" Polyamory " เมื่อรักมีมากกว่า 1 ทำไมสังคมจึงตีตรา ? " ผิดมั้ยที่อยากรักใคร หลาย ๆ คน
"เมื่อรักมีมากกว่า 1 สังคมจึงตีตรา" รักใครหลายคน ทำไมถึงเป็นคนไม่ดี ทำความรู้จักความสัมพันธ์แบบ " Polyamory " รักนี้ไม่ได้มีแค่เธอกับฉัน
เผยแพร่: 17 ก.ย. 2564 11:00 น.
Views: 44,535
Monogamy รักนี้มีแค่ เราสอง
ตั้งแต่เด็กจนโต มนุษย์ Gen Y อย่างเรา (รวมถึงตัวผู้เขียน) ถูกปลูกฝังมาตลอดว่า ค่านิยมแบบ"Monogamy"หรือความสัมพันธ์แบบรักเดียวใจเดียว มีสามีเดียวภรรยาเดียวเป็นสิ่งที่ถูกต้องและสูงส่งที่สุดตามบรรทัดฐานทางสังคมในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านกฎหมาย ในรูปแบบของคู่สมรส(Marital monogamy)ด้านวิถีสังคม ในรูปแบบคู่ครอง, คู่รัก หรือการคบหาดูใจกัน(Social monogamy)รวมถึงด้านศีลธรรมเช่น ความเชื่อในรักเดียว, ความเชื่อเรื่องเนื้อคู่ แม้แต่คำสอนของบางศาสนา ก็มีการสอนให้รักเดียว เราต่างถูกสอนให้ซื่อสัตย์ ยึดมั่นในความรัก ต้องมีคู่รักคู่ครองเพียงคนเดียวและสามารถจดทะเบียนสมรสได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากจะมีอีกครั้ง ก็ต้องหลังที่เลิกลาและจบความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนหรือสามารถนิยามว่า"Serial monogamy"
[1]
จึงปฎิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคของเรานั้น การเชิดชู ค่านิยมแบบMonogamyนั้นฝังรากลึกมาก ๆ จนยากที่เราจะถอนรากถอนโคนค่านิยมนี้ออกจากจิตสำนึกของเรา เป็นเรื่องยากเหลือเกิน ที่เราจะยอมรับความสัมพันธ์รูปแบบอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการมีรักเดียวใจเดียว หรือมีคู่ครองแบบคนเดียว หากให้ทุกคนลองจินตนาการถึงความรักในอุดมคติของตัวเอง เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนต้องจินตนาการถึง ความรักที่มีแค่เราสองฉันและเธอ หากให้มีเธอ หรือใครอีกคน ความรักก็จะกลายเป็น เรื่องเศร้า หรือที่มาของวลี"รักสามเศร้า"ขึ้นมาทันที
"ใครล่ะอยากจะให้คนที่เรารัก ไปรักใครอีกคน ของของเรา ก็ย่อมเป็นของเรา จริงไหม ?"
ของของเรา ก็ย่อมเป็นของเราสิ จริงไหม ?
"ของของเรา ก็ย่อมเป็นของเรา"หากมองในมิติของสัจธรรมโดยไม่ปรุงแต่งรสของความเชื่อ ความศรัทธาและไม่ไป romanticize เรื่องความรักแล้ว เราจะได้คำตอบว่า จริง ๆ แล้ว ไม่มีใครเป็นของใครเลยเราต่างเป็นตัวของตัวเอง "ไม่ได้ และ ไม่เคย" ตกเป็นของใครเลยด้วยซ้ำเพียงแต่"เราอาจจะตกเป็นส่วนนึงของ ผลึกค่านิยม แบบ Monogamy ต่างหาก รึเปล่า ? "
ในความเป็นจริง ค่านิยมเรื่องการครองรักนั้น เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดตามยุคสมัย หากย้อนกลับไปในอดีตตามประวัติศาสตร์ ในหลาย ๆ ระบบสังคมโบราณ รวมถึงไทย หรือ"สยาม"เอง ก็ไม่ได้มีค่านิยมแบบMonogamyตั้งแต่เดิม เราเพิ่งได้รับแนวคิดค่านิยม"Monogamyหรือแบบรักเดียวใจเดียว" ในช่วงยุคล่าอาณานิคมจากมหาอำนาจแบบตะวันตก ที่มองว่าครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียวคือสิ่งที่แสดงถึงความศิวิไลซ์ และความก้าวหน้าของรัฐสมัยใหม่[2] และมองว่าการมีคู่ครองมากกว่าหนึ่ง หรือPolygamyนั้นเป็นเรื่องล้าหลัง และป่าเถื่อน[3]จนเริ่มส่งอิทธิพลมากขึ้น ถึงในระดับที่ต้องผลักดันกฎหมายไทย สู่การแก้ไขกฎหมายให้ชายมีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายเพียงคนเดียวหลังปี พ.ศ. 2475 หรือไม่ถึงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาเลยด้วยซ้ำ
Polygamy แบบไทย ๆ ภายใต้สังคมปิตาธิปไตย
หลายระบบสังคมสมัยโบราณรวมถึงสยาม เดิมทีมีค่านิยมแบบ"Polygamy"ซึ่งหมายถึงการมีสามี, ภรรยา หรือคนรักหลายคน ในเวลาพร้อมกันโดยส่วนใหญ่จะเป็นแบบ"Polygyny"หรือผู้ชายที่มีภรรยาหรือคนรักหลายคนในเวลาพร้อมกัน[4] เราสามารถเห็นได้จากละครย้อนยุค วรรณคดี หรือในสังคมชั้นสูงในอดีต จะมีค่านิยมมากเมีย โดยที่ไม่ได้ผิดบรรทัดฐานทางสังคม ไม่ว่าจะด้านกฎหมายหรือหลักศาสนา[5] อย่างเช่นศาสนาพุทธก็ไม่ได้เจาะจงว่า การมีมากเมีย ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิด แต่จะผิดก็ต่อเมื่อ ผิดลูกผิดเมียผู้อื่นหรือเป็น "ชู้"
และ
ศาสนาอิสลามก็อนุญาตให้สามีสามารถมีภรรยาได้ถึง 4 คนโดยไม่ผิดหลักศาสนาเลย ในขณะที่"Polyandry"หรือผู้หญิงที่มีสามีหรือคนรักหลายคนในเวลาพร้อมกันกลับพบน้อยมากเพียงไม่กี่ระบบสังคมในโลกนี้
[6]
ระบบสังคมที่มีค่านิยมแบบPolygynyนั้นหากเป็นฝ่ายหญิงบ้างที่มีสามีพร้อมกันหลายคนนั้น ถือเป็นเรื่องผิดมหันต์เพียงแค่ปันใจให้ชายใดที่ไม่ใช่สามีของตน ก็ยังถูกสังคมตีตราทันทีว่าเป็นหญิงบาป หญิงชั่ว หญิงหลายใจทันทีมีตัวอย่างให้เห็นในละคร และวรรณคดีไทยหลาย ๆ เรื่องเช่นนางวันทองตัวละครในเรื่องขุนช้างขุนแผน หากมองตัวละครนี้ผ่านมิติค่านิยมแบบMonogamyของสังคมปัจจุบันแล้ว นางวันทองไม่ได้ละเมิดบรรทัดทางสังคมแบบ Monogamy เลย เพราะเลิกกับขุนแผนก่อนที่จะครองคู่กับขุนช้างตามคอนเซปต์ของSerial Monogamyหากแต่ขุนแผนมาลักพาตัวกลับไปภายหลัง เป็นที่มาของจุดจบที่ไม่ยุติธรรมเลย !
เมื่อลองมองตัวละครวันทองให้ลึกไปอีก จะเห็นว่าวันทองเป็นตัวอย่างของ"เหยื่อ"จากค่านิยมแบบPolygyny ในสังคมระบบปิตาธิปไตย หรือสังคมชายเป็นใหญ่ที่มองว่าการที่ผู้ชายมีมากเมีย มากภรรยาช่วยเสริมอำนาจบารมี "เมียมาก บารมีมาก" และยังเป็นกระบวนการสืบทอดอำนาจของชนชั้นสูง การมีเมียมากนอกจากจะดูมีอำนาจแล้วก็มีโอกาสมีทายาทสืบทอดตระกูลมากขึ้น
Polyamory ผลึก "ค่านิยมมากรักรูปแบบใหม่" ในพื้นฐานสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียม
เมื่อพาทุกคนย้อนจากปัจจุบันกลับไปสู่อดีต ก็เหมือนยิ่งตอกย้ำว่า ค่านิยมแบบMonogamyดูเหมือนจะเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่น่ายกย่อง เป็นความรักในมโนคติที่โครตจะโรแมนติกเลย แต่อย่างที่บอกค่ะ อย่าเพิ่งRomanticizeก่อน ! ถ้าหาลองพลิกอีกด้านนึงก็จะพบว่าMonogamyก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป บ่อยครั้งที่ค่านิยมนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการตีตราผู้ที่ประพฤติต่าง เห็นต่าง อย่างที่ชาวตะวันตก มองว่าค่านิยมPolygamyของชนพื้นเมือง ป่าเถื่อน ล้าหลังตรงนี้ผู้เขียนเองก็เห็นด้วยว่าล้าหลัง เพราะมองว่าค่านิยม Polygamy มีพื้นฐานมาจากความไม่เท่าเทียมกันของชายหญิง มักด้อยค่าและกดขี่อีกเพศอย่างไม่เป็นธรรมแต่ถ้าหากพินิจพิเคราะห์ในมิติของปัจเจกบุคคลแล้ว หากว่าบรรดาภรรยาทั้งหลายต่างยินยอมพร้อมใจที่จะครองสามีร่วมกัน แล้วใช้ชีวิตแบบมีความสุข พึงพอใจในความสัมพันธ์แบบPolygamyล่ะจะมองว่าเป็นสิทธิเสรีภาพได้รึเปล่า ?
"หรือจริง ๆ แล้ว รูปแบบความสัมพันธ์แบบ Polygamy ไม่ได้ล้าหลังเลย ถ้า ! เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของทุกฝ่าย ?"แต่สิ่งที่ทำให้ค่านิยมนี้ล้าหลังก็คือค่านิยมนี้ ดั๊นนนเกิดจากระบบสังคมแห่งความไม่เท่าเทียมต่างหากล่ะ
“ หรือจริง ๆ แล้ว รูปแบบความสัมพันธ์แบบ Polygamy ไม่ได้ล้าหลังเลย ถ้า !เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของทุกฝ่าย ?
ในยุคปัจจุบัน ที่เราต่างมีอุดมคติให้ความสำคัญของเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมมาก ๆ หากรูปแบบความสัมพันธ์แบบPolygamyเกิดจากความยินยอมพร้อมใจ (Consent) โดยไม่มีใครได้รับความเจ็บปวดจากค่านิยมนี้ และทุกคนต่างเลือกเองได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเพศไหน ๆเราควรจะเปิดใจให้กับความสัมพันธ์แบบนี้ได้รึเปล่า ?
“ Polyamory”คือนิยามของความสัมพันธ์ที่เราสามารถมีคนรักได้หลายคนไม่ว่าเพศไหน ซึ่งสิ่งที่แตกต่างจากPolygamyก็คือPolyamoryยึดหลักความยินยอมพร้อมใจของทุกฝ่ายหรือConsent
[7]
และ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างเท่าเทียมไม่ว่าเพศไหนก็ตาม ในขณะที่Polygamyไม่ได้ยึดเรื่องพวกนี้เลย มีเพศหนึ่งเพศใดเป็นศูนย์กลาง และอาจจะไม่ได้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจก็ได้ดั้งนั้น "Polyamory ≠ Polygamy"
เรียกได้ว่าPolyamoryคือผลึกของ “ค่านิยมมากรักรูปแบบใหม่” ในพื้นฐานสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมนั่นเองค่ะ
Polyamoryอาจจะเป็นเรื่องใหม่มาก แต่ใด ๆ ก็คือไม่ควรถูกมองว่าแปลก หากเราคิดว่าเราให้ความสำคัญกับสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมจริง ๆเราก็ควรเปิดใจให้กับทุกรูปแบบความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ขัดต่อสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียม
อาจจะเป็นเรื่องยากหน่อยถ้าเรายังยึดหลักของค่านิยมแบบรักเดียวใจเดียวอยู่ ลองเปิดใจให้กว้าง และยอมรับความจริงเถอะว่า เราไม่จำเป็นต้องมีรักเดียวเสมอไป
"จริง ๆ แล้วนางวันทอง ไม่จำเป็นต้องเลือกเลยระหว่างขุนแผนแสนรัก หรือขุนช้างที่แสนดี หากทั้ง 3 ตกลงปลงใจกันที่จะอยู่แบบ 3 คนเมียผัว โดยที่ไม่มีใครต้องสูญเสียหรือเจ็บปวด"บางทีความสัมพันธ์แบบPolyamoryอาจจะมีข้อดี ไม่ต่างอะไรกับ Monogamy เลย
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะความสัมพันธ์รูปแบบไหน สิ่งที่ยังสำคัญที่สุดก็คือจะต้องเกิดจากการตกลงปลงใจ ยินยอมพร้อมใจ ซื่อสัตย์ เชื่อใจและเข้าใจกัน โดยที่ไม่ต้องมีฝ่ายไหนต้องเสียใจและเจ็บปวด
https://www.silpa-mag.com/history/article_28423
https://themomentum.co/monogamy-vs-polygamy/
https://thematter.co/thinkers/polyandry/66695#_ftn3
https://www.summaread.net/history/thai-monogamy/
https://adaybulletin.com/know-yuupen-polygamy/48548