รูปภาพ:https://i.gifer.com/6hpP.gif

สวัสดีค่าาา สาวๆSistaCafeคนน่ารักสุดคิ้วท์ทุกคน (๑・ω-)~♥”หากพูดคำว่า ' หวานๆ ' นอกจากใช้บรรยายลักษณะนิสัยผู้หญิงน่ารัก อ่อนโยนเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้แล้วนั้น ยังใช้บรรยายรสชาติของของหวานสุดฮิตที่กินแล้วชวนอ้วนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะช็อกโกแลต บิงซู ชานมไข่มุก ไอติม คุกกี้ บราวนี่เวลาไปร้านขายขนมพวกนี้ตามห้างแล้วมีครัวเปิด ลองมองผ่านกระจกเข้าไปดูสิ แล้วเธอจะทึ่งว่าแทบทุกร้านใส่น้ำตาล ครีม น้ำเชื่อมมากมายขนาดไหน ( บางร้านอย่าเรียกว่าผสม ให้เรียกว่าเท ) ยังไม่นับกาแฟร้านรถเข็นที่ใส่น้ำตาลมากกว่าใส่ผงกาแฟอีกไม่แปลกที่คนไทยมีภาวะโรคอ้วน เบาหวาน น้ำหนักตัวเกินเกณฑ์กันมากมาย ก็ติดหวานกันซะขนาดนี้อะน้อ!!แต่สาวซิสรู้กันไหมว่า รสหวานจากน้ำตาล โดยเฉพาะน้ำตาลทรายขาวคือภัยเงียบที่ทำให้เธอแฮปปี้มีความสุขในตอนแรก แต่ถ้าได้รับเกินขนาด มันจะกลายร่างเป็นศัตรูที่ค่อยๆ ฆ่าเธออย่างเงียบๆ เข้ากระแสเลือด กระตุ้นอินซูลินให้ร่างกายอ่อนแอลงไม่รู้ตัว รู้อีกทีโรคประจำตัวก็เล่นงานแล้วถ้าไม่อยากไปถึงจุดที่ต้องกินยาไปตลอดชีวิต เริ่มสังเกตสัญญาณผิดปกติในร่างกายตัวเองตั้งแต่วันนี้ด้วย' 7 อาการเตือนเมื่อเธอกินรสหวานมากเกินไป 'หากเข้าข่ายแม้แต่ข้อเดียวก็ควรใส่ใจตัวเองได้แล้ว ก่อนจะสายเกินแก้นะคะซิส

1. มีปัญหากับระบบย่อยอาหาร ลำไส้ทำงานผิดปกติ

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/jiot38545.jpg

มีหลายงานวิจัยค้นพบว่า ' น้ำตาล ' อาจไปลดความหลากหลายของแบคทีเรียดีในลำไส้ ส่งผลให้สุขภาพลำไส้และระบบขับถ่ายแย่ลง เมื่อกินหวาน โดยเฉพาะรสหวานจากน้ำตาลทรายขาวติดต่อกันนานๆ จึงทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่ายได้นั่นเองค่ะ!

โดยปกติอาหารที่มีไฟเบอร์สูงจะทำให้ขับถ่ายง่าย คล่องปรื๋อไร้กังวล แต่คนที่กินขนมหวานๆ อาหารใส่น้ำตาล มักจะมากับนิสัยไม่ชอบกินไฟเบอร์ ไม่ชอบกินผักไปด้วย จึงยิ่งไม่มีตัวช่วยให้ขับถ่ายเข้าไปอีก //แงงง TT^TT

รสเค็มจัดทำให้ท้องอืด แก๊สเยอะก็จริง แต่รสหวานก็ทำให้หน้าท้องป่องนูนจากการท้องผูก อึไม่ออก และมีกรดแก๊สเกินได้เช่นกัน บางคนลำไส้ไม่ย่อยน้ำตาลบางชนิดเป็นพิเศษ เช่น ฟรักโตในผลไม้ และแลคโตสจากนมใครที่กินหวานบ่อยแล้วรู้สึกอึดอัดท้องที่ไม่เกี่ยวกับความอ้วน ลองจำกัดรสหวานในมื้ออาหารของตัวเองดูค่ะ รับรองว่าจะรู้สึกสบายท้องมากขึ้นอย่างน่าตกใจ ไม่เชื่อต้องลอง!

2. มี 'สิว' ขึ้นช่วงคางและริมฝีปาก

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/xabd38543.jpg

แม้ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวไว้ว่า อาหารที่กินไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของการเกิดสิวร้ายแรงและเรื้อรังก็ตาม แต่มีบางงานวิจัยค้นพบว่าการเกิดสิว มีความเกี่ยวข้องกับการกินอาหารรสหวานมากเกินไป!

เพราะน้ำตาลเป็นตัวไปเพิ่มการผลิตฮอร์โมน โดยเฉพาะแอนโดรเจน ฮอร์โมนเพศชาย ที่เป็นฮอร์โมนก่อเกิดสิวอักเสบ ซึ่งมักไปผุดอยู่ตรงช่วงสันกราม คางและบริเวณริมฝีปากให้ได้หงุดหงิดกันค่ะ

หากเธอเป็นคนหนึ่งที่สิวชอบขึ้นตรงคางกับปาก ขึ้นซ้ำซากอยู่ที่เดิม พอตุ่มเดิมยุบ ตุ่มใหม่ก็มาแทน เป็นรอยสิวเรียงกันเหมือนรอยปิดแมสก์ทั้งที่แน่ใจว่าไม่ได้แพ้แมสก์ และทำความสะอาดหน้าอย่างดี ใช้สกินแคร์ตามปกติแล้ว


ลองเพิ่มอีกหนึ่งปัจจัยคืองดขนมหวานดูค่ะ สิวบริเวณนั้นจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง *แต่ทั้งนี้ ถ้ามีสิวซีสต์หรือสิวอักเสบขึ้นเยอะมากจนรักษาเองไม่ได้ ก็ควรไปปรึกษาหมอจะดีกว่า

3. อารมณ์แปรปรวน โกรธง่าย ลุกลี้ลุกลน นั่งนิ่งๆ ไม่ค่อยได้

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/GlbN38544.jpg

ถ้าใครรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองไม่เสถียร ขึ้นสุดลงสุดจนเหนื่อยกับตัวเอง ลองสังเกตว่าตัวเองกินขนมหวานเยอะเกินไปหรือไม่? ในงานวิจัยบางชิ้นได้สรุปผลไว้ว่า น้ำตาลมีความเกี่ยวข้องกับภาวะทางอารมณ์ที่ผิดปกติได้เช่นกัน เช่น ภาวะซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน

เพราะน้ำตาลเมื่อเข้ากระแสเลือดไปแล้ว จะเข้าไปวุ่นวายกับสารสื่อประสาทในสมองที่ควบคุมอารมณ์ของเธอ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเหวี่ยงไปมา อารมณ์เลยไม่นิ่ง เดี๋ยวก็อยากยิ้ม เดี๋ยวก็อยากร้องไห้ค่ะ

น้ำตาลยังสามารถเข้าไปรบกวนการหลั่งฮอร์โมน' เซโรโทนิน 'ที่ก่อให้เกิดความสุข ทำให้อารมณ์ดิ่งลงได้อีกด้วย หากเธอกินขนมหวานที่มีทั้งคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลเข้าไปในปริมาณมากๆ ลองสังเกตตัวเองดูว่าเป็นแบบนี้ไหม : ช่วงแรกจะฟินมาก แฮปปี้มาก แต่ไม่นานหลังจากนั้นจะเริ่มอารมณ์สวิง โมโหง่าย เศร้า เหนื่อย และหิวอยากกินอีกไม่จบไม่สิ้น


เป็นความสุขระยะสั้น แต่ทุกข์ระยะยาวโดยแท้จริง ทางที่ดีเปลี่ยนจากขนมเป็นการกินอาหารที่ย่อยนานขึ้น ไม่รบกวนฮอร์โมนอารมณ์ เช่น โฮลเกรน ข้าวกล้อง ไฟเบอร์จากผัก และโปรตีนจะดีต่อสุขภาพกว่า

4. นอนไม่หลับ คุณภาพการนอนแย่ ตื่นมาแล้วไม่สดชื่น

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/CotZ38540.jpg

หากเธอชอบกินเค้ก คุกกี้ เครื่องดื่มรสหวานอยู่เป็นประจำ อยากให้ลองทบทวนตัวเองว่าเมื่อเช้านอนหลับสนิทสดชื่นดีไหม? รู้สึกมึนหัว ปวดหัวเหมือนนอนไม่ค่อยพอ หรือเป็นคนนอนยาก เป็นชั่วโมงกว่าจะหลับรึเปล่า?


ถ้าเช็กลิสต์ตรงตามนี้ เป็นไปได้ว่าจะมาจากขนมที่เธอกินอยู่ทุกวันนั่นแหละ เพราะน้ำตาลที่เยอะเกินไปจะเข้ากระแสเลือด ปลุกให้เธอรู้สึก ' ตื่น ' จึงทำให้หลับได้ยากขึ้น

แต่สำหรับบางคนอาจส่งผลในทางตรงกันข้าม! เพราะตัวน้ำตาลเองก็กระตุ้นให้สารสื่อประสาทอย่าง' ฮอร์โมนเซโรโทนิน 'ออกมาเยอะขึ้น ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายและง่วงได้เร็วขึ้น แต่ไม่ว่าน้ำตาลจะทำให้เธอหลับยากหรือง่ายขึ้น คุณภาพการนอนโดยรวมก็ไม่เป็นที่น่าพอใจอยู่ดี


เธอจะตื่นมาแบบไม่ค่อยสดชื่น เพราะระดับน้ำตาลลดลงในช่วงที่นอนหลับ แนะนำให้งดกินน้ำตาลเด็ดขาดในช่วงสองชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อให้ร่างกายย่อยน้ำตาลส่วนเกินออกให้หมด จะได้พักผ่อนอย่างสบายใจนะคะ

5. ผิวหนังในร่างกาย ' มีริ้วรอย เหี่ยวก่อนวัย '

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/l97K38542.jpg

ใครที่อยากหน้าเด็ก ผิวใสเรียบเนียนไปนานๆ นี่คือโอกาสอันดีที่เธอควรจะเริ่มลดรสหวานเสียตั้งแต่วันนี้ เพราะนี่คือ fact ทางวิทยาศาสตร์เลยว่า กินน้ำตาลเยอะแล้วจะหน้าแก่!


เนื่องจากอาหารที่มีน้ำตาลสูงจะไปเร่งกระบวนการให้เซลล์ผิวหนังแก่ก่อนวัย โดยไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนในกระแสเลือด ก่อตัวสารที่เรียกว่า  advanced glycation endproducts ( AGEs ) หรือส่วนเกินของระดับโปรตีนและน้ำตาลในร่างกาย ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพ รวมถึงผิวหนังด้วย

ส่วนเกินนี้จะเข้าไปทำลายโครงสร้างของคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นใต้ผิว ซึ่งสองอย่างนี้จะทำให้ผิวนุ่มเด้ง เมื่อมันหายไปหรือมีจำนวนน้อยลง ผิวของเธอก็จะดูเหี่ยวย่น มีริ้วรอย ดูมีอายุก่อนวัยที่ควรเป็น

ถ้าไม่เชื่อให้สังเกตคนที่อายุเริ่มเยอะแล้ว ( 40-50+++ ) ที่ดูแลสุขภาพ กินอาหารคลีน ออกกำลังกายเป็นประจำ ร่างกายจะกระชับและหน้าเด็กกว่าคนรุ่นเดียวกันที่ปล่อยตัวและไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองค่ะ

6. ปวดข้อ เดินเหินได้ไม่สะดวกเท่าเดิม

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/lhCG38541.jpg

เป็นสัญญาณที่เรียกว่ารุนแรงเลยทีเดียว แต่เป็นเรื่องจริง ถ้าเธอกินน้ำตาลมากเกินไป เธออาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับข้อ แก่ตัวไปอาจเดินเหินไม่สะดวกหรือต้องใช้ไม้เท้าได้ในอนาคต!


มีงานวิจัยบางชิ้นค้นพบว่าการดื่มเครื่องดื่มที่น้ำตาลสูงๆ มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคไขข้ออักเสบในผู้หญิง ซึ่งน่าจะเกิดจากการอักเสบในไขข้อนั่นเอง

งานวิจัยชิ้นอื่นๆ ได้ค้นพบผลเพิ่มเติมว่า คนที่ดื่มเครื่องดื่มหวานๆ น้ำตาลเยอะติดต่อกัน 5-6 แก้วต่อสัปดาห์ ( รวมน้ำผลไม้ด้วย! ) จะมีแนวโน้มเป็นโรคไขข้อได้ง่ายขึ้น แต่นักวิจัยก็ออกตัวไว้ว่า ค้นพบเพียงความเกี่ยวข้องกับโรค


ไม่ได้หมายความว่าน้ำตาลแล้วจะทำลายไขข้อตรงๆ ทันที อาจจะมีปัจจัยอื่นนอกเหนือจากนั้น

แต่เพื่อความปลอดภัยของร่างกายเราเอง ตัดปัจจัยเสี่ยงออกไปหนึ่งข้อ ลดหวานในของกินควบคู่ไปด้วยก็เป็นทางเลือกที่ดีนะ

7. มึนหัว สมองไม่โล่งปลอดโปร่ง คิดอะไรไม่ออก

รูปภาพ:https://www.i-pic.info/i/NDhx38539.jpg

อาการสุดท้ายเชื่อว่าสาวๆ หลายคนต้องเริ่มคิดละ ว่าตัวเองกินหวานเยอะไปจริงรึเปล่า นั่นคืออาการปวดหัว อยู่ดีๆ ก็เบลอ คิดอะไรไม่ออกขึ้นมาเสียเฉยๆ นี่อาจเป็นสัญญาณขั้นต้นของการกินหวานมากไปเช่นกัน!

โดยปกติแล้ว ร่างกายของมนุษย์ รวมถึงสมอง จะใช้คาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลเป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักที่ให้พลังงาน ดังนั้นในมื้ออาหารที่มีน้ำตาลสูง เมื่อผ่านไปสักพัก ระดับน้ำตาลลดกะทันหัน อาจทำให้เกิด brain fog หรือสมองตื้อได้ค่ะ

เมื่อน้ำตาลในเลือดลดลง ( หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า ' น้ำตาลตก ' ) ระดับพลังงานของเธอจะดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ความสามารถในการตั้งสมาธิ สดชื่นกระปรี้กระเปร่าลดลงด้วยเช่นกัน สังเกตได้ง่ายๆ จากคนที่กินของหวานช่วงบ่าย แทนที่จะสดชื่นขึ้น แต่หลังกินไปสักพักกลับง่วงจะหลับกว่าเดิมซะงั้น


ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าแทนที่จะกินกาแฟ ชานมหวานๆ หรือคุกกี้เป็นมื้อว่าง ลองเปลี่ยนเป็นแอปเปิ้ลจิ้มเนยถั่วแทน ได้ทั้งโปรตีนและไฟเบอร์ ไม่กวนระดับพลังงาน แถมอิ่มนานไปถึงมื้อเย็นอีกด้วย

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/originals/03/32/41/033241e2344ed337bc75e2d37bc5222e.gif

---------------------------------------------

เป็นไงบ้างคะสาวๆ มีสัญญาณเตือนกันไปกี่ข้อแล้ว? ถ้ายังไม่มีก็ถือว่ายังโชคดี ( แต่ก็อย่าชะล่าใจเด้อ ) แต่ถ้าใครร่างกายกำลังกรีดร้องเตือนว่าได้รับน้ำตาลเกินพิกัดแล้ว ก็รีบเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การกินของตัวเองด่วนๆ ก่อนโรคร้ายจะมาเยี่ยมเยือน!โดยปกติผู้หญิงไม่ควรได้รับน้ำตาลเกิน 6-10 ช้อนโต๊ะต่ออัตราเผาผลาญพื้นฐาน 1500 แคลอรี และอย่าลืมว่าอาหารบางอย่างมีน้ำตาลอยู่แล้ว เช่น ข้าว ขนมปัง ข้าวโพดจึงต้องใส่ใจกับปริมาณน้ำตาลส่วนเกินอย่างเข้มงวดค่ะ

น้ำตาลไม่ได้ทำให้เธออ้วนขึ้น ไขมันเพิ่มขึ้นเพียงเท่านั้น แต่มันจะเข้าไปทำลายคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวดูเหี่ยว แก่ก่อนวัย และโรคร้ายอย่างเบาหวาน ตับอ่อนมีปัญหา ภาวะอินซูลินไม่สมดุล โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เหล่านี้ก็จะมาหาเธอแบบหลีกหนีไม่พ้นดังนั้นสาวกเบเกอรี ชานมไข่มุก กาแฟเย็นทั้งหลาย รีบลดรสหวาน หรือหาน้ำตาลทางเลือก เช่น หญ้าหวาน อีริทริทอล แทน จะได้มีร่างกายที่แข็งแรง สุขภาพดีไปนานๆ ไม่ต้องลำบากตอนแก่นะคะ ^ ^วันนี้เราก็ขอลาไปก่อน พบกันใหม่คราวหน้า บ๊ายบายย See You Soon!