บทที่ 12

หลังจากใช้เวลาครู่หนึ่ง ในที่สุดพวกเราก็เดินมาถึงบริเวณลับตาคน เนื่องจากนี่เป็นเวลาพักกลางวัน จึงทำให้นักเรียนส่วนใหญ่กรูกันไปทานข้าวที่อื่น


“อาจารย์มิยาโกะมีเรื่องอะไรจะคุยกับหนูเหรอคะ”


ฉันเอียงคอถาม ทำหน้าตาน่ารัก ทั้งที่หัวใจเต้นตุบๆ จนแทบจะหลุดออกมา


“อืม เป็นเรื่องสำคัญมากเลยล่ะ”


เอาแล้วไง คู่กรณีของฉันตอบคำถามแบบมีเลศนัยด้วย


นี่ถ้าอาจารย์สาวเงื้อมือขึ้นตบเมื่อไหร่ รับรองว่าฉันเอามาโคโตะตายแน่ แต่ก่อนหน้านั้นต้องพยายามบิ๊วด์อารมณ์ตัวเอง ฉันเป็นพวกสู้คน แถมสู้เก่งด้วย ทว่าในสถานที่ที่ต้องรักษาภาพพจน์แบบนี้ ฉันจะต้องรับบทผู้ถูกรังแกไว้ก่อน


“พูดมาเถอะค่ะ หนูรอฟังอยู่”


ฉันเร่งเร้า กำไม้กำมือแน่น พลางคิดว่าจะเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือทางซ้ายหรือทางขวาดี


แล้วทันใดนั้นคู่สนทนาก็ยกมือขึ้น ส่งผลให้ฉันเบิกตากว้างมองตามอย่างระแวดระวัง กระนั้นเป้าหมายกลับไม่ใช่ใบหน้า เพราะอาจารย์มิยาโกะเอามันมาวางบนบ่าของฉันแทน


“หนูน่ะ...สนิทกับอาจารย์สึบุรายะรึเปล่า”


แม้คู่กรณีจะยังไม่เริ่มฟาดฉัน แต่คำถามที่ส่งมาก็น่ากลัวไม่แพ้กันเลย


แล้วควรจะตอบยังไงดีให้หน้าตัวเองไม่มีรอยมือของผู้หญิงคนนี้วะเนี่ย


“...ไม่สนิทเท่าไหร่หรอกค่ะ ก็เจอกันเฉพาะในคาบเรียนเท่านั้น”


เลือกตอบแบบเพลย์เซฟไว้ก่อน แถมยังปั้นหน้าจริงจังชนิดที่คนฟังต้องเชื่อบ้างล่ะ


ดูเหมือนจะได้ผลด้วย เพราะอาจารย์คนสวยพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนตอบกลับ


“อย่างนั้นเหรอ...ชิรายูกิซัง อาจารย์รู้ว่านี่อาจจะเป็นการรบกวนไปบ้าง...แต่ช่วยอะไรอย่างสิ”


ฉันเลิกคิ้วขึ้นทันที นอกจากเราจะไม่กระชากหัวอีกฝ่ายมาขยุ้มแล้ว คู่เดทของสามีฉันยังทำหน้าตาขอร้องอ้อนวอนอย่างสุดกำลังอีกด้วย


“อะไรเหรอคะ” ถามสวนอย่างรวดเร็ว


“อยากให้ชิรายูกิซังช่วยเป็นตัวแทนทูตวัฒนธรรมของโรงเรียนให้หน่อยน่ะจ้ะ”


ตอนแรกฉันนึกว่าผู้หญิงคนนี้จะขอให้ฉันอยู่ห่างๆ มาโคโตะ หรืออะไรแบบที่มักปรากฏในนิยายน้ำเน่า แต่กลับผิดคาดเสียอย่างนั้น


แล้วไอ้ทูตวัฒนธรรมนี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?


“เอ่อ...แล้วที่บอกว่าเกี่ยวกับอาจารย์สึบุรายะล่ะคะ”


มีเหตุผลอะไรที่ชื่อของมาโคโตะต้องเข้ามามีเอี่ยวด้วย ทำฉันอกสั่นขวัญเสียหมด


ได้ยินดังนั้นอาจารย์คนสวยก็ขยับรอยยิ้มเล็กน้อย พลางหัวเราะเบาะๆ จนเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ดัดไว้เป็นลอนสวยกระเพื่อมเป็นจังหวะ ก่อนจะตอบคำถามฉัน


“ฮะฮะ ตกใจเรื่องนี้สินะ ขอโทษด้วยนะจ๊ะ คือว่าอย่างนี้...”


เว้นวรรคไปเล็กน้อยให้ฉันลุ้น จากนั้นคู่กรณีจึงเริ่มอธิบายต่อ


“ปกติภาควิชาสังคมของแต่ละโรงเรียนจะส่งอาจารย์และนักเรียนไปประชุมกันปีละครั้ง ซึ่งเราเรียกกันว่าทูตวัฒนธรรม ก็ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักสูตร กระชับความสัมพันธ์ทำนองนั้นน่ะจ้ะ จริงๆ ปีนี้เป็นอาจารย์กับเด็กอีกคนที่ต้องไป แต่ก็ดันติดปัญหานี่สิ...”


แล้วอาจารย์สาวก็ถอนหายใจพลางทำสีหน้าอ่อนล้า


“ที่บ้านอาจารย์มีปัญหานิดหน่อยเลยไปไม่ได้แล้วน่ะ ส่วนเด็กคนนั้นพอเห็นว่าต้องเปลี่ยนอาจารย์คนอื่นมารับผิดชอบแทนก็เกิดจะไม่อยากไปเสียอย่างนั้น พวกอาจารย์ภาคสังคมคนอื่นๆ ก็ติดธุระกันหมด ดังนั้นอาจารย์เลยไปไหว้วานอาจารย์สึบุรายะให้ไปแทน ส่วนเด็กนักเรียนก็มาขอร้องชิรายูกิซังเพราะเห็นว่าพอจะเป็นหน้าเป็นตาให้โรงเรียนเราได้นี่แหละ”


ฉันเก็ททันที ที่แท้ก็งานราชการ ไม่ใช่งานทะเลาะวิวาทกัน


“แล้วทำไมต้องถามด้วยล่ะคะ...ว่าสนิทกันรึเปล่า”


แต่ฉันยังระแวดระวัง เพราะชิรายูกิ ซาโฮะ ไม่ใช่คนประมาทเลินเล่อ นี่อาจจะเป็นการสับขาหลอกให้ตายใจก่อนที่ฉันจะโดนกระชากหนังหัวหลังจากคลายเกราะป้องกันลงแล้วก็ได้


“อ๋อ เพราะต้องไปกับอาจารย์สึบุรายะ 2 คน เลยถามเอาไว้ก่อนเผื่อชิรายูกิซังไม่สะดวกใจน่ะ”


กลัวฉันไม่สะดวกใจ หรือกลัวตัวเองไม่สะดวกใจกันแน่


นี่ถ้าเกิดฉันตอบว่าพวกเราสนิทสนมกันมาก มีหวังยัยอาจารย์นี่ต้องไปวิ่งร่นหาเด็กคนใหม่มารับเคราะห์กรรมเพราะไม่กล้าปล่อยปลาย่างไว้กับแมวแหงๆ


แต่ก็นะ ยังไงตอนนี้ปลาย่างกับแมวมันก็อยู่ด้วยกันมาเป็นเดือนแล้ว แถมความสัมพันธ์ยังติดลบชนิดที่ไม่ต้องระแวงอะไรเลยด้วยซ้ำ


“หนูไม่แน่ใจเหมือนกันนะคะ เรื่องนี้มันฉุกละหุกเกินไป คงต้องขอเช็คตารางเวลาดูก่อน”


ฉันอ้อมแอ้มตอบด้วยท่าทางรู้สึกผิด ทำท่าเหมือนสาวน้อยผู้มีธุระเยอะเสียเหลือเกิน ทั้งที่ความจริงแค่ขี้เกียจตัวเป็นขนและอยากนอนกองอยู่บนเตียงนิ่งๆ โดยไม่อาบน้ำ


“งั้นเหรอ...นั่นสินะ มันกะทันหันเกินไปจริงๆ ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ อาจารย์จะลองหานักเรียนคนอื่นดู ทางภาคสังคมมีคะแนนพิเศษให้ด้วย คงมีคนอยากเสนอตัวอยู่บ้างแหละ”


อาจารย์มิยาโกะว่าพร้อมกับถอนหายใจ แต่นั่นทำให้ฉันหูผึ่งทันที


คะแนนพิเศษ? มันคืออะไรไม่รู้ แต่ชื่อมันดึงดูดฉันมาก


“คะแนนพิเศษอะไรเหรอคะ”


แสร้งถาม ทำหน้าเหมือนไม่สนใจมาก ทั้งที่ความจริงอยากรู้จะตายแล้ว


“ก็เด็กที่เป็นตัวแทนโรงเรียนจะได้รับการตอบแทนเป็นคะแนนเก็บรายวิชาของภาคสังคมไงล่ะ”


ฉันทำตาโต เพราะนั่นจะกลายเป็นไอเทมสำคัญที่ทำให้ฉันไม่ต้องพยายามหักโหมอ่านหนังสือมาก และสามารถไปทุ่มเทกับวิชาอื่นเพื่อรักษาตำแหน่งนักเรียนดีเด่นได้อย่างเต็มที่


“...อาจารย์คงลำบากมากสินะคะ”


ฉันทำหน้าตาเห็นอกเห็นใจ ซึ่ง 99.99% เป็นความตอแหล ส่วนอีก 0.01% เป็นจิตสำนึกฝ่ายดีที่พยายามแหวกความโลภในจิตใจออกมาอย่างสุดกำลัง


“ก็ตระเวนหามาหลายวันแล้ว แต่เหมือนจะไม่มีใครว่างเลยน่ะจ้ะ”


ยิ่งเป้าหมายสลดหดหู่ดูห่อเหี่ยวใจ รอยยิ้มมารก็ปรากฏขึ้นเงียบๆ ในใจของฉัน จากนั้นจึงเอื้อมไปกุมมือคู่เดทของสามีตามกฎหมาย แล้วกล่าวด้วยไมตรีจิต


“เข้าใจแล้วค่ะ...ชิรายูกิ ซาโฮะ คนนี้จะไปแทนเอง”


หน้ากากนางฟ้าถูกหยิบมาสวม ทักษะการตี 2 หน้าชั้นสูงไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ