บทที่ 5


อึก!

เปลือกตาบางเปิดขึ้นด้วยความรวดเร็วเช่นเดียวกับเรือนกายที่ลุกขึ้นนั่ง


ดวงตาคู่คมกวาดมองไปรอบห้อง ใบหน้าของเขาตื่นตระหนกด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด หากเมื่อทิ้งช่วงระยะเวลาไปเกือบหนึ่งนาที ชเยศจึงผ่อนลมหายใจที่คล้ายจะหอบน้อยๆ แล้วทิ้งกายลงนอนบนผืนฟูกอีกครั้ง

คงหูฝาดไป...ไม่สิ เขาจะหูฝาดได้ยังไงกันเล่า ในเมื่อตอนนี้เขาไม่ได้ยินอะไร ทว่าเสียงที่ปลุกให้เขาตื่นขึ้นจากห้วงการหลับใหลนั่นก็คือเสียงที่ยังคงดังก้องในใจตลอดระยะเวลาหกปีต่างหากใช่ เสียงนั้นที่คอยตามหลอกหลอนเขา...เสียงระเบิด


ชายหนุ่มแลบลิ้นเลียกลีบปากที่แห้งผาก ก่อนจะยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากคล้ายคนคิดไม่ตกกับเรื่องบางเรื่อง หากแท้จริงแล้วเขาก็เพียงแค่กำลังพยายามที่จะลบเลือนเสียงนั้นให้หายไปจากใจเสียที แม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เพียงแค่ตอนนี้เท่านั้น แค่ตอนนี้...แค่หายไปสักพักไม่รบกวนใจกัน ถ้าทำได้จริงก็คงจะดี

“บ้าเอ๊ย...”


ชเยศหลับตาลงอีกครั้ง สางเรียวนิ้วเข้ากลุ่มผมแล้วดึงทึ้งเบาๆ เมื่อภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับขึ้นมาฉายชัดให้เขาได้มองเห็น เสียงระเบิดดังลั่นก้องอยู่ในหูจนชายหนุ่มนึกคิดว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปในวันวาน เรียวคิ้วเข้มขมวดชิด ก่อนจะเผลอร้องลั่นโดยไม่รู้ตัวแล้วผุดลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง แววตายามเมื่อเปิดเปลือกตาก็คล้ายจะทอไหว ฉาบไว้ซึ่งความเจ็บปวดและหน่วงหนักที่ใจ

ความอ่อนแอที่เก็บซ่อนไม่ให้ใครเห็น...มักจะฉายชัดทุกครั้งเมื่ออยู่คนเดียว

แน่นอนว่าชญาภาไม่เคยมองเห็นมัน กระทั่งครอบครัวของเขาเองก็เช่นกันชเยศเหลียวมองนาฬิกาก่อนพยายามควบคุมอารมณ์ที่คั่งค้างในใจให้จางหาย พยายามนึกถึงใบหน้าของคนที่ผลักไสเขาตลอดเวลาที่ได้ยินเสียงทักทายให้ใจที่เต้นรัวได้ผ่อนลง อีกครั้งที่ต้องเลียกลีบปากให้คลายความแห้งผาก อีกครั้งที่ได้แต่ขยุมขยี้กลุ่มผมตนเองอย่างไร้หนทางสู้กับภาพอดีตที่เกิดขึ้น กว่าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ความรู้สึกปกติได้ก็ใช้เวลาอยู่หลายนาที และสุดท้ายชเยศจึงหยัดกายขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องเพื่อออกไปนอกบ้านอีกครั้ง


หากเขาก็ต้องชะงักนิ่งเมื่อพบกับสายตาของชญาภาที่มองมา

“อะไร?”

“นายนั่นแหละเป็นอะไร?”


คำถามที่ย้อนกลับทำให้ชเยศเข้าใจว่าเมื่อครู่เขาอาจจะส่งเสียงดังเกินไปจนคนข้างนอกได้ยิน ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงเพียงแค่ถามว่าได้ยินเสียงเขาใช่ไหม ก่อนขอโทษขอโพยที่ทำเสียงดังจนเกินเหตุแล้วเดินออกจากบ้านมาโดยไม่อธิบายสิ่งใด แม้จะรู้ดีว่าชญาภาเป็นห่วงมากแค่ไหน แต่ชายหนุ่มไม่ต้องการที่จะให้ใครก้าวเข้ามาในส่วนของความรู้สึกที่เขาเก็บซ่อนไว้จริงๆ

ไม่เคยต้องการให้ใครเข้ามา และใช่...มันจะไม่มีวันที่ใครได้ก้าวเข้ามา


“สวัสดีครับคุณป้า”

ชเยศยกมือไหว้และเอ่ยทักทายหญิงวัยกลางคนที่หน้าละม้ายคล้ายคนที่ชักสีหน้าบึ้งตึงในทันทีที่ได้ยินเสียงของเขา แดดยามเย็นอ่อนลงกว่าเมื่อช่วงบ่ายอยู่มากโข ทว่าลมที่พัดเอื่อยในตอนนี้กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกสบายเหมือนช่วงเช้า คล้ายมันจะหนาววูบให้มือกว้างเย็นเฉียบ


“สวัสดีจ้ะเชน มาเดินเล่นเป็นเพื่อนนัทหรือ?”

“ครับ รบกวนด้วยนะครับ”

ชายหนุ่มตอบรับพลางค้อมกายเล็กน้อยให้ผู้อาวุโส ก่อนจะหันมองคนที่กำลังเดินผ่านเขาไปด้วยไม่สนใจใยดีก่อนจะได้เร่งฝีเท้าก้าวตาม

ชเยศก็เป็นซะอย่างนี้ เขาเคยยอมคนอายุมากกว่าคนนี้เสียที่ไหน รู้ทั้งรู้ว่ามนัสไม่พอใจมากเพียงใด แต่ยังไงเสียเขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองต้องการที่จะเป็นอวัยวะที่ขาดหายไปให้มนัสอยู่ดี

แม้เขาจะไม่ได้ยิน แต่เขาก็อยากเป็นตาที่คอยมองเส้นทางให้มนัส แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าเพราะอะไร แต่คำตอบที่ดังขึ้นในใจทุกครั้งก็คือช่วยเหลือเพื่อนที่พิการเช่นเดียวกัน...แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าเขาพิการก็ตามที


“หนาวหน่อยๆ นะครับ”

“อา...”

แปลก...

ถึงจะตอบมาสั้นๆ หนึ่งพยางค์อย่างนั้น แต่ก็แปลกสำหรับคนที่เบื่อการเซ้าซี้ตามตื๊อเป็นอย่างมาก มนัสแม้จะยังไม่มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า แต่ทว่าแสงจากตะวันยามใกล้ตกดินที่กระทบฉาบใบหน้านั้นกลับทอให้เห็นความอ่อนแสงของริ้วอารมณ์ รอยบึ้งตึงที่ปรากฏเมื่อตอนที่อยู่หน้าบ้านก็คล้ายจะเจือจางลงไปมากแล้ว นั่นเองที่ทำให้หัวใจของชเยศพองฟู ชายหนุ่มยังคงก้าวเดินเคียงข้างอีกคนไปเรื่อยๆ โดยมีเจ้าลัคกี้เดินนำที่ด้านหน้า


และใช่...สิ่งที่แปลกไปในตอนนี้คือกลีบปากอิ่มสีเรื่อนั้นหาได้ขยับเป็นถ้อยความใดทั้งสิ้น

“คุณนัทครับ?”

“ครับ?”

มนัสตอบรับพร้อมกับหันใบหน้ามาทางต้นเสียงเพียงวินาทีสั้นๆ ก่อนจะหันกลับไปทางเบื้องหน้าอีกครั้ง ไม่มีความเบื่อหน่ายหรือหมองใจใดให้สัมผัสได้อีกแล้ว แม้จะยังมีบางช่วงจังหวะที่คล้ายจะเผลอแสดงความไม่พอใจออกมาบ้าง หากก็ไม่ได้ชัดเจนจนชเยศรู้สึกถึง

“วันนี้ฟ้าแดงมากๆ เลย”

“เอ๊ะ? ถ้าฟ้าแดง...ก็แสดงว่าจะมีพายุเข้าสิครับ?”

มนัสนึกทบทวนสิ่งที่เคยมองเห็นเมื่อครั้งในอดีต หากนับวันภาพเหล่านั้นก็คล้ายจะยิ่งลางเลือนมากไปทุกที ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง คลายยิ้มเศร้าเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะกลายเป็นยิ้มเจือจางประดับบนดวงหน้า

หารู้ไม่ว่าในขณะที่ชเยศจับจ้องใบหน้าระบายยิ้มอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ครุ่นคิดปะติดปะต่อถ้อยคำที่อ่านปากเมื่อครู่ไปด้วยในตัว ก่อนสุดท้ายจะส่ายหน้า อธิบายเพิ่มเติมให้อีกคนที่เหมือนจะเข้าใจผิดไปหลายขุมได้เข้าใจมากขึ้น

“ผมหมายถึง...วันนี้พระอาทิตย์ดวงใหญ่มาก พอมันกำลังเคลื่อนต่ำลง ท้องฟ้าก็เลยเป็นสีเข้มน่ะครับ”

“อ๋อ...” มนัสพยักหน้ารับ “ผมว่าผมจำได้นะ แต่แบบนั้น...น่าจะเป็นสีส้มสดๆ มากกว่าสีแดงไม่ใช่หรือครับ?”

ชเยศอ้าปากค้าง ก่อนเปล่งเสียงหัวเราะที่ฟังดูประหลาดในความรู้สึกของมนัสก่อนจะยอมรับในที่สุดว่าเขาเองพูดผิดเพี้ยนไป นัยน์ตาสีเข้มที่แม้จะมีปัญหาหากก็ยังระยับไหวยามเมื่อต้องแสงสีส้มของท้องฟ้า ชเยศมองภาพที่เห็นแล้วก็ให้ได้อมยิ้ม ถือวิสาสะแตะนิ้วลงที่หลังมือของอีกคนแล้วเอ่ยบอก

“เดินไปอีกนิดหน่อยจะเจอสนามหญ้าตรงลานกว้างๆ แล้ว อยากไปเดินเล่นตรงนั้นรึเปล่าครับ?”

มนัสคล้ายนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินตามการชักจูงของอีกฝ่ายโดยไม่อิดออด ปฏิกิริยาที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้ชเยศอดจะแปลกใจไม่ได้ หากชายหนุ่มก็ยังเก็บคำถามนั้นไว้ในใจแล้วเลือกที่จะปฏิบัติดังเดิมเช่นเดียวกับทุกวันที่มักจะโดนบ่นไล่ กระทั่งหยุดยืนอยู่ที่ลานกว้างซึ่งครั้งในอดีตเคยเป็นสนามเด็กเล่นเล็กๆ ทว่าในตอนนี้กลับถูกปล่อยร้างให้มีแต่ต้นหญ้าขึ้นสูง ชเยศจึงค่อยปล่อยมืออีกคนเพื่อให้ทั้งสองได้ยืนรับลมอยู่อย่างนั้น

“หืม?”

ชเยศส่งเสียงด้วยความแปลกใจ เพราะจู่ๆ คนที่ยืนข้างกันก็กลับยื่นห่วงสายจูงเจ้าลัคกี้ให้เขาได้ถือไว้ ก่อนจะก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปตามทุ่งหญ้าขึ้นสูงโดยไม่เอ่ยอะไร ให้ชเยศได้จับจ้องมองตามอย่างระมัดระวัง

เรียวมือที่ไล่ไปตามใบต้น ดูให้เบาสบายและอ่อนโยนยามเมื่อเกลี่ยไล้ปลายนิ้วกับใบหญ้า ดวงหน้าที่ก้มลงหานั้นก็คลายยิ้มบาง ก่อนจะเงยขึ้นแล้วหันมาทางชเยศได้ไม่คลาดเคลื่อนเท่าไรนักพร้อมกับรอยยิ้มที่กว้างขึ้น ยิ้ม...ที่ทำให้ชเยศคลี่ยิ้มตามโดยไม่ทันได้รู้ตัว

เพราะรอยยิ้มนั้นดูสดใส สดใสจนทำให้แสงจากดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำลงทุกทีกลายเป็นสว่างไสวในบัดดล

“คุณรู้อะไรไหมเชน”

มนัสว่าขึ้นเช่นนั้นแล้วทิ้งคำไว้ โสตหูที่รอคอยการตอบกลับจากอีกคนก็กลับได้ยินเป็นเสียงสวบสาบที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งชายหนุ่มก็เดาได้ไม่ยากนักว่าคงเป็นเจ้าลัคกี้และเจ้าของชื่อนั้นที่กำลังก้าวตรงมา จนกระทั่งเสียงนั้นหายไปและแทนที่ด้วยเสียงลมหายใจที่ระบายแผ่วเบา มนัสจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง โดยที่รอยยิ้มยังคงแต้มเจือไม่ลดคลาย ให้คล้ายปรารถนาจะส่งให้คนตรงหน้าจากใจจริง

“ถึงผมจะไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมคุณถึงต้องมาตามติดผมขนาดนี้ ถึงตอนนี้ผมจะยังรำคาญคุณอยู่บ้าง แต่ว่า...ผมยอมแพ้แล้วล่ะครับ”

...ยอมแพ้?

“ผมเหนื่อยที่จะไล่คุณแล้ว ผมยอมแล้วล่ะ”

มนัสว่าอย่างนั้นก่อนก้มหน้าลงอีกครั้ง และนัยน์ตาคู่คมก็ยังคงมองเห็นรอยยิ้มที่แต้มประดับบนดวงหน้านั้นอย่างชัดเจน ปลายนิ้วของชายหนุ่มแตะลงยังดอกหญ้า เขาเอียงศีรษะคล้ายครุ่นคิดเล็กน้อยว่ามันคือสิ่งใดก่อนจะเด็ดมันขึ้นมาและแตะลงยังกลีบปากเพียงแผ่วเบา

“ดอกหญ้าใช่ไหม...”

“ครับ ดอกหญ้า”

“บางที...ผมอาจไม่ต่างอะไรกับดอกหญ้าพวกนี้ก็ได้ ไม่มีใครมองเห็น มีแต่คนเหยียบย่ำ ไม่เคยมีใครใส่ใจที่จะจ้องมองหรือมองเห็นค่าของมัน”

มนัสคิดเช่นนั้นจริง และนั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาปิดใจไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากใคร

ชายหนุ่มนั่งคิดทุกวันมาตลอดอาทิตย์กว่าๆ ที่ผ่านพ้น ทุกวันที่มีใครบางคนซึ่งเป็นคนแปลกหน้าเข้าหาหมายจะช่วยเหลือ เขาไม่รู้จุดประสงค์ที่แน่ชัดของใครคนนั้น ทว่าเพราะความรั้นนั่นเองที่ทำให้หัวใจที่แข็งแกร่งคล้ายกำแพงหินของมนัสเริ่มกร่อนลงทุกที

แม้จะยังไม่พอใจอยู่บ้าง แม้จะไม่คุ้นชินเสียทีที่จะมีใครตามช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างนั้น...

“ผมไม่มีตามองเห็น ผมแทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าสีอะไรเป็นสีอะไร ของบางอย่างผมแทบจะลืมรูปร่างของมันไปแล้วด้วยซ้ำ”

หากว่ามีใครสักคนเป็นตาให้กับเขา...ก็คงจะดีรึเปล่านะ?

“คุณเชน คุณมองเห็นผมเป็นยังไงหรือครับ?”

“...ก็เป็นคนๆ หนึ่งเท่านั้นเองครับ”

“ผม...ไม่ใช่ดอกหญ้าหรอกใช่ไหม?”

“ไม่ใช่อย่างแน่นอนอยู่แล้ว”

“...ผมยอมแพ้คุณแล้วจริงๆ”

ยอมแพ้ในคราแรกเพื่อตัดความรำคาญใจ หากในตอนนี้...มนัสยอมแพ้ชเยศที่ไม่เคยแสดงออกทางคำพูดว่าเขาดูด้อยค่ากว่าคนทั่วไป มันทำให้ความรู้สึกเบื้องลึกในใจที่พยายามปิดไว้...เริ่มแง้มออกมาทีละนิด

บางที มันอาจจะค่อยๆ เปิดออกเพื่อใครสักคนที่หวังดีด้วยกระมัง และถ้าเป็นอย่างนั้น...ชเยศคงจะเป็นคนแรกที่จะได้รับการยอมรับจากเขา

...แม้จะเป็นเพราะทนลูกตื๊อไม่ไหวซะหลายส่วนก็เถอะ