอ เพื่อจะได้เห็นผลลัพธ์ที่ดี ลองแบ่งเวลาในการเดินเป็นช่วงเช้าและช่วงเย็นสำหรับช่วงเช้าให้เดินเร็ว 30 นาที ส่วนช่วงเย็นให้บริหารกล้ามเนื้อเบาๆ 10 นาที แล้วเดินเร็วขึ้น ( Power Walking ) 50 นาที และนอกจากทริคนี้จะช่วยลดหุ่นแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า คลายเครียดไปได้อีกด้วย
- ควรเดินในระยะทางที่เหมาะกับสภาพร่างกายของเรา
การเดินไกลก็เป็นอีกหนึ่งทริคการเดินที่ช่วยลดหุ่นได้ดีสำหรับใครที่เดินในระยะทางพอสมควรจนไม่รู้สึกเหนื่อยแล้ว ให้ลองเพิ่มระยะทางมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายเผาพลาญได้ดีเยี่ยมยิ่งขึ้น ลองเริ่มจาก 1 กิโลเมตร เป็น 2.5 กิโลเมตร จากนั้นค่อยตั้งเป้าหมายเริ่มเดินให้ถึง 5 กิโลเมตร ในระยะแรกๆ อาจจะมีปวดเมื่อยบ้าง แต่เมื่อร่างกายเคยชินแล้วอาการปวดเมื่อยจะลดลงไปเองค่า
- เดินขึ้นทางลาดชันช่วยเผาผลาญได้ดีกว่า
การเดินขึ้นทางลาดชันจะช่วยให้ใช้พลังงานมากขึ้น อย่างการเดินขึ้นเขา 2 กิโลเมตรจะใช้พลังงานมากกว่าการเดินทางเรียบ 5 กิโลเมตรและการเดินขึ้นทางลาดชัน ยังช่วยกระตุ้นสมอง หัวใจ ปอด และกล้ามเนื้อให้ทำงานมากขึ้นด้วย ทำให้ร่างกายเผาผลาญไปได้เยอะกว่าด้วยนั่นเอง สำหรับใครที่ไม่ค่อยมีเวลาแนะนำให้เดินออกกำลังกายด้วยการขึ้นบันได เป็นอีกหนึ่งวิธีเดินลดหุ่นง่ายๆ เลย
✦✦✦✦✦✦✦✦✦
สรุป
ตามดูทั้งประโยชน์และเทคนิคการ เดินลดไขมัน มาแล้วบอกเลยว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยนะเนี่ย แถมใช้เวลาไม่มากด้วย ส่วนสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างเดียวก็แค่อาศัยความสม่ำเสมอแค่นี้เพื่อนๆ ก็สามารถมีหุ่นเป๊ะปัง ด้วยการขยับร่างกายเบาๆ อย่างการเดินออกกำลังกายได้แล้ว และถ้าเกิดเพื่อนๆ เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอ พร้อมกับการควบคุมอาหาร ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้พลังงาน แคลน้อยควบคู่ไปด้วย รวมถึงนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อนๆ ก็สามารถมีหุ่นเพรียวเป๊ะปังได้แน่นอน
ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก : Freepik
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลจาก : PHYATHAI, SANOOK, THAIRATH, LUCKRUNNINGSHOP
Designer :lilybaecon
Writer :chollychon
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

หยุดเดี๋ยวนี้นะ! 10 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ “ การลดน้ำหนัก ” ที่ต้องทำความเข้าใจซะใหม่ มิน่าน้ำหนักไม่ลงสักที
https://sistacafe.com/summaries/91087

สวยเป๊ะรอบด้าน ! 5 ทริค How to ดูแลตัวเองจากภายในสู่ภายนอก ดีต่อสุขภาพแบบยั่งยืน
https://sistacafe.com/summaries/93894

วิธีเลือกออกกำลังกาย ให้เหมาะกับรูปร่างของเรา
https://sistacafe.com/summaries/96466

พฤติกรรมขาใหญ่ เลิกได้เลิกก่อนติดเป็นนิสัย ใครทำอยู่ต้องหยุดด่วน !!
https://sistacafe.com/summaries/96133

ชวนฟิตหุ่นง่ายๆ ที่บ้าน! รวม 7 ท่าออกกำลังกายแบบ Low Impact ทำตามง่าย ไม่กระแทก แถมทำได้ทุกวัน
https://sistacafe.com/summaries/88894
พฤติกรรมขาใหญ่ เลิกได้เลิกก่อนติดเป็นนิสัย ใครทำอยู่ต้องหยุดด่วน !!
https://sistacafe.com/summaries/96133