จากภาคแรกรีวิวเที่ยวฮ่องกงแบบรีบ ๆ ประหยัด ๆ ( ภาค 1 เตรียมตัว )พี่อาร์ตแนะนำการเตรียมตัวเบื้องต้นไปแล้วว่าต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ เตรียมอะไรไปบ้าง จองตั๋วอะไรบ้าง บทความนี้พี่อาร์ตก็จะรีวิววันเดินทางจริงแล้วค่ะ ( ตื่นเต้นมาก ๆ )



กรอกข้อมูลผ่าน ตม.ฮ่องกง


รูปภาพ:

พอลงเครื่องมาปุ๊บ ก็เดิน ๆ มาค่ะ หาแผนกตรวจคนเข้าเมืองก่อนเป็นอันดับแรกเลย ( จะเป็นป้าย Immigration อะไรสักอย่างค่ะ เจ้าหน้าที่จะชี้ทางให้ ) กรอกข้อมูลลงแผ่นกระดาษขาว ๆ เสิร์ชเน็ตได้เลยค่ะว่าช่องไหนสำหรับกรอกอะไรบ้าง" ห้ามขีดฆ่าเด็ดขาดนะคะ "ถ้าเขียนผิดก็ต้องฉีกทิ้งแล้วเขียนใบใหม่เขียนเสร็จแล้วต่อแถวรอยื่นให้ตำรวจ ตม.ตรวจได้เลย ( ตม.ที่นี่ใจดีมากค่ะ ไม่ค่อยถามอะไรมาก ก้ม ๆ เงย ๆ ปั๊มหนังสือ แล้วปล่อยเราเข้าไปเลย )



ลืมบอกไปค่ะว่า ถ้ามาเที่ยวบินที่ตั๋วถูกมาก ๆ ส่วนใหญ่คือจะมาถึงฮ่องกงประมาณเช้าตรู่เลย ( อย่างที่พี่อาร์ตไปถึงที่โน่น ตามเวลาของที่โน่นก็ประมาณตี 3 กว่า ๆ ค่ะ ) จะไม่มีโรงแรมแบบ capsule ให้นอนพักชั่วคราวเหมือนสนามบินดอนเมืองนะคะ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนส่วนใหญ่จะมางีบนอนกันในสนามบินก่อน พอตะวันส่องฟ้าแล้วค่อยตื่นมาออกเดินทางต่อ ( ใครเตรียมผ้าห่มผืนเล็ก ๆ หมอนเล็ก ๆ กับผ้าปิดตามาด้วย จะดีมากเลยค่ะ )*เกร็ดความรู้ : ฮ่องกงให้วีซ่า 30 วันนะคะ นี่คือข้อมูลอัพเดท ณ ปัจจุบันเลย ( อัพเดทจาก 22 ต.ค.61 วันที่พี่อาร์ตเดินทางถึงค่ะ ) ตอนที่ ตม.ปั๊มตรา passport จะมีแผ่นเล็ก ๆ แนบมาให้ นั่นแหละค่ะแผ่นวีซ่า อย่าทำหายเด็ดขาดนะคะ


ถ้ายังไม่นอน รอสักตี 4 หาอะไรกินในสนามบิน


ที่พักที่พี่อาร์ตกับแฟนจอง เขาเปิดให้เช็คอินบ่าย 2 ค่ะ เลยตกลงกันว่า เดี๋ยวหาอะไรกินก่อน แล้วค่อยนั่งรถไฟฟ้าออกเดินเที่ยวไปไหนก็ได้ฆ่าเวลา แล้วค่อยเช็คอินที่พัก ( เพลียมาก แต่ก็ต้องอดทน TT )

ร้านแรกที่พี่อาร์ตกับแฟนมากิน เป็นร้านHO HUNG KEEขายอาหารเช้าพวกบะหมี่ ติ่มซำ โจ๊ก ชากาแฟค่ะ ราคาไม่แพงมาก หน้าร้านจะมีพนักงานรับฝากกระเป๋า เราก็เอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ๆ ไปฝากก่อน แล้วพนักงานจะให้บัตรหมายเลขมาว่ากระเป๋าเราใบไหน ( ถ้าไปกับแฟน ฝากรวมกันได้ค่ะ แต่ถ้ามาเป็นกรุ๊ปทัวร์ ไม่แน่ใจนะคะว่าฝากรวมกันหรือแยก ) พอฝากกระเป๋าเสร็จก็มานั่งโต๊ะ แล้วเลือกเมนู พนักงานจะจด ๆ แล้วเอาบัตรคิวอาหารให้ค่ะ


รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

ไปวัดหว่องไทซินกัน ( wan tai sin temple )


รูปภาพ:

หลังจากเดินย่อยอาหารในสนามบินไปดูช็อปแบรนด์เนมต่าง ๆ จนทั่ว จนฟ้าสว่างแล้ว พี่อาร์ตกับแฟนก็เริ่มวางแพลนกันค่ะว่าจะไปไหนกันดีระหว่างรอเช็คอินที่พัก เปิดดูรีวิวในเน็ตไปเรื่อย ๆ ก็ตกลงกันว่าไปวัดหว่องไทซิน ( wan tai sin temple )ดีกว่า เพราะมันไม่ไกลจากที่พักมาก เที่ยวเสร็จเดี๋ยวนั่งรถไฟฟ้าไปอีกไม่กี่สถานีก็น่าจะถึง

แต่เพราะเราสองคนรู้เรื่องกันมาแค่ว่า ที่นี่เขาเดินทางด้วยรถไฟฟ้ากันเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่รู้เลยว่ามันแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือรถไฟฟ้าความเร็วสูง กับรถไฟฟ้าธรรมดา (MTRย่อมาจากMass Transit Railwayไม่ใช่ MRT บ้านเรานะคะ เรียกให้ถูกด้วยเนอะ เดี๋ยวงงกัน ) ก็เลยงง ๆ ไปกดไปจิ้มเลือกตั๋วที่สนามบิน กดไปเลยค่ะ สถานี wan tai sin


รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

ไปแบบโนแพลน ไม่ได้อ่านคำแนะนำใด ๆ ก็เลยไหว้เท่าที่จะไหว้ได้ค่ะ ถ้าเจอลุงแก่ ๆ ดักเอาธูปยัดใส่มือให้ก่อนทางขึ้นวัด อย่ารับนะคะ แบบนั้นเสียตังค์ค่ะ ให้มาเอาของฟรีในวัดเลย ไหว้เสร็จ เสี่ยงเซียมซีกันได้ แล้วรับใบคำทำนายมาเสิร์ชเน็ตเอาเอง อย่าไปตามป้าย Fortune Teller นะคะ เสียตังค์เพิ่มแน่ ( ค่าแปลใบละ 7 ดอลลาร์ฮ่องกง ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษ 12 ดอลลาร์ฮ่องกงค่ะ หากินแบบหัวหมอคล้าย ๆ บ้านเราเลย 555 )

พอไหว้เสร็จ ปวดฉี่ จะมีห้องน้ำที่ข้างวัด ขึ้นบันไดหลืบ ๆ สูง ๆ ไปค่ะ โซนนี้คนจะน้อย และสะอาดมาก ส่วนโซนหน้าวัด คนเยอะ พลุกพล่านมากค่ะ ใครที่ปวดหนัก แนะนำให้มาทำธุระในวัดจะเร็วกว่า


รูปภาพ:

ไม่รู้จะไปไหน แวะพักขาที่ในห้างก่อน


เสร็จธุระจากวัดหว่องไทซิน ก็มาพักขาในห้าง Temple Mall ที่อยู่ใกล้ ๆ กันค่ะ เพราะไม่รู้จะไปไหนกันอีก เวลายังแค่ 11 โมงกว่า ก็เลยเดินเล่นในห้างละกัน เดินไปเดินมาเมื่อยขา ก็เลยแวะมานั่งหาอะไรกินในร้านชั้น G ของห้าง สั่งทาร์ตไข่มากินกัน


รูปภาพ:

กินอะไรเสร็จแล้ว นั่งพักฆ่าเวลา ก็ประมาณเที่ยงกว่า ๆ เกือบบ่ายโมง ก็เลยลองคุยกับเจ้าของห้องพักเผื่อว่าเขาจะให้เช็คอินก่อนเวลาได้ พอเจ้าของอนุญาต ก็เลยไม่รอช้า กระเตงกระเป๋าเดินทางไปค่ะ กว่าจะหาเจอทั้งร้อน เหนียวตัว หงุดหงิด มีทะเลาะกันเองอีกด้วย เพราะเจ้าของที่พักไม่ได้ปักหมุดในจุดที่หาง่ายค่ะเลยต้องเสียเวลาเดินวนไปทั่ว พอมาถึงห้องพัก ไฟก็ไม่ติด เพราะเจ้าของห้องพักไม่ได้ปล่อยกระแสไฟไว้ ต้องอยู่กันทั้งร้อน ๆ อับ ๆ ไป 1-2 ชั่วโมง กว่าที่เจ้าของห้องพักจะมาจัดการเคลียร์ทุกอย่างให้ได้*ใครที่จองห้องพัก airbnb อยากให้คิดให้ดีก่อนจองค่ะ ระวังจะเจอห้องพักที่ไม่ตรงปกอย่างที่พี่อาร์ตเจอ ยอมเพิ่มเงินสักนิดจองโรงแรมจะดีกว่า เกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมา อย่างน้อยก็มีมาตรฐานการจัดการที่ดีกว่านี้**power bank เป็นสิ่งที่ไม่ควรขาดพอ ๆ กับเน็ตมือถือนะคะ เพื่อสะดวกแก่การใช้แอปพลิเคชันหาทาง ( Google Map ), ใช้ติดต่อสื่อสารเวลาฉุกเฉิน, ใช้แก้เหงาระหว่างรออะไรนาน ๆ ได้ เพราะฮ่องกงไม่ค่อยเจอม้านั่งสาธารณะไว้ให้เอนกายเลย เราต้องเดินเท้าอีกนานกว่าจะเจอได้***น้ำเปล่า ถึงจะแพงมาก แต่ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรซื้อพกติดตัวกันสักขวดค่ะ เพราะเราเดินเท้ากันเยอะมาก เสียเหงื่อ เสียพลังงานกันเยอะมาก ยิ่งฮ่องกงอากาศแบบร้อนชื้น เดี๋ยวจะเป็นลมหรือฮีตสโตรกกันได้ค่ะ


ออกไปหาอะไรกิน ซื้อของจำเป็นกันในตลาดนัด


รูปภาพ:

พออาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า นอนพักกันได้สักงีบ ( เพราะเพลียมาก มาถึงเช้าไม่พอ ยังใช้พลังงานเกือบทั้งวันเดินทางมาที่พัก ) ก็ได้เวลาออกไปหาอะไรกิน หาซื้ออะไรในตอนค่ำ ๆ ค่ะ


รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

แวะย่านตลาดนัดก่อนกลับที่พัก ซื้อปลั๊กหัวแปลงก่อน จะได้ชาร์จมือถือได้ หัวแปลงอันนี้ซื้อในร้านของชำแนวร้าน 20 บาทบ้านเรา หัวละ 7-10 ดอลลาร์ฮ่องกง ( ถ้าจำไม่ผิดนะคะ จำได้แค่ว่ามันถูกมาก ) ส่วนแฟนซื้อสเปรย์เซ็ตผม กระป๋องละ 30 ดอลลาร์ฮ่องกง ไม่ได้เอาขึ้นเครื่องมาด้วย เพราะกลัวตรวจไม่ผ่าน และไม่ลืมที่จะแวะซื้อน้ำเปล่าขวดใหญ่ที่ Watson ด้วย เอามากินในห้อง และพกระหว่างเดินทางในวันต่อไป


วันที่ 2 ในฮ่องกง เป้าหมายคือห่านย่าง มิชลินสตาร์


กลับมานอนพักผ่อนเต็มที่ หลับเต็มตื่น ก็รีบตื่นกัน รีบทำธุระ ออกจากห้องพักประมาณ 10 โมงครึ่งค่ะ เพื่อเดินทางมากินห่านย่างที่Kam's Roast Goose( ที่จริงจะไปร้านอื่น แต่ร้านที่หมายตากันแต่แรกหยุดในวันนั้นพอดี เราเลยสุ่มมาเอาร้านนี้ดีกว่า ) จิ้มวิธีเดินทางจาก Google Map ปุ๊บว่าเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายอะไรบ้าง แล้วเดินมาทางไหนต่อ ก็ตะลอนมาเรื่อย ๆ จนถึงร้านในเวลาเที่ยงกว่า ๆ ( ช่วงเวลาพีค  ๆ เลยเชียว 555+ )


รูปภาพ:

รูปภาพ:

walk in เข้าไปเอาคิวที่พนักงานหน้าเค้าน์เตอร์นะคะ อย่างเรามากัน 2 คน ก็บอกเขาไปว่า" ทูพีเพิล " ( 2 peoples )เขาก็จะจดคิวให้เราถือไว้ เราก็เงี่ยหูฟังดี ๆ ไม่ต้องกลัวจะฟังไม่รู้เรื่องนะคะ เพราะถ้าเราพูดภาษาอังกฤษ เขาก็เรียกเราภาษาอังกฤษค่ะ ( มีใช้ภาษาจีนบ้าง แต่ไม่ต้องไปโฟกัสเยอะค่ะ เดี๋ยวลืมคิวตัวเอง )


รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

เครื่องดื่มเราสั่งชามะนาวกันค่ะ ชามะนาวสูตรฮ่องกงก็คือ ชาเข้ม ๆ คล้ายชาเนสที ( ไม่รู้ว่าเป็นชาอะไร แต่รสคล้าย ๆ ชาเนสที ) แล้วฝานเลมอนลูกใหญ่ ๆ รสเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ แช่ลงไปเลย รสชาติของชาจะเข้มข้นมาก ๆ มีรสชานำ ตามมาด้วยรสเลม่อนสดชื่น ง่วง ๆ อยู่ตาตื่นเลย


รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

พิชิตห่านย่างได้สำเร็จ ก็เดินทางต่อไปนั่งกระเช้าลอยฟ้าชมเมือง 360 องศาที่นองปิงค่ะ หาทางนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน MTR ไปลงที่Citygateที่เป็นห้างรวมสินค้าแบรนด์เนมดังปลอดภาษี ( Duty Free ) อยู่ด้วย แต่ห้างปิด 4 ทุ่มค่ะ พี่อาร์ตกับแฟนเลยผลัดเอาไว้ตอนลงกระเช้าดีกว่า เพราะกระเช้าชมเมือง ถ้าแสงหมดแล้วน่าจะปิด ไม่มีอะไรให้ชมแล้ว เสี่ยงอันตรายแน่

ปล. จำไม่ได้ค่ะว่าต้องไปลงสถานีไหน แต่จำได้ว่า อยากจะไปไหน ไปด้วยวิธีอะไร จิ้ม Google Map แล้วแอพฯ จะบอกมาหมดเลยว่าให้เริ่มจากไหนลงที่ไหน เดินกี่เมตรจะถึงปลายทาง ( ถ้าไม่มีมือถือไม่มีเน็ต ลำบากแย่เลยค่ะ พูดจากใจจริงเลย )


รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

ซื้อตั๋วล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์มาแล้วจากเว็บ Klook ก็เข้าไปช่อง Klook ได้เลยค่ะ เจ้าหน้าที่จะมอบสายรัดข้อมือกับตั๋วแข็งให้ คล้าย ๆ เป็นบัตรเข้าออก อย่าลืมแคปหน้าจอเว็บ Klook ที่เราจองมา เพื่อให้เจ้าหน้าที่กรอกข้อมูลอีกทีนะคะ ( บางทีช่อง Klook ปิดนะคะ แต่ละให้เราเช็คอินช่องอื่น ขึ้นกับว่าตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่ทำงานกี่คน ถ้าคนน้อย เขาก็จะโยกเราไปช่องอื่นได้ ไม่ต้องตกใจค่ะ ค่อย ๆ สื่อสาร ค่อย ๆ ไปตามทางที่เจ้าหน้าที่แนะนำเราเลย )


รูปภาพ:

รูปภาพ:

รูปภาพ:

พอได้ตั๋วเสร็จ ก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามาตามประเภทแถวได้เลยค่ะ เจ้าหน้าที่จะแยกไว้ 2 แถวใหญ่ ๆ คือ แถวสำหรับกรุ๊ปทัวร์ กับแถวที่มาแบบส่วนตัว ( มาเดี่ยว, มาเป็นคู่ และมากับกลุ่มเล็ก ๆ ) พอเข้าแถวแล้ว ก็รอให้เจ้าหน้าที่เรียกขึ้นกระเช้าค่ะ ( มีให้ถ่ายรูปพอเป็นพิธี ใครไม่สะดวกก็ยกมือห้ามเจ้าหน้าที่ได้ค่ะ ใครอยากจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก ค่อยขอซื้อตอนนั่งกระเช้ากลับก็ได้ )


รูปภาพ:

รูปภาพ:

ระหว่างทางก็จะเป็นวิวเมืองฮ่องกงแบบสุดลูกหูลูกตาค่ะ ก้มดูข้างล่างก็จะเจอป่าเขา มองไปรอบ ๆ ก็จะเป็นวิวเมือง จะถ่ายรูป จะดูเฉย ๆ ก็แล้วแต่อัธยาศัยเลย ( จะมีช่วงหนึ่งที่กระเช้าจอดพักแล้วเวียนผ่านหน้าเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องตกใจจนรีบลงนะคะ เป็นแค่การเวียนกระเช้ามาให้เจ้าหน้าที่เช็คสภาพเฉย ๆ ว่าสภาพโอเคไหม? ก่อนจะปล่อยให้ดึงขึ้นไปจนสุดปลายทาง )


รูปภาพ:

รูปภาพ:

พอถึงปลายทางที่จอดให้ลง จะเป็น community mall เล็ก ๆ คล้ายกับพืชสวนโลกที่เชียงใหม่ค่ะ คือเริ่มจากเจอจุดขายของที่ระลึกก่อน แล้วจะมีแผนที่บอกให้รู้ว่าข้างในมีอะไรบ้าง พอผ่านไปอีกก็จะเจอเป็นลานกว้าง ๆ 2 ข้างทางมีรูปปั้นประติมากรรมเทพเจ้าจีน เดินผ่านลานนี้เข้าไปอีก ก็จะเจอร้านค้าเล็ก ๆ 2 ข้างทาง มีทั้งร้านของที่ระลึก ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม แล้วเดินลึกไปอีก ก็จะเจอพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ อยู่บนเนินบันได ( คล้ายกับบันไดดอยสุเทพเลยจ้ะ แต่รู้สึกว่าจะสั้นกว่า ) ซึ่งใต้พระพุทธรูป เขาว่ากันว่ามีพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่ด้วย ( ใครถึงแล้ว ไหว้อธิษฐานขอพร ก็เป็นมงคลชีวิตดี )


รูปภาพ:

ภายใต้องค์พระพุทธรูป จะแบ่งเป็น 2 ชั้นค่ะ ห้ามถ่ายรูปทั้ง 2 ชั้นเลย ชั้นแรก เป็นนิทรรศการเกี่ยวกับชนชาติจีน บางโซนก็มีป้ายจารึกผู้เสียชีวิตไปแล้ว ( ส่วนมากจะเป็นคนมีฐานะ คนมีชื่อเสียง ศิลปินดัง ) ชั้น 2 ก็จะมีนิทรรศการชนชาติจีนเวียนไปเรื่อย ๆ มีระเบียงชมวิวเมืองบ้าง พี่อาร์ตกับแฟน เห็นว่าไม่ค่อยมีอะไรมาก ก็รีบลงมา รีบไหว้ขอพร แล้วรีบเดินทางกลับค่ะ เพราะกลัวว่าจะค่ำแล้ว กลัวเจ้าหน้าที่จะรีบไล่นักท่องเที่ยวลง ( จริง ๆ แล้วตรงข้ามกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ มีศาลาเจ้าแม่กวนอิมอยู่ค่ะ ถ้าใครมีเวลามากพอ ก็ไปเดินชมให้ทั่วเลยก็ได้ )


รูปภาพ:

รูปภาพ:

ตอนขึ้นกระเช้ากลับ ก็ง่าย ๆ คล้ายกับตอนมาค่ะ แถวไหนที่เป็นแบบกรุ๊ปทัวร์ไม่ต้องเข้า ซื้อบัตรแบบไป-กลับ แบบเดี่ยว ๆ ก็มาอีกแถวได้เลย ข้อดีของการจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อตั๋วประเภท return ( ไป-กลับ ) แบบส่วนตัว มันดีตรงนี้ ตรงที่เวลาเร่งรีบมาก ๆ ก็ไม่ต้องต่อแถวยาวเหยียดเหมือนกรุ๊ปทัวร์ค่ะ เดินไปเลยสวย ๆ แล้วขึ้นกระเช้ากลับได้เลย ( รอบนี้ได้กลับกับชาวต่างชาติค่ะ ไม่จีนก็ฮ่องกง เป็นกลุ่มอาม่าอากงเล็ก ๆ 2-3 คน )


พอลงมาปุ๊บ ก็ตะวันตกดินพอดี ถึงเวลาเดินห้างกันค่ะ พี่อาร์ตกับแฟนเดินเลือกซื้อของกันประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าก็รีบตีตั๋ว MTR กลับไปหาข้าวกินย่านที่พักที่มงก๊กเลย เพราะที่ Citygate ไม่ค่อยมีร้านอาหารถูก ๆ ค่ะ ส่วนมากจะเป็นร้านเบเกอรี่ ร้านกาแฟ หรือร้านอาหารในห้างแบบพรีเมียมหน่อย ๆ เราสองคนต้องการประหยัดค่าตั๋วเพื่อให้พอใช้ในวันต่อไปได้เลยยอมอดใจอีกนิด ไปกินถูก ๆ ดีกว่า


รูปภาพ:

มื้อเย็นของวันนั้น จำไม่ได้ว่าร้านอะไร แต่อยู่ในย่านมงก๊ก โซนที่มีสัตว์เลี้ยงขายเยอะ ๆ ค่ะ เห็นเมนูหน้าร้านราคาประมาณ 30 ดอลลาร์ฮ่องกง เลยเข้าร้านนี้กัน ในรูปคือก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นค่ะ ( ให้เส้นมาเยอะมาก เนื้อก็เยอะ เกือบกินไม่หมด รสชาติน้ำซุปจะจาง ๆ มีกลิ่นเนื้อตุ๋นนัว ๆ )


รูปภาพ:

เบ็ดเสร็จมื้อนั้นประมาณ 80 กว่าดอลลาร์ฮ่องกงค่ะ ตอนนั้นมีแบงก์พันดอลลาร์ จ่ายแล้วเขาไม่รับ ( เหมือนบ้านเราเลยที่บางร้านไม่รับแบงก์ใหญ่ ) ก็เลยต้องวิ่งออกไปซื้อของร้านสะดวกซื้อแถวนั้นเพื่อแตกแบงก์ แล้วเอาแบงก์ย่อยมาจ่ายอีกที ถึงผ่านพ้นไปได้ ( ประทับใจหน่อยหนึ่งตรงที่แคชเชียร์ก็ไม่ได้ยึดพาสปอร์ตเราไว้นะคะ ปล่อยให้เราออกร้านไปแตกแบงก์ตามใจ แล้ววกกลับมาจ่ายใหม่ได้ )


ผ่านพ้นคืนนั้นไปได้ด้วยดี ก็กลับมาพักผ่อน เตรียมวางแผนการเดินทางวันต่อไปค่ะ ซึ่งวันต่อไปก็จะเป็นการอยู่ฮ่องกงวันสุดท้าย เช็คเอ้าท์แล้วลากกระเป๋าเดินทางไปดิสนีย์แลนด์ แล้วออกจากฮ่องกงข้ามไปมาเก๊าเลยวันสุดท้ายที่ดิสนีย์แลนด์และการไปเยือนฮ่องกงจะโหด มัน ฮาแค่ไหน ติดตามได้ใน EPต่อไป ซึ่งเป็นตอนจบของทริปนี้นะคะ พี่อาร์ตขอตัวไปพักผ่อนก่อนจ้า พิมพ์มายาวเหยียด เมื่อยนิ้วจะแย่ ^^