บทที่ 4


กลิ่นอากาศในเช้าวันใหม่สร้างให้มนัสรู้สึกกระปรี้กระเปร่า

ดวงตาที่แม้จะมองไม่เห็น หากก็ยังคงความสดใสยามเมื่อก้าวเท้าเดินออกจากบ้าน ชายหนุ่มสวมรองเท้าที่วางไว้ในตำแหน่งเดิม ส่งเสียงเบาๆ เมื่อเจ้าลัคกี้สะบัดหางของมันจนฟาดเข้าที่ขาของเขา อาจจะเป็นเพราะเห็นว่าเจ้าของของมันอารมณ์ดีกระมัง ลัคกี้ก็เลยกระตือรือร้นที่จะพาเจ้าของออกไปเดินเล่นนอกบ้านอย่างที่มักทำทุกเช้าที่ตื่นขึ้น


ทว่าช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้อาจมีบางสิ่งเปลี่ยนไป...จังหวะการก้าวเดินของมนัสยังราบเรื่อยเช่นเดิม เขารักที่จะได้สูดกลิ่นอากาศยามเช้า ชอบที่จะให้ผิวกายได้โดนแสงอาทิตย์ลามเลีย ลมเย็นๆ โชยเอื่อยที่ไม่ใช่ลมร้อนหรือลมหนาว ก็คล้ายจะยิ่งทำให้หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะดีของเขาอบอุ่นขึ้น ชายหนุ่มให้เหตุผลกับตัวเองที่ออกมาเดินเล่นทุกวันเช่นนี้ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยทำ ก็เพราะเขาจะได้ออกกำลังกายไปด้วยในตัว ทั้งยังได้สัมผัสกับธรรมชาติยามเช้าที่น้อยครั้งนักหากในอดีตจะได้สัมผัส

มนัสมักจะคิดในแง่ดี ว่าการที่เขาเป็นอย่างนี้...ก็ทำให้ได้รับรู้อะไรใหม่ๆ บ้างเหมือนกันและมันคงจะดีกว่านี้มากนัก ถ้าหากว่า...“อรุณสวัสดิ์ครับคุณนัท”


เสียงแปร่งแปลกเพี้ยน ที่ฟังเมื่อไรก็ไม่เคยระรื่นหูเลยสักครั้ง หากเจ้าของชื่อก็ยังรู้สึกได้ถึงความร่าเริงจากคนที่ทักทายมา มนัสหยุดยืนอยู่กับที่ ส่งเสียงในลำคอแผ่วเบาคล้ายไม่อยากเสวนาด้วยเท่าไรนัก หากสุดท้ายก็ยังเอ่ยเต็มเสียงออกไปอยู่ดี

“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณชเยศ”

น่าแปลก...แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉงนใจซะทีเดียว แรกเริ่มเขาประหลาดใจเสียยิ่งกว่าอะไรที่มีเสียงของผู้ชายคนนี้คอยทักทายเขาเช้าสายบ่ายเย็น หากได้ก้าวเท้าออกจากบ้านแล้วล่ะก็ บางครั้งชเยศก็คล้ายจะทำตัวเป็นเงาที่คอยติดตามเขาอยู่เรื่อย

จริงอยู่ว่ามนัสรู้เหตุผลของผู้ชายคนนี้ คนที่คอยเซ้าซี้ที่จะช่วยเหลือเขาให้ได้ ว่ากันตามตรงเถอะ มนัสน่ะปฏิเสธดีๆ ก็แล้ว ออกปากไล่ก็แล้ว เคยขึ้นเสียงใส่ด้วยความโมโหก็มี แต่ไม่ยักจะเห็นคุณชเยศคนนี้วุ่นวายใจหรือถอยห่างจากเขาเลยสักนิด

เหนื่อยใจ แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ลูกตื๊อนั่นหรอกนะ!

“เดินเล่นทุกเช้าเลย วันนี้ก็อากาศดีอีกแล้วนะครับ”


บนใบหน้าเรียนมนหาได้มีริ้วอารมณ์ดีเหมือนอย่างที่เคยพบในวันแรก มนัสดูไม่เป็นมิตรเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ได้ออกปากไล่ชเยศเหมือนวันแรกๆ ที่เขาพยายามจะช่วยเหลือ ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมคายเพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เดินเคียงคนมีปัญหาทางดวงตาไปตามเส้นทางที่เริ่มจะเคยคุ้นอย่างเงียบเชียบ เช่นเดียวกับคนที่ตัวเล็กกว่าเขาเล็กน้อยที่เดินตรงไปโดยไม่คิดจะหันมามองกัน


ไม่ว่าเปล่า ชเยศยังเอื้อมมือมาหมายแตะมือเรียวที่ไม่ได้กำสายจูงสุนัขไว้ และอีกคนก็ราวกับจะรู้ถึงการเคลื่อนไหวนั้น มนัสรีบเบี่ยงมือตัวเองหนีแทบจะในทันทีที่อีกฝ่ายเอื้อมหา ให้ปลายนิ้วอุ่นแตะเฉียดเพียงหลังมือขาวจัดเท่านั้น

“ครับ อากาศดี”

แต่สุดท้ายแล้วมนัสก็ยอมแพ้ เป็นทุกครั้งที่เขาจะเป็นฝ่ายแพ้ก่อนและหันหน้ามาหาชเยศในขณะที่ก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน“คุณไม่เบื่อเลยรึไงที่ต้องมาเดินตามผมอย่างนี้”


ไร้การตอบรับจากคนเคียงข้าง มนัสกัดกลีบปากก่อนหยุดก้าวเดินกะทันหัน ให้คนที่มัวแต่จับจ้องเงาใบไม้ที่ทอดพาดกับกำแพงรั้วได้หยุดชะงักแล้วหันกลับมาหา รู้แน่แล้วว่าเมื่อครู่เขาคงพลาด เช่นนั้นชายหนุ่มจึงส่งเสียงลากยาวเบาๆ ในลำคอแล้วเอ่ยขึ้น

“...ผมน่ะเหรอครับ?”

มนัสพยักหน้ารับในทันทีพร้อมกับสำทับคำถามอีกครั้ง “คุณนั่นแหละครับ ไม่เบื่อรึไง?”

ชเยศกลั้นยิ้ม รู้ทั้งรู้ว่าคนตรงหน้าไม่มีทางมองเห็น หากเขาก็ไม่สามารถยิ้มกว้างตามใจคิดได้ บางครั้งคนตรงหน้าก็น่าเอ็นดูชอบกล มนัสน่ะไม่เคยรู้เลยสักนิดว่าเขามีเล่ห์ที่ใช้ในการพูดคุยกันแบบไหน และมันก็จริงที่ว่าคนตัวเล็กกว่าตรงหน้านี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน

แรกๆ ที่ชเยศเผลอมองไปทางอื่นแล้วอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น เขาเกือบจะทำให้ความลับของตัวเองหลุดไปก็หลายครั้ง แต่พอตามมากเข้าเรื่อยๆ จากที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคุณมนัส ก็เลยกลายเป็นว่าใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งอาทิตย์กว่าๆ ชายหนุ่มก็เข้าใจอีกคนได้หลายๆ เรื่อง


เช่นว่าหากมนัสกำลังถามหรือต้องการจะคุยกับเขาแล้วเขาไม่โต้ตอบ มนัสจะใช้วิธีหยุดเดินและกัดกลีบปากสีเชอร์รี่นั้นแล้วนิ่งเฉย อย่างที่กำลังทำในขณะนี้เป็นต้น

“ผมจะเบื่อทำไมล่ะครับ?”

“แต่ผมเบื่อ”

เอาอีกแล้ว...

ชเยศได้แต่ระบายลมหายใจ นึกรู้ว่าหลังจากนี้มนัสจะต้องบ่นยาวเหยียดเป็นแน่ เช่นนั้นแล้วแทนที่จะคอยจับจ้องกลีบปากที่ขยับเป็นถ้อยความ เขาก็เลยกวาดสายตามองรอบด้านเสียแทน หากเมื่อไล่สายตากลับมาที่คนตรงหน้าอีกครั้ง ใบหน้าปั้นปึ่งบึ้งตึงไม่ยอมความก็ปรากฏชัดแก่สายตา ชายหนุ่มกลั้นหัวเราะเอาไว้พลางขยับไปยืนอยู่เคียงข้าง แตะมือที่ไหล่ลาดแล้วเอ่ยขึ้นด้วยคิดเอาเองว่ากระแสเสียงคงทุ้มนุ่มไม่น้อย

“เดินต่อเถอะครับ มัวแต่ยืนอยู่อย่างนี้เดี๋ยวแดดก็แรงกันพอดี”

และใช่...มนัสได้ยินเสียงที่ทอความอ่อนนุ่มอย่างชัดเจน แม้จะแปร่งแปลกเพียงใดก็ตาม

กลีบปากที่กำลังขยับบ่นนิ่งไปในทันที ก่อนจะเม้มแน่นแล้วตัดสินใจออกตัวเดินอีกครั้ง บางทีเขาก็ชักจะอ่อนใจแล้วเหมือนกัน ทั้งๆ ที่บ่นก็แล้ว อธิบายเหตุผลก็แล้ว แต่ชเยศเคยฟังเขาเสียที่ไหน นอกจากจะไม่ฟังและเข้าใจอะไรแล้ว ผู้ชายคนนี้ยังพูดตัดคำพูดของเขากะทันหันจนเป็นเขาเองที่ต้องเงียบไป แล้วในที่สุดก็ทำตามที่อีกฝ่ายเสนอมาอยู่ดี

มนัสไม่ชอบให้ใครมาดูแล รู้ตัวหรอกว่ามีปัญหามากเพียงใดและคนทั่วไปก็คงมองว่าเขาเป็นเพียงผู้ชายไม่สมประกอบทางความสามารถคนหนึ่งเท่านั้น ไม่แปลกหากจะมีใครสักคนปรารถนาจะช่วยเหลือ แต่ไม่ว่ายังไง...เขาก็ไม่ต้องการ

“จะแวะกินข้าวเช้าที่บ้านผมรึเปล่า วันนี้พี่ฟ้าปิ้งขนมปังแบบที่คุณชอบไว้ด้วยนะ”

รู้ได้ยังไงกันว่าเขาชอบกินขนมปังปิ้ง? “ไม่ล่ะครับ พอดีทานมาจากบ้านแล้ว”

มนัสปฏิเสธเสียงเรียบ หมายให้อีกคนได้รับรู้ว่าเขาไร้อารมณ์มากเพียงใดที่ต้องเสวนาด้วย กระนั้นอีกคนกลับเพียงแค่ส่งเสียงเชิงรับรู้แล้วก้าวต่อไปเคียงกัน มนัสหยุดยืนตรงไหนเขาก็หยุดด้วย บางครั้งที่มนัสกำลังจะก้าวผิดจังหวะหรือกำลังพลาดเตะก้อนอิฐก้อนหิน ชเยศก็จะเป็นคนฉุดร่างของคนตัวเล็กกว่าเอาไว้แล้วเตือนด้วยความหวังดี

ชายหนุ่มรับรู้ในน้ำใจนั้น แต่ยังไงเขาก็ยังรับความหวังดีนั้นได้ไม่เต็มที่นัก

บางทีอาจจะเป็นเพราะ...แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ยอมรับตัวเอง

“ลัคกี้เนี่ย อยู่กับคุณมานานแล้วหรือครับ?”

“ครับ ก็...ราวๆ สองปี”

ไม่แน่ชัดว่าสองปีที่ว่านั่นคือก่อนจะพิการทางสายตาหรือรวมเวลาทั้งหมดแล้ว นี่คงเป็นสิ่งเดียวกระมังที่ชเยศไม่เคยคิดจะถาม แม้ชายหนุ่มจะตามตอแยเซ้าซี้ที่จะได้เป็นคนช่วยเหลือแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็ยังรู้ว่าสิ่งใดควรพูดและสิ่งใดไม่ควร เขาเองก็เช่นเดียวกับมนัส ไม่ใคร่จะชอบใจเท่าไรนักหากจะมีใครมาถามเรื่องเกี่ยวกับปัญหาทางการได้ยินของเขา บางครั้งแม้จะได้รับคำถามด้วยความเป็นห่วงมากเพียงใดก็ตาม แต่สุดท้ายคำถามเหล่านั้นก็จะเกาะกินหัวใจเขาให้กร่อนลงจากเดิม

แสร้งทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าใครๆ แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด

“วันนี้ฟ้าสดใสมากเลยนะครับ”

ชเยศเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผืนกว้างก่อนจะกลับมามองมนัสอีกหน แล้วก็ให้ได้อมยิ้มเมื่อคนที่เบื่อหน่ายเขานักหนาแหงนเงยดวงหน้าขึ้นพลางปิดเปลือกตารับสายลมโชยเอื่อย ก่อนจะขยับปากเอ่ยขึ้นให้ชเยศได้จับถ้อยคำ

“สดใสแบบไหนกันนะ...มันเป็นสีฟ้า...ใช่รึเปล่า...”

ชายหนุ่มระบายลมหายใจพลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอีกครั้ง ริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้นแล้วขยับเปล่งถ้อยคำให้อีกคนได้รับฟัง

“สีฟ้า...ใช่ครับ มันเป็นสีฟ้า สีฟ้าสดๆ ที่คาดว่าตอนกลางวันคงจะร้อนน่าดู แล้วตอนนี้ก็มีเมฆสีขาวลอยอยู่บ้าง”

“อย่างนั้นเอง”

มนัสตอบรับพลางคลายยิ้ม ถอนลมหายใจแล้วหมุนตัวเพื่อเริ่มต้นเดินกลับบ้านของตน แดดยามเช้าเริ่มแผดเผาผิวกายของเขาแรงขึ้นกว่าเมื่อตอนที่เพิ่งก้าวออกมา มันเปลี่ยนจากความอบอุ่นให้กลายเป็นร้อนผ่าวแม้กระทั่งใบหน้า เช่นนั้นแล้วสองเท้าที่ก้าวอย่างเอื่อยเฉื่อยจึงเริ่มเร็วมากขึ้นกว่าเคย หากสำหรับชเยศแล้วก็ยังถือว่าเรื่อยๆ ซะมากกว่า

“คุณ...” มนัสเรียกอีกคนทั้งๆ ที่ยังคงเดินอยู่เช่นนั้น “เมื่อไหร่จะเลิกเดินตามผมสักที ผมกำลังจะกลับบ้านแล้วนะ”

เบื่อชะมัด ทำไมเขาต้องพูดอะไรซ้ำๆ บ่อยๆ ในเวลาไล่เลี่ยกันแบบนี้ด้วยเล่า? แล้วดูซะสิ อีกคนน่ะสนใจกันเสียที่ไหน พอถามคำถามนี้ทีไรชเยศเป็นต้องไม่สนใจกันเสียทุกที บางครั้งมนัสก็รู้สึกคล้ายตัวเองเอ่ยกับสายลม คุยกับเจ้าลัคกี้ยังจะมีปฏิกิริยาตอบรับเสียมากกว่าด้วยซ้ำ

“หินครับหิน”

“ลัคกี้จะนำทางผมเอง และผมบอกคุณเป็นรอบที่ล้านแล้ว ว่าเส้นทางนี้ผมเดินเองได้ ผมคุ้นชิน ผมเกิดและโตที่นี่ คุณเข้าใจไหม!?”

“คุณก็เวอร์ไป รอบที่ล้านอะไรกัน ผมเพิ่งจะเดินตามคุณมาอาทิตย์นิดๆ เองนะครับ ถ้าคุณพูดเป็นล้าน ผมว่าสงสัยคุณคงมีปัญหาเรื่อง...”

“คุณชเยศ!!”

มนัสขึ้นเสียง แม้ชเยศจะไม่ได้ยินแต่ก็รู้ได้ด้วยสีหน้าปั้นปึ่งที่ขึ้นสี เลือดแดงซับเจือจางให้ใบหน้าเรียวมนไม่ขาวจัดจนเกินไป หากก็ไม่ได้ดูน่ากลัวว่าจะเป็นลมเพราะโกรธจัด ชเยศยังคงยกยิ้มเฉกเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยน เอียงศีรษะไปมาก่อนจะหลุบตามองเจ้าลัคกี้ที่ยืนขวางกั้นระหว่างคนทั้งสอง แม้มันจะไม่ได้แยกเขี้ยวใส่เขา แต่หูที่ตั้งขึ้นกับหน้ายาวๆ ที่เชิดมองนั่นก็คล้ายจะเตรียมพร้อมหากมนัสสั่งการ

นั่นทำให้ชเยศยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างยอมแพ้

“ขอโทษครับ ผมกวนคุณเกินไป”

“ไม่เกินไปหรอกครับ แต่มาก มากถึงมากที่สุด” มนัสตอบกลับในทันทีโดยไม่ต้องคิด “กลับไปหาฟ้าได้แล้ว หรือจะไปทำงานทำอะไรของคุณก็เชิญ ผมจะกลับบ้าน”

พูดช้าๆ หน่อยได้รึเปล่านะ? ชเยศอยากจะพูดคำนี้ออกไป หากแต่ยังสะกดใจตัวเองได้ เพราะรู้ดีว่าถ้าพูดออกไปจริงคงไม่ใช่ประโยคขอร้อง แต่มันจะเป็นประโยคที่ค่อนข้างกวนอารมณ์ของมนัสอย่างแน่นอน

เพราะอย่างนั้นแล้วชายหนุ่มจึงพยายามทำใจให้เย็น คิดหาถ้อยคำประนีประนอมแล้วเอ่ยขึ้นในที่สุด“เอาอย่างนี้นะครับ อีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านคุณแล้ว ขอผมไปส่งคุณให้ถึงหน้าบ้านก่อน แล้วผมก็จะกลับบ้านผมเหมือนกัน”

มนัสเผยอกลีบปากหมายตอบโต้ หากสุดท้ายก็เพียงแค่ทิ้งลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วหันตัวออกเดินอีกหน ชายหนุ่มแสร้งทำเหมือนไม่รับรู้ว่ามีอีกคนเดินตามเยื้องกันจากด้านหลัง ทุกก้าวเดินของเขาแทบจะกลายเป็นจังหวะของการระบายลมหายใจเข้าออก จนเมื่อลัคกี้พาตัวเลี้ยวนั่นแหละ ที่ทำให้มนัสรั้งกายเอาไว้แล้วยื่นมือแตะลงที่รั้วบ้าน ให้แน่ใจว่านี่คือบ้านของเขาเป็นแน่แท้ แล้วจึงพาตัวเข้าไปโดยไม่เอ่ยลาอีกคนสักคำเดียว

เช่นเดียวกับชเยศที่ไม่ได้เอ่ยอะไร เขาเพียงแค่รอให้อีกฝ่ายเข้าไปในตัวบ้านแล้วนั่นแหละจึงค่อยเดินกลับไปตามเส้นทางเดิมบ้าง กระทั่งเปิดรั้วแล้วเข้ามาภายในบ้านที่ให้บรรยากาศไม่ต่างอะไรจากบ้านของเขา ก็คล้ายสายตาจะเห็นเงาของใครสักคนวับไปแวบมาไม่ไกลนัก

“กลับมาแล้ว”

ชเยศส่งเสียงพลางถอดรองเท้า อ้าปากหาวหวอดใหญ่เมื่อความง่วงที่คิดว่าหายไปแล้วตั้งแต่ออกนอกบ้านกลับเข้ามาอีกครั้ง ชายหนุ่มมักจะรู้สึกง่วงทุกครั้งเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจประจำเช้าแล้วถึงบ้าน กลิ่นความอบอุ่นชโลมเลี้ยงหัวใจให้ผ่อนคลายจนอยากจะหลับอีกสักรอบ

แต่เขาก็รู้ว่าคงหลับไม่ได้แล้ว

“กลับมาแล้วก็กินข้าว กินเสร็จแล้วก็กวาดถูบ้านให้ฉันด้วย”

ยัยฟ้าตัวแสบ...

ชญาภาแม้จะเป็นหญิงสาวที่หน้าตาสะสวย หากนิสัยใจคอกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง แม้ภายนอกจะดูเป็นผู้หญิงอ่อนหวานรักสวยรักงาม แต่ใครจะรู้เล่าว่าเธอกลับโยนงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ให้ลูกพี่ลูกน้องของเธอได้ทำแทน แล้วผู้ชายอย่างชเยศที่วันๆ เอาแต่ทำงานนั่งหน้าคอมน่ะหรือจะเต็มใจทำ จำได้ว่าวันแรกๆ ที่ต้องทำให้น่ะโดนบ่นชนิดที่หากได้ยินเสียงก็คงหูชาไปแล้วกระมัง

แต่เพราะชเยศก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่มาขออยู่อาศัย การช่วยงานบ้านอย่างนี้ถือเป็นการแบ่งเบาภาระส่วนหนึ่งของชญาภาได้เช่นเดียวกัน

“เชน พี่ถามอะไรหน่อยสิ” ชญาภาที่หย่อนกายลงนั่งเคาะนิ้วลงบนโต๊ะใกล้จานอาหารของน้องชายแล้วเอ่ยขึ้น ให้เรียวคิ้วเข้มที่ตกนิดๆ เลิกขึ้นสูงพลางส่งไส้กรอกทอดเข้าปากตัวเองหนึ่งคำ พยักหน้าเชิงอนุญาตให้พี่สาวถามในสิ่งที่ต้องการได้ เขารออ่านปากอยู่ “รู้รึยัง...ว่าทำไมนัทถึงตาบอด”

หากคำถามนั้นกลับทำให้คนที่อ่านปากออกชัดเจนทุกประโยคพ่นลมหายใจ ชายหนุ่มแค่นยิ้มราวกับได้รับคำถามแปลกประหลาด ก่อนจะก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ ที่ชญาภาทำไว้ให้ราวกับไม่เคยได้รับคำถามนั้น

ทว่าในตอนที่เงยหน้าขึ้นดื่มนมเย็นๆ นั่น ก็ให้ได้เห็นว่าใบหน้าของพี่สาวค่อนไปทางจริงจังเสียหลายส่วน ดังนั้นแล้วชเยศจึงเร่งดื่มนมให้หมดแก้วแล้วค่อยตอบราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใด

“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับพี่ฟ้า”

“ไปเดินตามเขาเป็นอาทิตย์ ไม่เคยถามเลยหรือ?”

“ประโยคแรกคืออะไรนะ?”

“ไป เดิน ตาม เขา เป็น อา ทิตย์”

“อ้อ...” ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคอ ติดจะเหนื่อยหน่ายเล็กน้อยที่ชญาภาเล่นทวนประโยคพยางค์ต่อพยางค์ราวกับกำลังประชดประชัน “ไม่ถามหรอกครับ แค่เดินตามก็โดนบ่นจะแย่แล้ว อีกอย่าง ผมไม่คิดถามคำถามไร้สาระอย่างนั้นหรอกน่า”

อีกครั้งที่ชเยศแค่นยิ้ม หากมันกลับยิ่งทำให้ใบหน้าคมคายดูกวนประสาทไม่น้อยสำหรับชญาภา เช่นนั้นแล้วหญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปตบศีรษะน้องชายแรงๆ เสียหนึ่งครั้ง บ่นอุบอิบให้ชเยศอ่านริมฝีปากที่ขยับนั้นไม่ได้อยู่นานสองนาน ก่อนจะทิ้งท้ายไว้ที่ประโยคยาวๆ ให้ชเยศได้นิ่งคิดก่อนลุกเดินหนีไป

“บางทีถ้าได้รู้อะไรเกี่ยวกับนัทบ้าง อาจจะทำให้นายคิดอะไรได้มากขึ้นนะ”

อะไร? เกี่ยวกับอะไรกัน?

ชายหนุ่มยังคงนั่งอยู่ที่เดิม จับจ้องจานกระเบื้องเคลือบที่อยู่ตรงหน้านิ่งนานก่อนระบายลมหายใจ ยกมือขึ้นยีผมตัวเองก่อนจะหยัดกายขึ้นยืนแล้วเก็บจานไปล้าง เพื่อหลังจากนั้นจะได้เริ่มต้นทำงานบ้านที่ถูกชญาภาใช้ทุกวัน