รูปภาพ:https://edited.beautybay.com/wp-content/uploads/2019/03/edited_march19_Skincare_Ingredients_You_Can_Mix_Together_lanscape_2-1-scaled-1.jpg

ถ้าจะให้พูดถึงส่วนผสมสกินแคร์ เอาจริงๆ สาธยายให้ฟังสามวัน ยังไม่หมดเลย เพราะส่วนผสมที่ช่วยในการบำรุงผิวมันมีเยอะมาก หลายคนคิดว่า การใช้สกินแคร์รวมกัน ตัวนั้น ตัวนี้ ใช้ด้วยกันคงไม่เป็นไร จริงๆ แล้วเป็นนะ เพราะสารบางตัวจะใช้ร่วมกันไม่ได้ด้วยความที่มันเข้ากันไม่ได้ มันอาจจะไปลดประสิทธิภาพหรือด้อยคุณภาพสกินแคร์ที่เราใช้เช่น อยากได้ผิวกระจ่างใส แต่กลับใช้สกินแคร์สองตัวที่สารไม่เข้ากัน ไปๆ มาๆ ผิวกลับหมองคล้ำหนักกว่าเดิม อะไรแบบนี้ ซึ่งวันนี้เราจะมาดูพร้อมๆ กันค่ะซิสว่าส่วนผสมสกินแคร์ที่ 'ห้ามใช้ร่วมกัน'นั้นมีอะไรบ้าง เตรียมจดเลยนะคะ ไปค่ะ ไปดูพร้อมๆ กันเลย** ทุกครั้งเวลาที่เราเลือกใช้สกินแคร์ สิ่งที่เรานึกถึงคือ มันต้องตอบโจทย์กับสภาพผิว แต่ว่าการรู้เรื่องเหล่านี้ไว้บ้าง ก็ไม่เสียหายนะ รู้ ดีกว่าไม่รู้แล้วใช้ไปแบบมัวๆ ผลสุดท้าย แทนที่ผิวจะดี กลับแย่หนักกว่าเก่า ฉะนั้นรู้ไว้ก่อน เป็นเรื่องที่ดีที่สุดนะคะ **

8 คู่ ส่วนผสมสกินแคร์ที่ไม่ควรใช้ร่วมกัน!

1. Vitamin C + Benzoyl Peroxide

รูปภาพ:

หลายคนอาจจะงงว่า เอ๊ะ! Benzoyl Peroxide หรือ BPO หรือ BP มันคืออะไร จริงๆ แล้วถ้าใครที่เป็นสิวบ่อยๆ น่าจะรู้จักกันดีอยู่ มันคือสารตัวนึงที่ช่วยลดการอุดตันและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวนั่นเอง ซึ่งว่ากันว่า เราไม่ควรใช้สกินแคร์ที่มีสารตัวนี้ ร่วมกับวิตามินซีนะ เพราะมันไม่เป็นผลดีต่อผิวของเราเท่าไหร่นัก เพราะ Benzoyl Peroxide ค่อนข้างกัดผิว ช่วยละลายหัวสิวสำหรับคนที่รักษาสิว ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแสบ แดง คันยิบๆ ถ้าใช้คู่กับ Vitamin C จะเกิดออกซิเดชั่น ผิวจะยิ่งอักเสบ และระคายเคือง  ซึ่งไม่โอเค!

2. Vitamin C + Retinol

รูปภาพ:

Retinol เป็นอีกหนึ่งสารที่เรามักจะเห็นในสกินแคร์กันอยู่บ่อยๆ ตัวนี้จะช่วยในเรื่องของการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และคอลลาเจน ช่วยลดริ้วรอย ปรับให้ผิวดูสดใสขึ้นได้ คนที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยน่าจะรู้จักสารตัวนี้ดีเลยละ! ซึ่ง Vitamin C และ Retinol มีคุณสมบัติที่คล้ายๆ กัน แต่ใช้ร่วมกันไม่ได้นะ เพราะทั้งสองตัวจะทำงานได้ดีในค่า pH ที่ต่างกัน Retinol จะทำงานได้ดีที่ค่า pH 5.5 - 6 แต่ Vitamin C ทำงานได้ดีที่ค่า pH น้อยกว่า 3 เพราะงั้นถ้าเราใช้ทั้งสองตัวนี้ร่วมกัน จะไม่ได้ทำให้ผิวของเราดีขึ้น แต่จะยิ่งไปลดประสิทธิภาพของตัวใดตัวหนึ่งแทน ทำให้ผิวของเราได้รับการบำรุงผิวที่ไม่คุ้มค่าเอาซะเลย

3. Vitamin B3 + AHA

รูปภาพ:

การใช้สารทั้งสองตัวนี้ร่วมกัน อาจจะไม่ก่อให้ผิวเกิดการระคายเคืองก็จริง แต่ใช้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้ผิวดีขึ้นเท่าไหร่นะ เพราะสารทั้งสองตัวนั้น ไม่ได้ส่งเสริมกันอยู่แล้ว ฉะนั้นเลือกใช้แค่ตัวใดตัวหนึ่งก็พอนะคะ เพราะ Vitamin B3 มีส่วนช่วยเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรงและจะทำงานได้ดีในค่า pH ที่เป็นกลาง ในขณะที่ AHA เป็นสารที่ทำให้ค่า pH บนผิวนั้นไม่สมดุล ฉะนั้นเมื่อทั้งสองสารนี้ผนวกเข้าด้วยกัน จะทำให้การทำงานของ Vitamin B3 มีประสิทธิภาพที่ลดลง ต่อให้ใช้ต่อเนื่องในช่วงระยะเวลานึง ก็ไม่เห็นผลเท่าที่ควร เพราะงั้นไม่ควรจับสารทั้งสองตัวนี้ใช้คู่กันนะคะ

4. Vitamin C + AHA

รูปภาพ:

นอกจาก AHA จะไม่ควรใช้ร่วมกับ Vitamin B3 แล้ว ยังไม่ควรใช้ร่วมกับ Vitamin C เพราะ AHA มีส่วนที่ทำให้การทำงานของวิตามินซีลดลงได้ ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าใช้คู้กันแล้ว มันก็ไม่เวิร์กใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นเลือกใช้ตัวใดตัวนึงจะดีกว่า Vitamin C กับ AHA ที่มีฤทธิ์เป็นกรดทั้งคู่ ยิ่งฝืนใช้ด้วยกันแล้ว ไม่ใช่แค่ไปลดประสิทธิภาพของวิตามินซีเพียงอย่างเดียว แต่จะยิ่งทำให้ผิวของเราเสียสมดุลด้วย

5. Vitamin C + Niacinamide

รูปภาพ:

Niacinamide หรือก็คือ Vitamin B3 ทำไมถึงไม่ควรใช้คู่กับ Vitamin C นะ ตัวนึงก็ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น อีกตัวก็ช่วยให้ผิวกระจ่างใสเปล่งปลั่ง น่าจะใช้ด้วยกันได้ แต่จริงๆ แล้ว ไม่ได้นะคะ! การใช้ Vitamin C ร่วมกับ Niacinamide จะทำให้ผิวที่ควรกระจ่างใสของเรา แลดูหมองคล้ำมากยิ่งขึ้น! เพราะทั้ง 2 สารนี้จะไปลดประสิทธิภาพของกันและกัน ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองขึ้นได้ แต่ในปัจจุบันก็มีสกินแคร์บางตัว ที่หยิบสารทั้งสองตัวมาผนวกเข้าด้วยกันในสกินแคร์ตัวเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะนั้นถูกผลิตมาในปริมาณที่ใช้ร่วมกันได้ ฉะนั้นไม่ต้องกังวลไปนะจ๊ะ

6. Salicylic + Glycolic

รูปภาพ:

สารทั้งสองตัวนี้ มีส่วนช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิวเหมือนกัน แต่ใช้ร่วมกันไม่ได้นะจ๊ะ! พราะเขาคือ AHA และ BHA ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวหากมีค่าเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากเกินไป แทนที่จะไปช่วยลดจุดด่างดำ ริ้วรอย ความหมองคล้ำให้ดีขึ้น กลับทำให้ผิวของเราพังหนักขึ้นแทนล่ะสิไม่ว่า เพราะการใช้ดับเบิลสารผลัดเซลล์ผิวร่วมกันถึง 2 ตัว จะไปทำให้ค่าการผลัดเซลล์ผิวมีมากจนเกินไป ก่อให้เกิดผิวแห้ง ผิวลอก และผิวไม่แข็งแรงขึ้นได้ เพราะงั้นเลือกใช้ตัวใดตัวนึง และไม่ควรใช้ติดต่อกันทุกวันด้วยนะคะ

7. Retinol + AHA/BHA

รูปภาพ:

นี่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพราะทั้งสองสารนี้ ก็เป็นสารที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเหมือนกัน! ซึ่ง Retinol ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ลดริ้วรอย และ AHA/BHA ก็ช่วยผลัดเซลล์ผิวเช่นกัน ถ้าเราใช้สารทั้งสองตัวนี้ร่วมกัน จะยิ่งเป็นการไปเร่งผลัดผิวแบบคูณสอง อย่าคิดว่า ก็ดีซิ! ผิวจะได้ใสๆ ไบรท์ๆ ขึ้นไวๆ ไง ไม่ใช่นะคะ! ผิดอย่างที่เพื่อนๆ คิดเลยค่ะ เพราะถ้าเราใช้ทั้งสองตัวนี้ร่วมกัน จะทำให้ผิวของเราบางลง ไวต่อแสงแดดมากขึ้น ทำให้ผิวง่ายต่อการคล้ำเสีย หรือเกิดผื่นแดงได้ง่ายกว่าเดิม เพราะงั้นอย่าใช้คู่กันเลยนะ

8. Retinol + Scrub

รูปภาพ:

อย่างที่เพื่อนๆ รู้กันว่า Retinol ช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิว ปรับผิวกระจ่างใส และลดริ้วรอย ซึ่งแม้จะมีผลดี ก็ตามมาด้วยผลเสียเช่นกัน เพราะจะทำให้ผิวของเราไวต่อแสงมากขึ้น บางคนที่มีผิวบอบบางอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ด้วย แล้วยิ่งถ้าเราใช้เขาคู่กับ Scrub ขัดผิวไปด้วยแล้ว โอ้โห! ความพังบังเกิดขึ้นแน่นอนสิคะ จากผิวที่บางอยู่แล้ว ก็จะยิ่งบางหนักขึ้นไปอีก ผลที่ตามมากคือ ผิวระคายเคือง แห้งลอกได้ง่ายขึ้น เพราะงั้นถ้าเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Retinol อยู่ แนะนำว่าอย่าใช้ร่วมกับ Scrub นะ

รูปภาพ:https://media1.popsugar-assets.com/files/thumbor/4RgyUjhlwYnNmuCucJEnJ4xm5Vk/fit-in/2048xorig/filters:format_auto-!!-:strip_icc-!!-/2021/09/07/729/n/1922153/tmp_mg5ZJV_e17700ebaf56ed09_GettyImages-1277169113.jpg

ลองอ่านกันดูนะ แล้วลองดูว่า เอ๊ะ! ทุกวันนี้สกินแคร์ที่เราใช้ๆ กันอยู่ มันมีส่วนผสมสกินแคร์ที่ไม่ควรใช้คู่กันรึเปล่า เอาจริงๆ ลองสังเกตผิวดูก็ได้ว่า ใช้ตัวนี้คู่กับตัวนี้แล้ว ผิวดีขึ้นมั้ย หรือผลที่ได้ออกมากลับแย่ลง แล้วเดี๋ยวเราจะเก็ทเองว่า อ่อ เนี่ยถ้าไม่แพ้ ก็ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ การใช้สกินแคร์ก็แบบนี้แหละ ลองผิดลองถูก ถ้าไม่เวิร์กก็หยุดใช้ อย่าดันทุรังใช้ไปจนหมดนะ เดี๋ยวหน้าจะแหก!สำหรับวันนี้ต้องลาไปก่อนแล้ว บ๊ายบาย