บทที่ 12

‘ชเยศยังไม่กลับบ้านตั้งแต่เมื่อวันก่อน’

‘พยายามติดต่อไปแล้วแต่หมอนั่นดูจะไม่ใส่ใจติดต่อกลับเลย ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน’

คำพูดของชญาภาที่เอ่ยบอกเขาในเช้าวันนี้ยังคงวนเวียนและทำให้สมาธิในการทำงานไม่เต็มร้อย มนัสถอนหายใจ ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากขอเวลาพักกับมุ่น หย่อนกายลงที่ม้านั่งซึ่งอยู่ข้างร้าน ปล่อยให้ลมเอื่อยกับเสียงรถราที่แล่นผ่านโอบล้อมความคิดของเขาไว้เท่านั้น

มนัสรู้ตัวเองดีว่าเขาเอ่ยวาจาที่ทำร้ายความรู้สึกของชเยศมากขนาดไหน แต่คนอย่างชเยศคงไม่สามารถใช้ไม้อ่อนเข้าดัดได้ เขานึกอยากรู้ว่าเพราะความขี้ขลาดนั้นจริงๆ หรือที่ทำให้คนๆ หนึ่งปัดความสมบูรณ์พร้อมทางโสตประสาทด้านหนึ่งไป เพราะความขี้ขลาดนั้นน่ะหรือที่ทำให้ชเยศต้องทนทุกข์ใจอย่างนี้มาหลายปี

ชายหนุ่มเอนกายพิงพนักม้านั่ง ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับความมืดมิดที่ติดตัวเขาเช่นนี้ สิ่งที่กวนใจเขามากที่สุดก็คงจะเป็นระยะเวลาที่ชเยศออกจากบ้านไปกระมัง ครั้งสุดท้ายที่มนัสได้ยินเสียงแปลกแปล่งฉุนเฉียวนั่นคือเมื่อสี่วันที่แล้ว จากนั้นชเยศไม่เคยมาหาเขาอีก ไม่เคยมาให้ความช่วยเหลือหรือกวนใจอะไร การทำงานของมนัสในแต่ละวันดำเนินไปโดยไร้เงาของชเยศ บางทีมันอาจจะกลับไปเป็นอย่างเดิม อย่างที่เขามีแค่ลัคกี้ช่วยนำทางในการก้าวเดิน

แต่ทำไมล่ะ ทำไมมนัสถึงรู้สึกว่างเปล่าอย่างนี้

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ชเยศหนีไป ไม่ใช่เพราะเขาหรอกหรือ?

“ถอนหายใจหลายรอบแล้วนะ คุณมนัส”

ริมฝีปากอิ่มเอิบเผยออ้าเพียงเล็กน้อย ถ้อยความนั้นเขาเคยได้ยินบ่อยครั้งในตอนที่เบื่อหน่ายกับความดื้อรั้นในการติดตามเขาของชเยศ แต่ครั้งนี้เสียงที่ได้ยินกลับไม่ใช่คนที่ทำให้เขาเคยชิน แต่กลับเป็นเสียงของมุ่นที่ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล ก่อนจะรู้สึกถึงร่างของชายหนุ่มที่หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ กัน

“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะครับ”

“เกี่ยวกับคนที่ไม่มานั่งเฝ้ารึเปล่า”

มนัสหัวเราะเบาๆ กลีบปากวาดเป็นรอยยิ้มที่มองยังไงก็ไม่มีความสุข คนอายุน้อยกว่าเงียบไปครู่หนึ่ง เช่นเดียวกับมุ่นที่เพียงแค่นั่งเฉยพลางสูบบุหรี่อย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาเรียวคมมองไปรอบบริเวณก่อนจะทอดสายตาไปยังอีกฝั่งหนึ่งของถนน แล้วจึงเหลียวสายตามองมนัสแล้วถามขึ้น

“ทะเลาะอะไรกัน...อย่างนั้นใช่ไหม?”

“ไม่หรอกครับ ไม่ได้ทะเลาะ” ชายหนุ่มส่ายหน้าเชื่องช้า บนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ “พี่มุ่นครับ รู้ใช่ไหม ว่าคุณเชนไม่ได้ยิน”

คำถามที่เกิดขึ้นทำให้มุ่นหัวเราะแล้วส่ายหน้า สายตาของเขาทอดมองไปยังฝั่งตรงข้ามกับถนนอีกครั้ง บุหรี่ในมือถูกคีบไว้กับกลีบปาก ส่งเสียงลากต่ำในลำคอครู่หนึ่งแล้วจึงสารภาพออกไป “ก็รู้ตั้งแต่วันแรกที่เจอเขาแล้วล่ะ”

“ไม่เห็นพี่บอกผม”

“เขาขอไม่ให้บอก”

“อ้อ...”

มนัสส่งเสียง ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับการรับรู้นั้น บางทีชเยศอาจจะแค่ไม่อยากให้เขาไม่สบายใจไปด้วย อาจจะแค่ไม่อยากต้องให้คนอย่างเขารับรู้ถึงจุดบกพร่องนั้น หรือบางที...ชเยศอาจจะยังไม่พร้อมที่จะต้อนรับเขาเข้าสู่ความพิการของตัวเอง

ไม่ว่าจะเพราะอะไร ชเยศก็มีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งนั้น

“ผมขอให้เขาใส่หูฟัง” ชายหนุ่มขยับกายที่พิงพนักแล้วเปลี่ยนเป็นโค้งตัวน้อยๆ ทาบแขนทั้งสองข้างกับหน้าขา ประสานมือเข้าด้วยกันพลางนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “แต่เขาโกรธผมมาก โกรธจนออกจากบ้านไป แต่ผิดที่ผมด้วยล่ะครับ ทั้งๆ ที่เขาขอให้ผมไม่พูดเรื่องนี้อีก แต่ผมก็ยังพูด”

“เรื่องแบบนี้ไม่มีใครผิดหรอก”

มุ่นเอ่ยขึ้น ไม่ใช่คำปลอบใจ แต่สถานการณ์ที่ชวนให้อึดอัดแบบนั้นมักเกิดขึ้นได้จากความไม่เข้าใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรืออาจจะเป็นเพราะเป็นห่วงมากเกินไปก็เท่านั้น เขารู้ว่ามนัสคงเป็นอย่างหลัง

“ผมพูดว่าเขาขี้ขลาด แล้วเขาก็ตอบกลับมาว่า ก็คนขี้ขลาดอย่างเขานั่นไง ที่คอยประคองผมไว้ไม่ให้ล้ม...” มือเรียวยกขึ้นลูบหน้าตัวเองก่อนจะซบหน้าลงกับทั้งสองฝ่ามือแล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น “เชนพูดถูกทุกอย่าง บางที...ผมอาจจะขี้ขลาดมากกว่าเขาซะอีก”

กระแสเสียงที่ลอดผ่านฝ่ามือนั้นทำให้เรียวตาของมุ่นหรี่ลงเล็กน้อย สายตายังคงทอดมองไปยังเบื้องหน้าโดยไม่เอ่ยอะไร ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจดังขึ้นอีกครั้งจากคนข้างกาย นั่นเองที่ทำให้เขาละสายตาจากฝั่งตรงข้ามของถนน เอื้อมมือวางลงบนกลุ่มผมเส้นดำสนิทแล้วยีเบาๆ ไม่ใช่เพราะปลอบประโลม แต่เป็นการให้กำลังใจซะมากกว่า

“ทำไมถึงต้องอยากให้เขาใส่หูฟังขนาดนั้นล่ะ”

มนัสละใบหน้าจากฝ่ามือ นิ่งไปเพียงเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ “เพราะสาเหตุที่ทำให้เชนไม่ได้ยิน มาจากอุบัติเหตุรถบัสระเบิดครับ พี่มุ่น”

คราวนี้จึงเป็นมุ่นบ้างที่ทิ้งตัวพิงหลังกับพนักม้านั่ง ชายหนุ่มยกบุหรี่ขึ้นจรดปาก สูบมันเข้าไปแล้วปล่อยควันขาวออกมา สายตาของเขามองตามการลอยละล่องของมัน ความเงียบที่เข้าครอบคลุมคนทั้งสองหลังจากนั้นเป็นการยืนยันได้ดีว่าไม่สมควรที่จะมีใครต่อบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก มนัสไม่รู้ว่าตัวเองนั่งนานขนาดไหน และมุ่นเองก็ไม่ได้เอ่ยปากไล่ให้เขากลับไปทำงานเช่นเดียวกัน

คนสองคนแม้ความรู้สึกและความคิดจะแตกต่าง แต่ก็คิด...ด้วยเหตุของเรื่องเดียวกัน

นานเนิ่นกระทั่งมวนบุหรี่มอดไหม้เหลือเพียงก้นสีน้ำตาลอ่อน มุ่นจึงกดปลายบุหรี่ที่ยังมีไฟให้ดับลงที่ถังขยะใกล้ม้านั่ง ยกมือวางลงบนไหล่ลาดแล้วบีบเบาๆ

“เชื่อเถอะว่าเขาไม่ได้โกรธ แค่ต้องให้เวลา อีกเดี๋ยวก็จะดีขึ้นเอง”

มนัสยกมุมปากขึ้น เอ่ยเพียงว่าก็คงจะดีถ้าเป็นอย่างนั้น ก่อนจะได้ลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆ เดินเลียบผนังร้านเพื่อกลับเข้าไปทำงานอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงมุ่นที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นัยน์ตาของเขามองไปที่ฝั่งตรงข้ามของถนนอีกครั้ง...และเป็นครั้งแรกที่ได้สบกับดวงตาของใครบางคนที่มองตรงมา เพราะก่อนหน้านี้สายตาคู่นั้นไม่ได้สนใจจะมองเขาเลยสักนิด แต่เป็นมนัสต่างหากที่เป็นเป้าสายตาของใครคนนั้น

ชเยศ...

ชายหนุ่มผงกศีรษะเป็นการทักทายส่งมาให้มุ่นก่อนจะละสายตามองไปทางด้านหลัง มุ่นเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจอะไรนัก เขาหยัดกายขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาในร้านบ้าง

อันที่จริงมุ่นรู้มาโดยตลอดว่าชเยศไม่ได้ทิ้งบาริสต้าของร้านเขาไปไหนหรอก ชายหนุ่มจะนั่งอยู่ตรงนั้น บนขอบปูนที่สร้างเป็นกรอบกระถางต้นไม้นั่นแล้วมองเข้ามาในร้าน จากจุดที่ชเยศนั่งอยู่จะสามารถมองเห็นตำแหน่งที่บาริสต้าทำงานได้อย่างชัดเจนกว่านั่งหน้าร้านซะอีก

ชเยศจะนั่งอย่างนั้นสักพักหนึ่ง ไม่ได้สนว่าจะมีแดดแผดเผาหรือไม่ เขาก็แค่นั่งแล้วเฝ้ามองมนัสอยู่อย่างนั้น...จนกระทั่งเลิกงาน

มนัสคงไม่รู้ตัว ว่าระหว่างการเดินทางจากร้านกลับไปที่บ้าน จะมีใครบางคนเดินตามอยู่ห่างๆ อย่างเงียบเชียบ...เขาคนนั้นก็คือชเยศ

วันนี้ก็เช่นกัน...

ชายหนุ่มก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทิ้งระยะห่างระหว่างตัวเองกับคนข้างหน้าพอที่จะไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกถึง มีบ่อยครั้งที่พลั้งเผลอเกือบก้าวเดินด้วยความรวดเร็วเพื่อตรงไปช่วยเหลือ หากเขาก็ยังยั้งใจไว้เช่นนั้น ระมัดระวังมากพอที่จะไม่ใจร้อนแล้วพาตัวเสนอหน้าเข้าไปหา

ตราบใดที่เขายังหลุดจากกรอบความขี้ขลาดนั้นไม่ได้...เขาจะไม่มีวันไปอยู่ตรงหน้าอีกคนเป็นอันขาด

ชเยศหยุดก้าวเดินที่หน้าบ้านของตัวเอง ในขณะที่จับจ้องจนกระทั่งอีกคนเข้าบ้านไป ทว่าจังหวะที่เขาปิดประตูรั้วบ้านแล้วหมายจะลงล็อก มือของใครบางคนก็กระชากแขนของเขารุนแรงมากพอที่จะทำให้ขมวดคิ้ว และไม่ทันที่ชเยศจะได้หันมามองคนที่กระชากแขนได้เต็มสองตา ฝ่ามือเรียวบางก็กลับฟาดลงมาที่แก้มเขาเต็มแรง แรงพอจะรู้สึกเจ็บแสบ แรงพอจะให้เกิดอาการชาหนึบหลังจากนั้น

“ชะ-เยศ!!”

ไม่ได้ยินเสียง แต่จากกลีบปากสั่นระริกและใบหน้าที่แสดงความโกรธเกรี้ยวนั่นก็ทำให้รู้ว่าพี่สาวของเขาส่งเสียงดังแค่ไหน ผิวขาวปรากฏเป็นเส้นเลือดชัดเจน หากชายหนุ่มยังไม่ทันได้เอ่ยวาจาอะไรทั้งสิ้น ชญาภาก็ฟาดมือลงมาที่แก้มของเขาอีกหนึ่งครั้ง

“แกหายไปไหนมา!”

“เดี๋ยว...”

“ไอ้สารเลว!”

ชเยศไม่ได้คิดยกมือขึ้นปกป้องตัวเอง เขายินยอมให้พี่สาวลงแรงทั้งหมดมาที่เขา ไม่ว่าจะฝ่ามือที่ฟาดตี ไม่ว่าจะกำปั้นที่ทุบลงมา ชายหนุ่มยอมยืนเป็นเป้านิ่งให้ผู้หญิงที่แสนบอบบางทำร้ายร่างกายเช่นนั้นอยู่ซ้ำๆ ไม่ได้รู้สึกเจ็บที่ร่างกายเลยสักนิด หากกลับเป็นหัวใจ...ที่มันคล้ายจะเต้นตุบในคราวแรกที่ได้รับการฟาดลงมา และกลายเป็นบีบรัดจนเจ็บปวดไปหมด

เพราะน้ำตาของผู้หญิงที่ทำตัวแสนแกร่งตลอดชั่วชีวิตที่ชเยศลืมตาดูโลก

ถึงจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ใช่ว่าจะไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดเกิดขึ้น เขาได้รับการสอนให้รักพี่รักน้อง เช่นเดียวกับชญาภาที่มอบความรักให้เขาเสมอมา

แล้วเขาจะไม่รู้ได้ยังไง ว่าน้ำตาที่กำลังหยดไหลจากดวงตาเรียวสวยคู่นี้...เกิดขึ้นเพราะความรู้สึกใด

“พี่ฟ้า...พี่ฟ้า...”

ที่สุดแล้วชเยศจึงต้องเป็นฝ่ายพยายามหยุดชญาภาให้ได้ ชายหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะรวบข้อมือของอีกฝ่ายให้หยุดกระทำต่อเขา รวบรั้งให้ร่างผอมประเปรียวของพี่สาวเข้ามาสู่อ้อมกอด รัดแน่นเพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้จริง และพร้อมที่จะรับการทำโทษจากพี่สาวต่อจากนี้

แต่ขอเพียงแค่วินาทีนี้...ให้ได้ขอโทษผ่านการกระทำของคนเป็นน้อง

ชเยศไม่ได้ยินเสียง แน่นอนว่าเขาไม่รับรู้ถึงการสะอื้นไห้ก้องไปทั่วบริเวณ หากแรงสั่นจากเรือนกายที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็กลับทำให้รู้ดี และนั่นยิ่งทำให้ชเยศปวดลึกมากกว่าเดิม

เขาเป็นคนขี้ขลาดจริงๆ และเพราะความขี้ขลาด ถึงทำให้คนในครอบครัวเจ็บปวดแบบนี้

“ผมขอโทษ”

แรงจากกำปั้นทุบลงที่อกของเขาหนึ่งครั้ง และมันก็มากพอที่จะทำให้รู้ว่าชญาภาให้อภัยเขาหรือไม่ จริงอยู่ว่าชเยศไม่ใช่เด็กที่จะหนีออกจากบ้านแล้วไม่สามารถดูแลตัวเองได้ แต่เขารู้ดีว่าการออกจากบ้านไปสี่วันและทิ้งสถานการณ์ชวนอึดอัดและกังวลอย่างนั้นมันทำให้ทุกอย่างย่ำแย่แค่ไหน

เขาเห็นว่าชญาภาส่งข้อความมาหา เขารู้ว่าชญาภาพยายามตามหาเพื่อให้เขากลับมาพูดจากันที่บ้าน แต่ชเยศก็ยังมองข้ามและเดินไปตามเส้นทางอันเงียบสนิทของตัวเอง ทุกสิ่งก็เพียงเพื่อจะทบทวนเรื่องราวต่างๆ เท่านั้น

ทบทวนและตัดสินใจ...ว่าควรจะออกจากกรอบของความทรมานนั้นได้หรือยัง

หากแต่วันนี้ชเยศก็ยังตัดสินใจไม่ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นห่วงพี่สาวจนต้องกลับมา กลับมาให้ได้เห็นว่าพี่สาวก็ห่วงเขาไม่ต่างกัน

“ฉันจะฆ่านาย”

“เชิญพี่ฆ่าผมได้ตามสบายเลย”

ชเยศปล่อยชญาภาให้เป็นอิสระแล้ว และคำแรกที่เอ่ยออกมานั่นก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มอุ่น ยกมือขึ้นปาดหยาดน้ำที่เปรอะหน้าสวยของเธอให้จางไปบ้าง ก่อนที่หญิงสาวจะผลักเขาออกห่างแล้วหันหลังเดินเข้าบ้าน เช่นเดียวกับเขาที่เดินตามมาไม่ห่างกัน

ชายหนุ่มระบายลมหายใจเมื่อเหยียบย่างเข้ามาในสถานที่ที่คุ้นเคย ทั้งๆ ที่เขาหายไปเพียงแค่สี่วัน แต่บ้านกลับไร้ชีวิตชีวาอย่างที่รู้สึกได้ ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะเขาทั้งนั้น

“กินข้าวมารึยัง”

“อืม เรียบร้อยแล้ว”

จบบทสนทนาระหว่างพี่สาวน้องชาย ชเยศถูกไล่ให้ไปอาบน้ำแล้วขังตัวเองอยู่ในห้อง อย่าออกมาจนกว่าจะได้ข้อสรุปที่แท้จริง

นั่นไม่ใช่การบังคับของชญาภา แต่เป็นเพราะเธอก็รู้จักน้องชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องดีไม่ต่างจากพ่อแม่ของน้องชายนักหรอก เธอรู้ดีว่าการที่ชเยศหายไปหลายวันต้องไม่ได้กลับมามือเปล่า บางสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ไม่เห็นกันจะต้องมีบ้าง ไม่เต็ม ไม่ล้น แต่ก็ไม่ก้นแก้ว เพราะอย่างนั้นแล้วคำสั่งของชญาภาจึงไม่ได้ทำให้ชเยศหงุดหงิดหรืออึดอัดใจเลยสักนิด

และเพราะเป็นอย่างนั้น ชายหนุ่มจึงไม่รู้เลยว่าเขานั่งอยู่ที่หน้าลิ้นชักเล็กนานเท่าไหร่ จดจ้องหูฟังสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางการได้ยินมานานแค่ไหน มันนานพอหรือไม่...ที่จะตัดสินใจได้เสียที

ชเยศหลับตาลงแล้วนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น

‘คุณไม่อยากได้ยินหรือ...เสียงของพ่อแม่คุณ เสียงของฟ้า เสียงเพลง เสียงลัคกี้ที่ชอบครางเวลาเห็นคุณเข้าใกล้มัน หรือว่าเสียงของผม...ที่คุณคอยดูแลมาตลอด’

“ให้ตายสิ...”

เสียงของลัคกี้อย่างนั้นหรือ? ชเยศส่ายหน้าเมื่อหวนนึกถึงคำพูดของมนัสในวันนั้น หัวเราะเบาๆ แล้วเปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อจ้องมองไปยังหูฟังอีกหน อันที่จริงเขามีเหตุผลร้อยแปดประการที่จะพาตัวเองกลับไปในความสมบูรณ์พร้อม แต่มันก็มีเพียงสิ่งเดียวที่หยุดเขาไว้เช่นเดียวกัน

อดีตอย่างนั้น...ที่ส่วนหนึ่งของอดีตทำให้เขาไม่อยากได้ยิน

‘เสียงของผม...ที่คุณคอยดูแลมาตลอด’

เสียงของมนัส...อย่างนั้นหรือ

ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่ากลีบปากตัวเองแห้งผากแค่ไหน แม้แต่แลบลิ้นเลียกลีบปากตัวเองก็ยังไม่สามารถทำให้ชุ่มชื่นได้ แต่อะไรจะทำให้เขารู้สึกไปได้มากกว่ามือของตัวเองที่มันกำลังสั่นน้อยๆ ในตอนที่ยื่นไปทางหูฟังที่นอนนิ่ง หากเมื่อปลายนิ้วใกล้แตะกับมัน ชเยศกลับกำมือแน่นแล้วออกห่าง

ภาพของใครบางคนลอยเข้ามาเมื่อเขาหลับตาลงอีกครั้ง

และภาพนั้นเอง...ที่ทำให้ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้น แล้วเอื้อมมือเข้าไป แตะปลายนิ้วลงที่มัน ก่อนจะค่อยๆ กอบกำมันไว้ในที่สุด

ชเยศตัดสินใจแล้ว เขาตัดสินใจแล้วว่าจะใส่หูฟัง แต่การเริ่มต้นครั้งใหม่จะไม่ใช่ตอนนี้...ไม่ใช่

มันจะต้องเริ่มใหม่ กับคนที่ทำให้เขาหลุดไปอยู่ในโลกของตัวเอง

To be continued