เรื่อง : TheNitiMe
ภาพประกอบ : POLAR
ถ้าพูดถึงคาเฟ่สไตล์อังกฤษ คุณคิดถึงอะไร?
คุณอาจคิดถึงสวนกว้างๆ ที่มีรูปปั้นเหมือนหลุดออกมาจากสวนอีเดน คิดถึงความนั่งจิบชากรีดกรายนิ้วก้อยพร้อมเซ็ทขนม high tea หรือความเป๊ะของจานชาม เครื่องช้อนเครื่องแก้วลวดลายมาตรฐานเหมือนหลุดออกมาจากพระราชวังบักกิ้งแฮม?
คุณอาจเห็นคาเฟ่แบบนี้ได้ทั่วกรุงเทพไปหมด แต่ถ้าเราจะบอกว่าคาเฟ่สไตล์อังกฤษที่เราจะพาไปรู้จักวันนี้คือคาเฟ่สไตล์อังกฤษแบบ Homey Cozy ที่จะทำให้คุณเหมือนได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่อังกฤษด้วยตัวเองล่ะ?

พอได้มาที่นี่ก็ทำให้เราถึงกับบางอ้อ! เพราะที่ Billybillies - Cafe & Workshop Studio นี้ไม่เหมือนคาเฟ่หลายๆ แห่งที่เน้นขายสถานที่ให้คนมาถ่ายรูปสวยๆ อย่างเดียว แต่เสน่ห์ของที่นี่คือความน่ารักที่แสนเรียบง่ายที่คุณจะมาถ่ายรูปก็ได้ แถมเครื่องดื่มและขนมก็ละมุนละไมจนต้องเซอร์ไพรส์! ที่สำคัญถ้าบอกว่าที่นี่คือคาเฟ่สไตล์อังกฤษล่ะก็ ถือว่าเป็นคาเฟ่ที่คุณภาพคับแก้ว แถมคุ้มค่าราคาน่ารักมากๆ

เมลกับจ๋า พาร์ทเนอร์เจ้าของร้าน 'Billybillies' ที่เราจะชวนมาคุยในวันนี้
เมื่อไปถึงสถานีแบริ่ง เราก็ตรงดิ่งไปที่ทางออกที่ 3 แล้วเลี้ยวลงบันไดฝั่งซ้ายไปตามทาง พอถึงข้างล่างก็พบกับสวนดอกไม้เล็กๆ ที่มีเก้าอี้ไม้วางอาบแสงแดดอยู่พอดิบพอดี มองซ้ายแลขวาแล้วก็แอบจะงงๆ เพราะร้านนั้นถูกขนาบด้วยห้องแถวขายอุปกรณ์อะไหล่รถยนต์ทั้งสองฝั่ง จนอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมร้านคาเฟ่สไตล์อังกฤษที่แสนกิ๊บเก๋แบบนี้ถึงมาอยู่ตรงนี้ได้
“ ต้องขอบคุณที่บ้านเมลเพราะตึกแถวตรงนี้เป็นของที่บ้านเมล แต่ก่อนเคยเป็นร้านอื่นแต่มันถูกทิ้งร้างไว้นานแล้วโดยที่ไม่มีคนเช่า เราเลยบอกว่าโลเคชั่นมันดีมากๆ เลยนะ เดินลงบีทีเอสปุ๊บมันเจอเลย มันเริ่มจากการที่เราอยากทำ workshop & co-working space แล้วมันก็บานปลายมาเป็นคาเฟ่ค่ะ ”
จ๋า - ปณพร วุธวานิช และ เมล - เมลิษา ซิโมเนตโต คือเจ้าของร้าน Billybillies - Cafe & Workshop Studio ที่มานั่งคุยกับเราและบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ cafe & workshop studio ใหม่เอี่ยมที่เพิ่งเปิดได้ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่โปรเจ็คแรกที่จ๋าและเมลทำร่วมกัน เพราะทั้งสองคนยังทำโปรเจ็คกระเป๋า eco รักษ์โลกที่ผลิตจากกระดาษย่อยสลายได้ชื่อ Perfect Partner ด้วย
เมื่อถามถึงคาเฟ่แห่งนี้ จ๋าบอกว่าจริงๆ ความตั้งใจแรกคือต้องการทำแค่ workshop studio แต่ในความเป็นจริงคือไม่สามารถทำแค่อย่างเดียวได้ แถมสถานที่ก็ดีมากๆ สุดท้ายก็เลยกลายเป็น cafe & workshop studio เลย แถมแถวนี้ก็มีคาเฟ่สวยๆ อยู่บ้างแต่น้อย ที่สำคัญทั้งสองคนอยากให้ที่นี่เป็นคาเฟ่ Homey cozy อยากให้ลูกค้าเข้ามาแล้วรู้สึกเหมือนมากินกาแฟที่บ้าน ส่วนแต่ละอย่างที่นำมาอยู่ในร้านก็ค่อนข้าง “เป็นพิเศษ” ทั้งนั้นด้วย
บอกมาขนาดนี้เลยต้องถามต่อว่าความพิเศษที่ว่าคืออะไรกัน?
“ อย่างชาก็คือเป็นเพื่อนที่รู้จักที่เค้ามี passion ในการทำชา รู้จักเค้ามานานตั้งแต่เค้าทำหลายๆ อย่างจนเค้ามามี passion ในการทำชามากๆ เราเลยรู้สึกว่าเราอยากเอาอันนี้มาอยู่ในร้านของเรา พอคุยกับเค้า เค้าก็เบลนด์ชาสูตรพิเศษรสชาติเฉพาะของ Billybillies ให้เราเลย ซึ่งวัตถุดิบของเค้าโคตรจะคัดสรรมาอย่างดีมากๆ ”

ชาสูตรต่างๆ ของทางร้าน ก่อนจะดื่มได้ต้องรอนาฬิกาทรายหมดก่อน จะได้รสชาติและกลิ่นหอมกำลังดี
ความพิเศษที่เราสัมผัสได้อีกอย่างเลยคือการตกแต่งภายในร้านนี่เอง ถึงแม้จะดูเรียบง่าย แต่ยิ่งมองยิ่งน่ารัก ยิ่งดูยิ่งมีเสน่ห์ จนได้คำตอบว่าจริงๆ แล้วจ๋าเป็นคนที่ชอบของเก่า ชอบของวินเทจอยู่แล้ว พอได้มาทำร้านของตัวเองเลยต้องการให้บรรยากาศภายในร้านดูสบายๆ เน้นโทนสีของไม้ สีขาว สีน้ำตาล นวลๆ เพื่อให้รู้สึกสบายตา

คาเฟ่สไตล์ Homey & Cozy ที่เต็มไปด้วย Passion & Story
“ โปรเจ็คที่เราทำทั้งกระเป๋าและคาเฟ่จะเป็นแบบรักษ์โลกหมดเลย คือเป็น passion ของเรา เป็น passion ของเมลด้วย คือเราก็เป็นคนตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้มีอำนาจในการที่จะไปเปลี่ยนโลก เลยรู้สึกว่าอะไรที่เราทำได้ก็จะทำ แล้วตัวเราเองก็ชอบของเก่าอยู่แล้วด้วย เลยรู้สึกว่าเรื่องของการลดใช้พลาสติกเราก็พยายามทำอยู่ทุกวัน ส่วนเรื่อง upcycling อ่ะเมลเค้าเรียนมาด้านนี้โดยตรงแล้วเรารู้สึกว่ามันจะเป็นเทรนด์ในอนาคตแน่ๆ ”
เมลอธิบายให้เราฟังเพิ่มเติมว่าการ Upcycling นั้นต่างจาก reuse ตรงที่ reuse มันจะยังไม่ได้พังแล้วเราเอากลับมาใช้ใหม่ แต่ upcycling คือเราจะเอาของที่มันพังแล้วเสียแล้ว เอากลับมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่แล้วสร้างมูลค่าให้กับมัน
“ ร้านเราพยายามใช้เป็นของเก่า เป็นการ recycle ทั้งหมด เช่น ขวดที่เราใช้เป็นแจกันก็คือขวดโซดาที่เราใช้ในร้านนี่แหละ ถ้าเราทิ้งไปมันก็กลายเป็นขยะใช่ป่ะ แทนที่เราจะไปซื้อแจกันสวยๆ จากอีเกีย เราก็ลองเอาดอกไม้มาปักขวดโซดา เห้ย มันก็สวยดีนะ มันก็เป็นแจกันได้ ”
ส่วนความพิเศษของคาเฟ่แห่งนี้ไม่ใช่แค่ชาอย่างเดียวเท่านั้น ยิ่งฟังจ๋าเล่าเรื่องราวภายในร้านเราก็ยิ่งอิน ยิ่งฟังยิ่งชอบ ยิ่งฟังยิ่งรัก และยิ่งสัมผัสได้ถึงความตั้งใจในทุกๆ รายละเอียดของร้าน ขณะที่เรากำลังนั่งฟังและพูดคุยกับจ๋าเพลินๆ ฝั่งเมลก็เป็นคนที่เดินเอาทั้งกาแฟและขนมซึ่งเป็น signature ของร้านมาให้เราเต็มโต๊ะจนแทบอดใจไม่ไหว

Billybillies Coffee กาแฟซิกเนเจอร์ของทางร้าน เหมาะสำหรับคนที่ไม่ใช่สายกาแฟจ๋าเพราะตัวกาแฟจะผสมส้มและโซดาด้วย ลงตัวมากๆ! ส่วนหลอดก็ทำจากซังข้าวโพด ดีงามสุดๆ
“ อันนี้เป็น signature ของร้านเลย ชื่อ Billybillies coffee ส่วนหลอดก็เป็นหลอดที่ทำจากซังข้าวโพด ธรรมชาติสุดฤทธิ์ กัดไม่ได้เพราะถ้ากัดปุ๊บแตกปั๊บ ใช้ดูดอย่างเดียว เวลาดูดก็จะมีกลิ่นข้าวโพดเบาๆ ด้วย ฉะนั้นก็จะพิเศษนิดนึง”

การต้มกาแฟสุดคลาสสิกสไตล์อิตาเลี่ยนด้วย Moka Pot สายกาแฟห้ามพลาดเลยเพราะกาแฟหอมมากๆ ทานคู่ขนม Dacquoise คือฟินไปเลย
ความดีงามอีกอย่างที่เราจะข้ามไปไม่ได้เลยคือกิมมิคในเครื่องดื่มและขนมของทางร้านที่ช่างเชิญชวนให้คนเข้ามาค้นหาเหลือเกิน โดยเฉพาะ Dacquoise (30-.) ขนมโบราณของฝรั่งเศส ซึ่งหาทานยากมาก ที่นี่เค้าก็ไปหามาขายในร้านจนได้ (ผู้เขียนขอแนะนำรสกาแฟ อ ร่ อ ย ม า ก !!!!!) ด้านนอกเป็นเนื้อเมอแรงถั่ว กรอบนอกนุ่มใน ส่วนด้านในมีครีมรสกาแฟ หรือช็อกโกแลต ทานกับกาแฟที่ต้มด้วย Moka Pot (65-.) หม้อต้มโบราณสไตล์ยุโรปที่ import จากประเทศอิตาลียิ่งละมุนละไมได้อรรถรสดีเหลือเกิน
แต่ละคนที่ทำของให้เรา เค้าทำด้วย passion จริงๆ
ดังนั้นการที่เค้าทำมาเค้าก็ไม่ได้ขายให้เราแพง
เราก็ไม่ได้ขายให้ลูกค้าแพง แล้วลูกค้าก็ได้ประสบการณ์
ในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนทำ ดีที่สุดสำหรับคนกิน ::


สำหรับชื่อร้าน Billybillies นั้นก็ไม่ใช่ว่าเค้าจะหยิบอะไรมาตั้งเล่นๆ มั่วๆ นะคะ เพราะจริงๆ แล้วชื่อนี้ได้รับการอิมพอร์ทจากมหาวิทยาลัย Cambridge ประเทศอังกฤษเลยทีเดียว!
ธุรกิจคาเฟ่ ยากแต่มีความสุข สนุกแต่เต็มไปด้วยการเดินทาง

“ จริงๆ มีคนเตือนไว้นานมาแล้วว่าทำอะไรก็ได้อย่าทำร้านอาหาร ทำอะไรก็ได้อย่าทำร้านของกิน พอทำแล้วถามว่ายากมั้ยก็ยากนะ แต่มันยากแค่ช่วงแรกอ่ะ พอทุกอย่างมันลงตัวแล้ว พอมีคนที่เราไว้ใจได้ มีสินค้าที่สามารถขายได้ในตัวมันเองแล้ว มันก็เริ่มโอเค ”
:: สิ่งที่เราทำคือทุกอย่างมันมีเรื่องราวของมันหมด
ความยากหรือไม่ยากเราว่ามันขึ้นอยู่กับสไตล์คนว่า
อยากได้ออกมาแบบไหนสไตล์ไหน แต่ของเราทุกๆ อย่างที่เราเลือก
เราภูมิใจ เราเลือกเองทุกอย่าง เราเลยรู้สึกว่าใช่ มันยาก แต่มันมีความสุขนะ ::

แม้ว่าคาเฟ่แห่งนี้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ไม่ว่าเราเดินไปที่มุมไหนของร้าน ตั้งแต่ห้องน้ำไปจนถึงดอกไม้หน้าร้าน จ๋าก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของคาเฟ่แห่งนี้ให้เราฟังได้เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งลูกบิดประตูที่ส่งตรงจากประเทศอังกฤษเลยทีเดียว
“ ลูกบิดประตูก็ต้องสั่งมาจากเมืองนอกเลยเพราะไปห้างไหนก็ไม่มีถูกใจ สุดท้ายสั่งมาจากอังกฤษ ละโชคดีที่เพื่อนเมลจะกลับจากอังกฤษพอดีเลยให้เพื่อนหิ้วมาให้ ละคิดดูเราอยู่บางนาแต่ต้องขับรถไปไอคอนสยามเพื่อไปเอาลูกบิดอันเดียว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเว้ย ( คือเป็นความเรื่องมากของเราเองแหละ เมลเสริมแบบเขินๆ ) หรือการที่เราพยายามตื่นเช้าไปโรงงานญี่ปุ่นเพื่อไปเลือกจานที่ดีที่สุด ลายสวยที่สุด ไปวันเสาร์ที่เค้าเปิดคอนเทนเนอร์ใหม่ๆ เราก็ไปเลือกมา ทุกอย่างในร้านมันคือความภูมิใจสำหรับเราจริงๆ พอเรารู้สึกดีอ่ะ เราก็เชื่อว่าคนที่เข้ามาจะรู้สึกดีไปด้วย สัมผัสได้ถึง positive energy จากเราไปด้วย ”
พูดถึงจานชามช้อนส้อม เราก็อดสังเกตไม่ได้ว่าแต่ละชิ้นนั้นไม่มีลวดลายที่ซ้ำกันเลย! เรียกว่าเป็นดีเทลเล็กๆ ที่ทั้งจ๋าและเมลตั้งใจอยากให้เหมือนบ้านที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ไม่ต้องมีเซ็ตหรูๆ แค่เราชอบอะไรสวยๆ ก็ซื้อมาใช้ คุณสามารถหาได้ที่ Billybillies เช่นกัน
“ ประเทศไทยมีคาเฟ่ฝรั่งมั้ยก็มี แต่มันไม่มีแนวนี้เลยอ่ะ แนวที่แบบมากินในบ้าน คาเฟ่ที่ไทยส่วนใหญ่ก็จะสวยเป๊ะไปหมดเลย สังเกตของที่ใช้ก็จะเป็น standard คือเหมือนกันไปหมดเลย จาน แก้ว ช้อน เหมือนกันทุกอย่าง แต่ร้านเราคือช้อนไม่เหมือนกันเลยนะ จานแต่ละใบลายไม่เหมือนกัน ส่วนแก้วชากับกาน้ำชา เราก็รู้จักกับศิลปินคนหนึ่งซึ่งเราให้โจทย์เค้าไปว่า “ขอชุดน้ำชาที่จ๋าจะไม่เจอที่ไหนอีกแล้วบนโลกนี้” แล้วเค้าก็ทำออกมาให้ซึ่งเราก็ไม่เคยเห็นที่ไหนจริงๆ ”

ดีไซน์ของแก้วชาภายใต้โจทย์ "จะไม่เจอที่ไหนอีกแล้วบนโลกนี้"
“Happiness Inside”
เชื่อแล้วว่าเป็นคาเฟ่ที่อัดแน่นไปด้วย passion และความละเอียดในทุกอณูจริงๆ ใครที่ได้มีโอกาสมาเยือนที่ Billybillies แอบบอกใบ้ให้ก่อนว่าอย่าลืมมองทุกรายละเอียดของร้านให้ดีๆ เลย เพราะเค้าซ่อนความน่ารักไว้ในทุกๆ มุมร้านจริงๆ

ก่อนที่เราจะกลับ เราก็แอบถามจ๋าอีกนิดนึงว่าสุดท้ายแล้วที่นี่มันจะแตกต่างจากคาเฟ่ทั่วไปยังไงล่ะ
แต่คุณจะ ‘รู้สึก’ ได้มากกว่าแน่ๆ ค่ะ ”
+++++++++++++++++++++++++++
Billybillies - Cafe & Workshop Studio
สถานที่ : ตั้งอยู่ระหว่างซอยสุขุมวิท 105 และ 107 ฝั่งโรงเรียนนานาชาติ St.Andrew’s 107 ค่ะ ร้านจะอยู่ติดถนนสุขุมวิทฝั่งเลขคี่
เวลาทำการ :
จันทร์ - ศุกร์ เปิดตั้งแต่ 7.00 - 18.00 น.
เสาร์ เปิดตั้งแต่ 9.00 - 19.00 น.
(ติดตามข้อมูลได้ที่ Facebook: https://www.facebook.com/billybilliesworkshop/)
การเดินทาง :
โดยรถสาธารณะ :
สามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานทีแบริ่ง ออกทางออกที่ 3 แล้วลงบันไดซ้ายมือ เมื่อลงมาถึงบันได ร้านจะอยู่ตรงหน้าพอดีเลยค่ะ
Comments