เรื่อง :https://sistacafe.com/curators/4707
ภาพประกอบ :https://sistacafe.com/curators/51
ถ้าพูดถึงคาเฟ่สไตล์อังกฤษ คุณคิดถึงอะไร?
คุณอาจคิดถึงสวนกว้างๆ ที่มีรูปปั้นเหมือนหลุดออกมาจากสวนอีเดน คิดถึงความนั่งจิบชากรีดกรายนิ้วก้อยพร้อมเซ็ทขนม high tea หรือความเป๊ะของจานชาม เครื่องช้อนเครื่องแก้วลวดลายมาตรฐานเหมือนหลุดออกมาจากพระราชวังบักกิ้งแฮม?
คุณอาจเห็นคาเฟ่แบบนี้ได้ทั่วกรุงเทพไปหมด แต่ถ้าเราจะบอกว่าคาเฟ่สไตล์อังกฤษที่เราจะพาไปรู้จักวันนี้คือคาเฟ่สไตล์อังกฤษแบบ Homey Cozy ที่จะทำให้คุณเหมือนได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่อังกฤษด้วยตัวเองล่ะ?
พอได้มาที่นี่ก็ทำให้เราถึงกับบางอ้อ! เพราะที่https://www.facebook.com/billybilliesworkshop/นี้ไม่เหมือนคาเฟ่หลายๆ แห่งที่เน้นขายสถานที่ให้คนมาถ่ายรูปสวยๆ อย่างเดียว แต่เสน่ห์ของที่นี่คือความน่ารักที่แสนเรียบง่ายที่คุณจะมาถ่ายรูปก็ได้ แถมเครื่องดื่มและขนมก็ละมุนละไมจนต้องเซอร์ไพรส์! ที่สำคัญถ้าบอกว่าที่นี่คือคาเฟ่สไตล์อังกฤษล่ะก็ ถือว่าเป็นคาเฟ่ที่คุณภาพคับแก้ว แถมคุ้มค่าราคาน่ารักมากๆ
เรียกว่าhttps://www.facebook.com/billybilliesworkshop/สามารถทำให้เราหลุดออกมาจากโลกความวุ่นวายในกรุงเทพฯ ไปได้ชั่วขณะเลย งานนี้ไม่รอช้า! ขอตามไปคุยกับเจ้าของร้านกันหน่อยดีกว่า ได้ไปเยือนคาเฟ่น่ารักๆ แถมได้งานอีกต่างหาก คุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้วล่ะ!
เมื่อไปถึงสถานีแบริ่ง เราก็ตรงดิ่งไปที่ทางออกที่ 3 แล้วเลี้ยวลงบันไดฝั่งซ้ายไปตามทาง พอถึงข้างล่างก็พบกับสวนดอกไม้เล็กๆ ที่มีเก้าอี้ไม้วางอาบแสงแดดอยู่พอดิบพอดี มองซ้ายแลขวาแล้วก็แอบจะงงๆ เพราะร้านนั้นถูกขนาบด้วยห้องแถวขายอุปกรณ์อะไหล่รถยนต์ทั้งสองฝั่ง จนอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมร้านคาเฟ่สไตล์อังกฤษที่แสนกิ๊บเก๋แบบนี้ถึงมาอยู่ตรงนี้ได้
“ ต้องขอบคุณที่บ้านเมลเพราะตึกแถวตรงนี้เป็นของที่บ้านเมล แต่ก่อนเคยเป็นร้านอื่นแต่มันถูกทิ้งร้างไว้นานแล้วโดยที่ไม่มีคนเช่า เราเลยบอกว่าโลเคชั่นมันดีมากๆ เลยนะ เดินลงบีทีเอสปุ๊บมันเจอเลย มันเริ่มจากการที่เราอยากทำ workshop & co-working space แล้วมันก็บานปลายมาเป็นคาเฟ่ค่ะ ”
จ๋า - ปณพร วุธวานิช
และ
เมล - เมลิษา ซิโมเนตโต
คือเจ้าของร้าน
https://www.facebook.com/billybilliesworkshop/
ที่มานั่งคุยกับเราและบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ cafe & workshop studio ใหม่เอี่ยมที่เพิ่งเปิดได้ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่โปรเจ็คแรกที่จ๋าและเมลทำร่วมกัน เพราะทั้งสองคนยังทำโปรเจ็คกระเป๋า eco รักษ์โลกที่ผลิตจากกระดาษย่อยสลายได้ชื่อ
https://www.facebook.com/perfectpartnerbyMJ/
ด้วย
เมื่อถามถึงคาเฟ่แห่งนี้ จ๋าบอกว่าจริงๆ ความตั้งใจแรกคือต้องการทำแค่ workshop studio แต่ในความเป็นจริงคือไม่สามารถทำแค่อย่างเดียวได้ แถมสถานที่ก็ดีมากๆ สุดท้ายก็เลยกลายเป็น cafe & workshop studio เลย แถมแถวนี้ก็มีคาเฟ่สวยๆ อยู่บ้างแต่น้อย ที่สำคัญทั้งสองคนอยากให้ที่นี่เป็นคาเฟ่ Homey cozy อยากให้ลูกค้าเข้ามาแล้วรู้สึกเหมือนมากินกาแฟที่บ้าน ส่วนแต่ละอย่างที่นำมาอยู่ในร้านก็ค่อนข้าง “เป็นพิเศษ” ทั้งนั้นด้วย
บอกมาขนาดนี้เลยต้องถามต่อว่าความพิเศษที่ว่าคืออะไรกัน?
“ อย่างชาก็คือเป็นเพื่อนที่รู้จักที่เค้ามี passion ในการทำชา รู้จักเค้ามานานตั้งแต่เค้าทำหลายๆ อย่างจนเค้ามามี passion ในการทำชามากๆ เราเลยรู้สึกว่าเราอยากเอาอันนี้มาอยู่ในร้านของเรา พอคุยกับเค้า เค้าก็เบลนด์ชาสูตรพิเศษรสชาติเฉพาะของhttps://www.facebook.com/billybilliesworkshop/ให้เราเลย ซึ่งวัตถุดิบของเค้าโคตรจะคัดสรรมาอย่างดีมากๆ ”
ความพิเศษที่เราสัมผัสได้อีกอย่างเลยคือการตกแต่งภายในร้านนี่เอง ถึงแม้จะดูเรียบง่าย แต่ยิ่งมองยิ่งน่ารัก ยิ่งดูยิ่งมีเสน่ห์ จนได้คำตอบว่าจริงๆ แล้วจ๋าเป็นคนที่ชอบของเก่า ชอบของวินเทจอยู่แล้ว พอได้มาทำร้านของตัวเองเลยต้องการให้บรรยากาศภายในร้านดูสบายๆ เน้นโทนสีของไม้ สีขาว สีน้ำตาล นวลๆ เพื่อให้รู้สึกสบายตา
“ ต้องบอกก่อนว่าทุกอย่างในร้านเราทำกันเองหมดเลยนะ ไม่ได้ใช้สถาปนิกใดๆ มีแต่“สถาปนึก”คือนึกกันอยู่สองคน ส่วนเราชอบสีไม้ ชอบสีนวลๆ ให้ความรู้สึกสบายๆ จริงๆ อย่างที่นี่ของทุกอย่างในร้านจะทำขึ้นใหม่หมด เก้าอี้ทุกตัว โต๊ะทุกตัว มันไม่ได้มาจากโรงงานแบบไปซื้อมา แต่เราสั่งทำจากร้านในกรุงเทพฯ นี่แหละ อย่างโต๊ะที่เรานั่งกันอยู่มันเป็นไม้สักเก่า ช่างเค้าไปเอาไม้ที่อยู่ในเฟอร์นิเจอร์ที่พังแล้วหลายๆ ชิ้นมาต่อเป็นโต๊ะตัวใหม่ จะเห็นได้ว่าไม้มันไม่เท่ากัน มันเลยเป็นเหมือนผลงานของนักออกแบบหรือศิลปิน ”
คาเฟ่สไตล์ Homey & Cozy ที่เต็มไปด้วย Passion & Story
“ โปรเจ็คที่เราทำทั้งกระเป๋าและคาเฟ่จะเป็นแบบรักษ์โลกหมดเลย คือเป็น passion ของเรา เป็น passion ของเมลด้วย คือเราก็เป็นคนตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้มีอำนาจในการที่จะไปเปลี่ยนโลก เลยรู้สึกว่าอะไรที่เราทำได้ก็จะทำ แล้วตัวเราเองก็ชอบของเก่าอยู่แล้วด้วย เลยรู้สึกว่าเรื่องของการลดใช้พลาสติกเราก็พยายามทำอยู่ทุกวัน ส่วนเรื่อง upcycling อ่ะเมลเค้าเรียนมาด้านนี้โดยตรงแล้วเรารู้สึกว่ามันจะเป็นเทรนด์ในอนาคตแน่ๆ ”
เมลอธิบายให้เราฟังเพิ่มเติมว่าการ Upcycling นั้นต่างจาก reuse ตรงที่ reuse มันจะยังไม่ได้พังแล้วเราเอากลับมาใช้ใหม่ แต่ upcycling คือเราจะเอาของที่มันพังแล้วเสียแล้ว เอากลับมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่แล้วสร้างมูลค่าให้กับมัน
“ ร้านเราพยายามใช้เป็นของเก่า เป็นการ recycle ทั้งหมด เช่น ขวดที่เราใช้เป็นแจกันก็คือขวดโซดาที่เราใช้ในร้านนี่แหละ ถ้าเราทิ้งไปมันก็กลายเป็นขยะใช่ป่ะ แทนที่เราจะไปซื้อแจกันสวยๆ จากอีเกีย เราก็ลองเอาดอกไม้มาปักขวดโซดา เห้ย มันก็สวยดีนะ มันก็เป็นแจกันได้ ”
ส่วนความพิเศษของคาเฟ่แห่งนี้ไม่ใช่แค่ชาอย่างเดียวเท่านั้น ยิ่งฟังจ๋าเล่าเรื่องราวภายในร้านเราก็ยิ่งอิน ยิ่งฟังยิ่งชอบ ยิ่งฟังยิ่งรัก และยิ่งสัมผัสได้ถึงความตั้งใจในทุกๆ รายละเอียดของร้าน ขณะที่เรากำลังนั่งฟังและพูดคุยกับจ๋าเพลินๆ ฝั่งเมลก็เป็นคนที่เดินเอาทั้งกาแฟและขนมซึ่งเป็น signature ของร้านมาให้เราเต็มโต๊ะจนแทบอดใจไม่ไหว
“ อันนี้เป็น signature ของร้านเลย ชื่อBillybillies coffee ส่วนหลอดก็เป็นหลอดที่ทำจากซังข้าวโพด ธรรมชาติสุดฤทธิ์ กัดไม่ได้เพราะถ้ากัดปุ๊บแตกปั๊บ ใช้ดูดอย่างเดียว เวลาดูดก็จะมีกลิ่นข้าวโพดเบาๆ ด้วย ฉะนั้นก็จะพิเศษนิดนึง”
นอกจากความพิเศษของหลอดแล้ว จ๋าบอกอีกว่าตัวกาแฟของทางร้านจะเป็นกาแฟไทยทั้งหมด ไม่มีกาแฟนอกเลย
“ คือเราอยากให้รู้ว่าเมล็ดกาแฟของไทยอ่ะก็เป็นกาแฟที่ดีที่พรีเมี่ยมนะ ก็เอามาจากภาคเหนือที่เราไปเลือกกันมาเอง คือจริงๆ ตัวเราเองไม่ใช่คนชอบกินกาแฟเพราะเมื่อก่อนรู้สึกว่ากินแล้วใจเต้นเร็ว ที่ร้านก็เลยทำเมนูสำหรับคนที่ไม่ได้กินกาแฟจ๋าขนาดนั้นมาด้วย ไม่ใช่อเมริกาโน่ เอสเปรสโซ่จ๋า อย่างเมนูนี้เป็นต้นก็จะผสมส้มกับโซดา ให้การกินมันกินง่ายสำหรับคนที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อกินกาแฟซะอย่างเดียว ”
ความดีงามอีกอย่างที่เราจะข้ามไปไม่ได้เลยคือกิมมิคในเครื่องดื่มและขนมของทางร้านที่ช่างเชิญชวนให้คนเข้ามาค้นหาเหลือเกิน โดยเฉพาะ Dacquoise (30-.) ขนมโบราณของฝรั่งเศส ซึ่งหาทานยากมาก ที่นี่เค้าก็ไปหามาขายในร้านจนได้ (ผู้เขียนขอแนะนำรสกาแฟ อ ร่ อ ย ม า ก !!!!!) ด้านนอกเป็นเนื้อเมอแรงถั่ว กรอบนอกนุ่มใน ส่วนด้านในมีครีมรสกาแฟ หรือช็อกโกแลต ทานกับกาแฟที่ต้มด้วย Moka Pot (65-.) หม้อต้มโบราณสไตล์ยุโรปที่ import จากประเทศอิตาลียิ่งละมุนละไมได้อรรถรสดีเหลือเกิน
เมล : Moka Pot เป็นการทำกาแฟต้มแบบอิตาลี แบบโบราณ ดูเก๋ๆ สไตล์ยูโรเปี้ยนเลย จริงๆ คือคุณพ่อเป็นคนอิตาเลียนก็จะเห็นพ่อทำกาแฟ Moka Pot ตลอดเวลา เกิดมาก็เห็นแต่ Moka Pot คือไม่รู้จักเครื่อง espresso เลย จนกระทั่งจะจบมหาลัยอยู่แล้วเพิ่งมารู้ว่าบ้านอื่นเค้าไม่ใช่ Moka Pot กัน
จ๋า : ใช่ เมลเลยแบบ ถึงจะไม่เข้ากับร้านยังไงก็จะเอามาอยู่ในร้านให้ได้ เราก็โอเคก็ได้ ตัวเครื่องที่ใช้ในร้านก็คือเป็นออริจินอลจากอิตาลีจริงๆ คือยี่ห้อ Bialetti เป็นยี่ห้อดังของที่นู่นเลย คนที่เชี่ยวชาญด้านการต้มกาแฟหลายคนก็บอกว่าถ้าไม่ได้ใช้ Bialetti กาแฟก็ไม่อร่อย ก็เลยต้องลองดูว่าจริงรึเปล่า (หัวเราะ) คนกินกาแฟจริงๆ เท่านั้นถึงจะรู้ว่าใช้หม้อต้มจีนกับหม้อต้ม Bialetti มันไม่เหมือนกัน ก็เลยโอเค เพิ่มมูลค่าได้อีก
:: จริงๆ ของในร้านเราไม่ได้ขายแพงเพราะอย่างที่บอกว่าแต่ละคนที่ทำของให้เรา เค้าทำด้วย passion จริงๆดังนั้นการที่เค้าทำมาเค้าก็ไม่ได้ขายให้เราแพงเราก็ไม่ได้ขายให้ลูกค้าแพงแล้วลูกค้าก็ได้ประสบการณ์ในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนทำ ดีที่สุดสำหรับคนกิน ::
สำหรับชื่อร้านhttps://www.facebook.com/billybilliesworkshop/นั้นก็ไม่ใช่ว่าเค้าจะหยิบอะไรมาตั้งเล่นๆ มั่วๆ นะคะ เพราะจริงๆ แล้วชื่อนี้ได้รับการอิมพอร์ทจากมหาวิทยาลัย Cambridge ประเทศอังกฤษเลยทีเดียว!
“ ชื่อร้านก็มีที่มาเหมือนกัน คือเมลเค้าเรียนจบจากมหาวิทยาลัย Cambridge ละในมหาลัยมันจะมี house เหมือนของ Harry Potter อ่ะ ในแคมบริดจ์มันก็จะแบ่งเป็น college แบบ college trinity, college นู่นนี่ ส่วนเมลก็ได้ไปอยู่ college ที่ชื่อว่า Fitzwilliam ซึ่งเค้ามีชื่อเล่นว่า Billy (จริงๆ สัญลักษณ์ประจำบ้านเป็นแพะชื่อว่า Billy เค้าเลยเรียกเป็นชื่อเล่นไปด้วยเลย - เมลเสริม) ส่วนเราชอบ Billie Holiday ก็เลยกลายเป็นhttps://www.facebook.com/billybilliesworkshop/”
เชื่อแล้วว่าถ้ามาเยือนคาเฟ่ร้านนี้ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่รู้จักจ๋ากับเมลเป็นการส่วนตัว แต่ถ้าได้มาใช้เวลาที่นี่แล้วล่ะก็คุณจะได้ทำความรู้จักทั้งสองคนได้อย่างใกล้ชิดสุดๆ เลยล่ะ
ธุรกิจคาเฟ่ ยากแต่มีความสุข สนุกแต่เต็มไปด้วยการเดินทาง
“ จริงๆ มีคนเตือนไว้นานมาแล้วว่าทำอะไรก็ได้อย่าทำร้านอาหาร ทำอะไรก็ได้อย่าทำร้านของกิน พอทำแล้วถามว่ายากมั้ยก็ยากนะ แต่มันยากแค่ช่วงแรกอ่ะ พอทุกอย่างมันลงตัวแล้ว พอมีคนที่เราไว้ใจได้ มีสินค้าที่สามารถขายได้ในตัวมันเองแล้ว มันก็เริ่มโอเค ”
ทุกวันนี้ไม่ว่าใครก็อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองทั้งนั้นล่ะ และหนึ่งในธุรกิจกิ๊บเก๋ยอดฮิตนั่นก็คือการมีคาเฟ่เล็กๆ น่ารักๆ เป็นของตัวเองนั่นเอง แต่ในความเป็นจริงนั้นการทำธุรกิจคาเฟ่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อเราต้องการที่จะลงมือลงแรงในทุกรายละเอียดของร้านเหมือนhttps://www.facebook.com/billybilliesworkshop/จ๋าเล่าว่าสำหรับที่นี่ต้องลุยกันเองทุกส่วนตั้งแต่ไม้ทำโต๊ะไปกระทั่งป้ายหน้าร้าน แต่ที่ท้าทายที่สุดก็คือเรื่องของการปรับพื้นที่และระบบไฟที่หาข้อมูลทำเองไม่ได้ แต่ได้เพื่อนที่ไม่ได้คุยกันนานแล้วมาช่วยด้วยพลังของโซเชียลมีเดีย
“ สำหรับเรื่องไฟ นี่คือสิ่งที่ไปต่อไม่เป็นที่สุด คือหาข้อมูลเองไม่ได้แล้วมันต้องใช้เทคนิคอ่ะ คือไปต่อไม่เป็นถึงขั้นที่ปวดหัวเป็น 2 อาทิตย์แล้วมันไปไม่ถึงไหนเลย ก็ตั้งสเตตัสในเฟซบุ๊กว่า “มีใครเป็น interior design เรื่องไฟมั้ย” แล้วก็มีเพื่อนที่รู้จักกันเมื่อนานมากกกกตั้งแต่สมัยมัธยมทักมาบอกว่า " มึง กุเป็น lighting designer " ละมันอยู่นิวยอร์ก เนี่ย ก็เลยเป็นเพื่อนทำให้หมดเลย บอกหมดเลยว่าต้องใช้สเปกไฟแบบไหน ต้องไปซื้อที่ไหน ก็เลยได้ความรู้หมดเลย จริงๆ ทุกอย่างที่เราทำในร้านเราได้ความรู้ใหม่หมดเลยนะ เรื่องไม้ เรื่องไฟ เรื่องต้นไม้ เรื่องต้นไม้คือจริงๆ เราเป็นคนปลูกอะไรก็ตายอ่ะ เลยต้องไปศึกษาใหม่ว่าต้นอะไรอยู่ทน อยู่ในแดดแบบไหน รดน้ำยังไง เลยรู้สึกว่าทุกอย่างที่ทำมันมีคุณค่าให้เราได้เรียนรู้หมดเลย ”
:: สิ่งที่เราทำคือทุกอย่างมันมีเรื่องราวของมันหมดความยากหรือไม่ยากเราว่ามันขึ้นอยู่กับสไตล์คนว่าอยากได้ออกมาแบบไหนสไตล์ไหน แต่ของเราทุกๆ อย่างที่เราเลือกเราภูมิใจ เราเลือกเองทุกอย่าง เราเลยรู้สึกว่าใช่ มันยาก แต่มันมีความสุขนะ ::
แม้ว่าคาเฟ่แห่งนี้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ไม่ว่าเราเดินไปที่มุมไหนของร้าน ตั้งแต่ห้องน้ำไปจนถึงดอกไม้หน้าร้าน จ๋าก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของคาเฟ่แห่งนี้ให้เราฟังได้เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งลูกบิดประตูที่ส่งตรงจากประเทศอังกฤษเลยทีเดียว“ ลูกบิดประตูก็ต้องสั่งมาจากเมืองนอกเลยเพราะไปห้างไหนก็ไม่มีถูกใจ สุดท้ายสั่งมาจากอังกฤษ ละโชคดีที่เพื่อนเมลจะกลับจากอังกฤษพอดีเลยให้เพื่อนหิ้วมาให้ ละคิดดูเราอยู่บางนาแต่ต้องขับรถไปไอคอนสยามเพื่อไปเอาลูกบิดอันเดียว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเว้ย( คือเป็นความเรื่องมากของเราเองแหละ เมลเสริมแบบเขินๆ )หรือการที่เราพยายามตื่นเช้าไปโรงงานญี่ปุ่นเพื่อไปเลือกจานที่ดีที่สุด ลายสวยที่สุด ไปวันเสาร์ที่เค้าเปิดคอนเทนเนอร์ใหม่ๆ เราก็ไปเลือกมา ทุกอย่างในร้านมันคือความภูมิใจสำหรับเราจริงๆ พอเรารู้สึกดีอ่ะ เราก็เชื่อว่าคนที่เข้ามาจะรู้สึกดีไปด้วย สัมผัสได้ถึง positive energy จากเราไปด้วย ”
พูดถึงจานชามช้อนส้อม เราก็อดสังเกตไม่ได้ว่าแต่ละชิ้นนั้นไม่มีลวดลายที่ซ้ำกันเลย! เรียกว่าเป็นดีเทลเล็กๆ ที่ทั้งจ๋าและเมลตั้งใจอยากให้เหมือนบ้านที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ไม่ต้องมีเซ็ตหรูๆ แค่เราชอบอะไรสวยๆ ก็ซื้อมาใช้ คุณสามารถหาได้ที่https://www.facebook.com/billybilliesworkshop/เช่นกัน“ ประเทศไทยมีคาเฟ่ฝรั่งมั้ยก็มี แต่มันไม่มีแนวนี้เลยอ่ะ แนวที่แบบมากินในบ้าน คาเฟ่ที่ไทยส่วนใหญ่ก็จะสวยเป๊ะไปหมดเลย สังเกตของที่ใช้ก็จะเป็น standard คือเหมือนกันไปหมดเลย จาน แก้ว ช้อน เหมือนกันทุกอย่าง แต่ร้านเราคือช้อนไม่เหมือนกันเลยนะ จานแต่ละใบลายไม่เหมือนกัน ส่วนแก้วชากับกาน้ำชา เราก็รู้จักกับศิลปินคนหนึ่งซึ่งเราให้โจทย์เค้าไปว่า “ขอชุดน้ำชาที่จ๋าจะไม่เจอที่ไหนอีกแล้วบนโลกนี้” แล้วเค้าก็ทำออกมาให้ซึ่งเราก็ไม่เคยเห็นที่ไหนจริงๆ ”
“Happiness Inside”
เชื่อแล้วว่าเป็นคาเฟ่ที่อัดแน่นไปด้วย passion และความละเอียดในทุกอณูจริงๆ ใครที่ได้มีโอกาสมาเยือนที่https://www.facebook.com/billybilliesworkshop/แอบบอกใบ้ให้ก่อนว่าอย่าลืมมองทุกรายละเอียดของร้านให้ดีๆ เลย เพราะเค้าซ่อนความน่ารักไว้ในทุกๆ มุมร้านจริงๆ
“ จริงๆ เรา warning ไว้ตั้งแต่ก่อนเข้ามาแล้วนะ คำว่า “Happiness Inside” เราเลือกน้องที่ทำงานกับเราที่เป็นคนทำงานศิลปะอยู่แล้วให้เค้ามาเพ้นท์ให้ คือเราไม่เลือกที่จะเพ้นท์เองเพราะเรารู้สึกว่า put the right person to the right job มันคือสิ่งที่ดีที่สุด คือถ้าเราจะประหยัดงบเราเพ้นท์เองก็ได้ แต่เค้ามีความสุขในการทำงานศิลปะของเค้า เค้าก็ต้องมีความสุขในการทำสิ่งนี้อ่ะ คนเดินเข้ามาก็มีความสุขไปด้วย ทุกอย่างคือมีดีเทลเต็มไปหมดจริงๆ ”
ก่อนที่เราจะกลับ เราก็แอบถามจ๋าอีกนิดนึงว่าสุดท้ายแล้วที่นี่มันจะแตกต่างจากคาเฟ่ทั่วไปยังไงล่ะ“ ถ้าถามว่าต่างยังไงเราคิดว่าถ้าคุณเข้ามาคุณจะรู้สึกเองว่ามันแตกต่าง คือเวลาที่เป็น cafehopper แล้วไปร้านต่างๆ เราก็รู้สึกว่าแต่ละร้านไม่เหมือนกัน พอเข้ามาร้านเรากิมมิคมันเยอะไปหมด เรื่องราวมันเยอะไปหมด มันเหมือนเค้าได้เข้ามาเรียนรู้เรา มาเรียนรู้ความสุขของเรา ส่วนเค้าก็เลือกไปได้เลยว่าอยากเอาความสุขแบบไหนกลับไป นี่คือความต่างที่เราต่างจากที่อื่น คือคุณไม่ได้เข้ามาถ่ายรูปอย่างเดียวแต่คุณจะ ‘รู้สึก’ ได้มากกว่าแน่ๆ ค่ะ ”+++++++++++++++++++++++++++คำตอบของจ๋าไม่ใช่คำตอบที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่ก็สามารถทำให้เรายิ้มมุมปากด้วยความสุขได้ :) ใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวสถานีแบริ่งก็ลองแวะไปนั่งจิบกาแฟชิมขนมอร่อยๆ ได้เลยแล้วถ้าไปกระซิบบอกที่ร้านว่าตามมาจาก SistaCafe ล่ะก็ เจ้าของร้านเค้าใจดีลดให้ 5% ทุกรายการจนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2563 ด้วยน้าไปแล้วอย่าลืมมาแชร์กันนะ ว่าคุณหยิบความสุขแบบไหนจากhttps://www.facebook.com/billybilliesworkshop/บ้าง
Billybillies - Cafe & Workshop Studio
สถานที่ :
ตั้งอยู่ระหว่างซอยสุขุมวิท 105 และ 107 ฝั่งโรงเรียนนานาชาติ St.Andrew’s 107 ค่ะ ร้านจะอยู่ติดถนนสุขุมวิทฝั่งเลขคี่
เวลาทำการ :
จันทร์ - ศุกร์ เปิดตั้งแต่ 7.00 - 18.00 น.
เสาร์ เปิดตั้งแต่ 9.00 - 19.00 น.
(ติดตามข้อมูลได้ที่ Facebook:
https://www.facebook.com/billybilliesworkshop/
)
การเดินทาง :
โดยรถสาธารณะ :
สามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานทีแบริ่ง ออกทางออกที่ 3 แล้วลงบันไดซ้ายมือ เมื่อลงมาถึงบันได ร้านจะอยู่ตรงหน้าพอดีเลยค่ะ
โดยรถยนต์ส่วนตัว :
1. สามารถจอดรถได้ที่ซอยสุขุมวิท 70/5 เป็นลานจอดรถมีหลังคาโดยมีค่าที่จอดรถ 25 บาทต่อชั่วโมง หรือเหมา 80 บาทต่อวันค่ะ
2.ถ้าหากในปั๊มเอสโซ่ก่อนถึงซอยสุขุมวิท 70/5 หากมีที่จอดว่างสามารถหาที่จอดรถได้ฟรีนะคะ
หลังจากนั้นสามารถเดินข้ามสะพานลอยตรงหน้าปั๊มและข้ามมาอีกฝั่งหนึ่งโดยเลือกลงบันไดซ้ายของทางออกที่ 3 ค่ะ
3. ลานจอดรถ centre point playground วันละ 60 บาท เป็นลานจอดกลางเเจ้งค่ะ จากนั้นเดินออกมาทางปากซอย สุขุมวิท 105 เเล้วเลี้ยวซ้าย เดินตรงมาเรื่อยๆ ผ่านป้ายรถเมล์ เเล้วเดินมาอีก 50เมตรก็จะถึงร้านเเล้วค่า
โทรสอบถามเส้นทาง 062-1495462