今日は คอนนิจิวะ เป็นยังไงกันบ้างคะกับ EP.1 ที่ทางเราได้รีวิวไป
บอกเลยว่าแค่ 2 วันแรกก็ตะลุยกันอย่างหนักหน่วง วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปตะลุยกันต่ออีก 4 วันที่เหลือ แอบกระซิบก่อนเลยว่ารอบนี้ไม่ได้เที่ยวแค่ในเมือง เราจะพาเพื่อนๆ ไปเมืองเก่าแก่อย่างเกียวโต เรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่งมรดกโลก พาไปเสพบรรยากาศที่นู่น และพกกล้องฟิล์มไปถ่ายด้วย บรรยากาศเก่าๆ กับกล้องฟิล์มเค้าเป็นของคู่กันอยู่แล้วอะเนอะ เอาเป็นว่าเราไปดูกันเลยดีกว่าว่าแพลนวันต่อไปจะเป็นยังไงบ้าง
Day 3 ( Gyukatsu Motomura ร้านเนื้อชุบแป้งทอด >> Tempozan Giant Ferris Wheel )
ชุดที่เรากินเป็นแบบขนาดเล็ก ราคาอยู่ที่ 1400 Yen
ออกจากโรงแรมปุ๊ปหิวปั๊ป ทางเราก็มุ่งหน้าไปยังร้าน Gyukatsu Motomura เป็นร้านเนื้อชุบแป้งทอด ใครสายเนื้อห้ามพลาด ร้านนี้เป็นร้านดังที่ควรลงลิสไปกิน ปัจจุบันเค้ามีสาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น แต่วันนี้ทางเราจะพาเพื่อนๆ มากินสาขา Numba ซึ่งห่างจากโรงแรมเราแค่ 1 สถานีเท่านั้น
โดยเนื้อที่ทางร้านนำเสิร์ฟจะอยู่ในระดับแรร์ที่นำมาชุบเกล็ดขนมปังทอด เสิร์ฟพร้อมเตาร้อนๆ ให้เรานำไปปิ้งที่เตาอีกที โดยทริคที่จะทำให้อร่อย ก็คือแช่เนื้อค้างไว้ที่เตาร้อนๆ ข้างละ 1 นาที แล้วกินคู่กับข้าวสวย บอกเลยว่าอร่อยแบบละมุนลิ้นมาก~
เวลาเปิด – ปิด : 11.00 – 23.00 น.
การเดินทาง : สถานี Numba ( Exit 19 )
มองจากด้านล่างก็รู้แล้วว่าสูงมาก~ ใช้เวลาหมุนต่อรอบประมาณ 15 นาที
ใครอยากได้มุมนี้ต้องรอไฟแดงก่อนนะคะ พอรถหยุดก็เดินไปถ่ายกลางถนน จะได้มุมที่เห็นชิงช้าสวรรค์พอดี~
กินอิ่มแล้วเรามาต่อกันที่ “Tempozan Giant Ferris Wheel” นั่งชิงช้าสวรรค์เท็มโปซานชมวิวกันสักหน่อย เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากมักจะปักหมุดไปที่นี่กัน เพราะเป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโอซาก้า มีความสูงถึง 112.5 เมตร และสามารถดูวิวรอบๆ ได้แบบ 360 องศา ค่าเข้าชม 800 Yen เท่านั้น
ซึ่งชิงช้าสวรรค์มีให้เลือก 2 กระเช้าให้เลือก คือแบบพื้นใสที่สามารถมองเห็นวิวข้างล่างได้ แต่ก็จะเสียวๆ หน่อย กับพื้นธรรมดา ซึ่งทางเราเลือกนั่งกระเช้าแบบพื้นธรรมดา เนื่องจากพื้นใสต้องรอคิวประมาณ 30 นาที แต่จะบอกว่าวันที่เราไปลมค่อนข้างแรงเลยทีเดียว ทำให้พอกระเช้าลอยขึ้นสูง แล้วมันโยกเยก ตอนนั้นกลัวมาก คงไม่ขึ้นไปอีก ขึ้นไปงอแงมากเวอร์ ฮือ~
เวลาเปิด – ปิด : 11.00 – 22.00 น.
การเดินทาง : จากสถานีรถไฟ Asakako Station ( Exit 1 ) เดินประมาณ 15 นาที
ฤดูใบไม้ร่วงก็สวยไปอีกแบบ บริเวณนั้นมีต้นนี้ต้นเดียวที่ยังหลงเหลือใบไม้อยู่ เลยแวะถ่ายสักหน่อย
เดินต่ออีกหน่อย ก็เจอมุมนี้เลยหยิบกล้องฟิล์มขึ้นมาถ่ายสักหน่อย
ระหว่างทางที่เดินกลับสถานีรถไฟฟ้า ก็ขอแวะถ่ายภาพมุมนี้สักหน่อย ช่วงที่เราไปเป็นฤดูใบไม้ร่วง เลยได้หลายมุมไว้ลงไอจีเลยแหละ
ลืมบอกไปเลย ว่าแถวนั้นเป็นแถวริมอ่าวโอซาก้า ลมค่อนข้างแรงให้ใส่เสื้อผ้าหนาๆ หน่อยน้า อากาศตอนที่เราไปประมาณ 8-9 องศา แต่ถ้ามีลมก็จะหนาวกว่านั้นคูณสองเลย~
Day 4 ( Fushimi Inari Shrine วัดเสาแดง >> ย่าน Higashiyama )
เสาโทริอิสีแดงส้ม เป็นหมื่นต้นเรียงกันเป็นอุโมงค์ทางเดินขึ้นไปยังภูเขาอินาริ
ไม่ว่าจะมุมไหนก็สวยทุกมุมเลย ส่วนมุมนี้เป็นมุมก่อนทางเข้าอุโมงค์เสาโทริอินั่นเองค่า
ออกเดินทางในวันที่ 4 วันนี้เป็นวันที่เราจะอยู่เกียวโต เป็นการเดินทางข้ามเมือง จากโอซาก้า ไป เกียวโต ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเผื่อเวลาในการเดินทาง ซึ่งทางเราเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชม. มุ่งหน้าไปยัง Fushimi Inari Taisha หรือที่รู้จักกันในนาม " วัดเสาแดง " ไฮไลต์ของที่นี่ก็คือเสาโทริอิสีแดงส้ม ที่เรียงรายไปสุดลูกหูลูกตากันเป็นอุโมงค์ โดยเสาโทริอิก็มาจากการบริจาคจากผู้ที่มีศรัทธา อีกทั้งวัดเสาแดงหรือศาลเจ้าฟูชิมิอินาริเป็นสถานที่ที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวจำนวนมากอีกด้วย
การเดินขึ้นไปบนยอดเขา ใช้เวลาเดินไปและเดินกลับประมาณ 2-3 ชั่วโมง หากใครที่จะมาควรมาเช้าๆ จะได้เผื่อเวลาไปที่อื่นได้ด้วย แต่ทางเราไม่ได้เดินขึ้นไปสุดยอดเขา ถ้าใครจะตามรอยเราก็สามารถทำได้ เพราะมีทางขึ้น-ลงอยู่เป็นช่วงๆ
เวลาเปิด - ปิด : เปิดตลอดทั้งวัน
การเดินทาง : จากสถานี Kyoto ให้นั่งรถไฟสาย JR Nara Line มาลงที่สถานี Inari
ภาพนี้ใช้ฟิล์ม " Kodak Gold 200 " ซึ่งโทนสีกับบรรยากาศก็เข้ากันมากๆ
ตามสถานที่เที่ยว ในเกียวโตมักจะมีรถลาก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะใช้บริการเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ

เดินเล่นๆ อยู่ในย่านฮิกาชิยาม่า สายตาเหลือบไปเห็นเจ้าโทโทโร่ รีบพุ่งตัวเข้าไปในร้านเลยจ้า เป็นร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับเจ้าโทโทโร่ เลยคว้ากระเป๋ากับพวงกุญแจมาจนได้
มาลุยต่อกันที่ย่าน Higashiyama Kyoto ตลอดสองข้างทางในย่านฮิกาชิยาม่าเต็มไปด้วยร้านค้า คาเฟ่ ร้านขนมพื้นเมืองเกียวโต ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาย่านนี้ มักจะใส่ชุดกิโมโนกัน เพราะเป็นย่านเมืองเก่า และถ่ายรูปสวยใส่มาก็เข้ากับบรรยากาศอีกด้วย หากใครอยากแต่งชุดกิโมโน ก็มีร้านให้เช่าอยู่มากมายในย่านฮิกาชิยาม่า
ย่านนี้เหมาะกับการควักกล้องฟิล์มขึ้นมาถ่ายมากๆ ได้บรรยากาศย้อนยุคในเกียวโตได้เป็นอย่างดี ถ้าใครมีกล้องฟิล์มก็พกติดไม้ติดมือไปด้วยก็ดีน้า~
เวลาเปิด - ปิด : 10.00 - 18.00 น.
การเดินทาง : เดิน 10 นาที จากป้ายรถบัส Gojozaka [สายรถบัส 100, 206]
Day 5 ( osaka castle ปราสาทโอซาก้า >> umeda sky building )
ภายนอกเราจะเห็นว่าปราสาทมี 5 ชั้น แต่ภายในมีทั้งหมด 8 ชั้น
กว่าจะได้มุมที่เห็นปราสาทโอซาก้ายากมากค่ะ เพราะคนเยอะมาก ยิ่งบริเวณหน้าปราสาทคนล้นหลามเลยจ้า เลยขอหลบมาถ่ายมุมนี้ละกัน~
ระหว่างทางเข้าไปปราสาทโอซาก้า ก็ยังหลงเหลือใบไม้เปลี่ยนสีอยู่บางต้น โชคดีสุดๆ เพราะช่วงที่เราไปมันหมดฤดูใบไม้เปลี่ยนสีแล้วง่า~
วันที่ 5 กันแล้วนะคะ จะเป็นวันที่ทางเราจะมาเก็บสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในโอซาก้ากันต่อ สถานที่ที่เราเลือกในวันนี้เป็นที่แรกก็คือ Osaka Castle หรือปราสาทโอซาก้านั่นเอง ซึ่งสถานที่นี้เป็นที่แรกๆ ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะลงลิสต์ไว้ในแพลนเที่ยว หรือเรียกได้ว่า ถ้ามาโอซาก้าแล้วไม่มาปราสาทโอซาก้าถือว่ามาไม่ถึง ทางเราก็ไม่พลาดที่จะไปตำ ส่วนเรื่องค่าเข้าชมภายในปราสาท ราคาอยู่ที่ 600 Yen ทางเราก็ไม่ได้เข้าไปชมปราสาทด้านใน ได้แต่เดินถ่ายรอบๆ ปราสาทก็จะครึ่งวันแล้ว เนื่องจากทางเข้าค่อนข้างไกล และก็เดินถ่ายรูปมาเรื่อยๆ กว่าจะถึงตัวปราสาทก็ใช้เวลานานพอสมควรเลยแหละ
แนะนำสำหรับใครที่จะตามรอยเรา ควรมาช่วงหน้าซากุระ เพราะที่นี่คือแลนด์มาร์กสำหรับในหน้าซากุระที่ต้องมาให้ได้เลยแหละ
เวลาเปิด - ปิด : 9:00 - 17:00 น.
การเดินทาง : สถานี Tanimachiyonchome รถไฟใต้ดินสาย Tanimachi Line (Exit 1-B)
ตรงนี้เป็น Sky Walk บน Rooftop สามารถชมวิวทิวทัศน์ของโอซาก้าได้แบบ 360 องศา เลยทีเดียว
ถ้ามาในตอนกลางวันจะได้วิวแบบทางเรา ถ้ามาตอนกลางคืนก็จะได้ฟีลไปอีกแบบ

มุมนี้เป็นมุมยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวมาต้องถ่าย ก็คือบรรไดเลื่อนลอยฟ้าชั้น 35 ตอนขึ้นก็แอบหวาดเสียวนิดๆ เพราะกระจกใส สามารถมองลงไปข้างล่างได้
หลังจากนั้นเราก็มาเก็บสถานที่ที่ 2 ที่ยอดฮิตอีกเช่นกัน นั่นก็คือ Umeda Sky Building ซึ่งที่นี่ก็เป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญอีกที่นึง ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเช็คอินกัน ตึกนี้มีความสูงถึง 173 เมตร และมีทั้งหมด 40 ชั้นเลยแหละ เมื่อมาถึงแล้วให้ขึ้นไปยังชั้น 3 ของตึก เพื่อที่จะรอลิฟต์แก้วสุดหวาดเสียวลงมารับขึ้นไปยังชั้น 35 แล้วต่อด้วยบรรไดเลื่อนที่เป็นมุมถ่ายรูปยอดฮิตของนักท่องเที่ยว เชื่อมต่อไปยังจุดขายบัตร ซึ่งบัตรค่าเข้าชมวิวด้านบนราคา 1500 Yen
แนะนำให้ไปช่วงเย็นๆ จะได้บรรยากาศมากกว่า วิวของตึกรามบ้านช่องต่างๆ ผสมไปด้วยแสงไฟ แต่หากไปตอนกลางวันแบบเราก็จะสวยไปอีกแบบนึง เราสามารถดูวิวได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว
เวลาเปิด - ปิด : 10:00 - 22:30 น.
การเดินทาง : เดิน 9 นาทีจากสถานีรถไฟใต้ดิน Umeda สาย Midosuji Line ( Exit 5 )
Day 6 ( ถนนช้อปปิ้ง Shinsaibashi >> ย่าน Dotonbori >> สนามบินนานาชาติคันไซ KIX )
ป้ายกูลิโกะแมน ที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของย่านนัมบะ~
มาเยือนย่านโดทมโบริ ก็ต้องแวะถ่ายกับป้ายกูลิโกะแมนสักหน่อย มุมที่เราถ่ายไม่มีคนเลย เพราะเดินลงบรรไดมา หลีกหนีความวุ่นวายข้างบน
ร้านขาปูยักษ์ที่มีคิวตลอดทั้งวัน ใครไปดึกหน่อยรับรองว่าหมดจ้า ถ้าเพื่อนๆ อยากกินต้องไปไวนิดนึงน้า เพราะร้านนี้ขายดีมาก
ร้านราเมงข้อสอบ Ichiran Ramen ( อิชิรัน ราเมง ) เป็นร้านที่เปิด 24 ชม. มีคิวตลอดทั้งวัน ยิ่งช่วงเย็นคนจะเยอะเป็นพิเศษ เป็นร้านที่เรามากินซ้ำซ้อนแบบ 3 วันติด เพราะอร่อยมาก น้ำซุปเข้มข้น เส้นนุ่ม ละมุนลิ้นที่สุด 10/10 ไปเล้ย~
ร้านนี้มีชื่อร้านว่า Okonomiyaki Mizuno ส่วนเมนูในรูปคือ โอโคโนมิยากิ หรือ พิซซ่าญี่ปุ่น เป็นร้านที่คิวยาวสุดๆ แต่ทางเราโชคดีอีกแล้วค่ะ ไม่ต้องรอคิว แต้มบุญได้ใช้หมดแล้วในทริปนี้ เข้าไปด้านในจะมีเชฟทำสดๆ ข้างหน้าเราเลย
ร้านนี้อยู่ในย่าน Shinsaibashi แถวๆ ร้านเสื้อผ้า GU เป็นร้านเล็กที่ความอร่อยไม่เล็กเลยจ้า ลองมาเกือบทุกเมนู มีทั้งไอศกรีมสตรอว์เบอร์รีราคา 650 Yen และยังมีขนมปังวิปครีมสอดไส้ด้วยสตรอว์เบอร์รีราคาประมาณ 350 Yen เท่านั้น การันตีความอร่อยแบบ 10/10
นี่คือร้าน Luke’s Lobster เป็น Lobster ที่มาพร้อมขนมปังร้อนๆ กัดคำแรกบอกเลยว่าอร่อยมาก เนื้อ Lobster แน่นมาก ฟินมาก ซึ่งร้านก็อยู่ในย่าน Shinsaibashi อีกเช่นเคย ราคาค่อนข้างแพงประมาณ 1700 Yen
และนี่คือหน้าตาของ Lobster Roll จ้า
เดินทางกันมาถึงวันสุดท้ายแล้วนะค้า~ วันนี้จะเป็นวันที่ทางเราจะเดินทางกลับไทย ซึ่งไฟล์ทบินของเราคือ 5 ทุ่มครึ่ง เลยมีเวลาเที่ยวต่ออีกหน่อย จึงเลือกสถานที่ที่ใกล้กับที่พัก นั่นก็คือ
บอกเลยว่าวันสุดท้ายเป็นการตะลุยกิน และ ช้อปปิ้งกันอย่างหนักหน่วง ซึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของย่านโดทมโบริก็คือ "ป้ายกูลิโกะแมน" ที่ใครมาต้องถ่ายรูปเช็คอินกันแทบทุกคน และที่แห่งนี้จะคึกคักมากในยามค่ำคื่น ย่านนี้เต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ ตลอดทางเดิน ของกินยอดฮิตที่เหล่านักท่องเที่ยวต่างก็ต้องไปตำ นั่นก็คือ ขาปูยักษ์ , ทาโกะยากิ , เกี๊ยวซ่า , ดังโงะ , ราเมงข้อสอบ
ส่วนย่านชินไซบาชิส่วนใหญ่จะย่านช้อปปิ้ง ตรงนี้แหละค่ะที่ต้องกำเงินในกระเป๋าให้แน่นที่สุด เพราะตลอดทางเดินมีสิ่งล่อตาล่อใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ร้านABC Mart , Disney Store , Sanrio Gallery , ร้านดองกี้ นอกจากนี้ยังมีร้านเสื้อผ้า ร้านเครื่องสำอาง ร้านรองเท้า อีกมากมายหลายแบรนด์ บอกเลยว่ามีล้มละลายแน่นอนจ้า
เวลาเปิด - ปิด : แตกต่างกันตามร้านค้า
การเดินทาง : สถานีรถไฟใต้ดิน Shinsaibashi สาย Midosuji Line ( เดิน 3 นาที )
ย่าน Dotonbori รายล้อมไปด้วยร้านค้าของกิน ร้านขายของที่ระลึก ร้านขายของฝากมากมาย
สำหรับทริปเที่ยวของทางเราได้จบลงแล้ว เพื่อนๆ เป็นยังไงกันบ้าง ได้ตะลุยไปกับเราจนครบ 6 วัน บอกเลยว่ามือใหม่หัดเที่ยวก็สามารถเที่ยวตามเราได้สบายๆ เลยเพราะการเดินทางไม่ยากมีรถไฟฟ้าอำนวยความสะดวกไว้หมดแล้ว และสถานที่ที่ทางเราเลือกมาก็อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้า แถมยังเป็นสถานที่ยอดฮิตของเหล่านักเที่ยวอีกด้วย
ทริปนี้บอกเลยว่าเป็นการเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกของเรา ก่อนหน้านี้เราศึกษาแผนที่การเดินทาง แผนที่สถานที่ท่องเที่ยว จองตั๋วต่างๆ ล่วงหน้าเป็นเดือน พอถึงวันเดินทางจริงเลยไม่หลง เราปล่อยใจไปกับธรรมชาติและการเดินทาง การที่เราได้เจอผู้คนใหม่ๆ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ได้กินอาหารใหม่ๆ ได้ซึมซับบรรยากาศที่แตกต่างจากบ้านเรา รู้สึกสบายใจกับการออกเดินทางในครั้งนี้มาก ถ้ามีโอกาสจะวนกลับมาเที่ยวอีกนะ :)
Comments