1. SistaCafe
  2. Workaholic นิสัยบ้างานเสี่ยงเครียดหนัก สุขภาพพัง มีสัญญาณเตือนอะไรบ้าง

ณ ตอนนี้ Work-Life ( ไม่ ) Balance เลยค่าา(ಥ⌣ಥ) สมัยที่ยังอยู่ในช่วงวัยเรียนทั้งช่วงมัธยมและมหาวิทยาลัย ก็อยากรีบก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เร็วๆ เพื่อที่จะได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานและสร้างอนาคตที่สดใสให้กับตัวเอง แต่โลกความจริงไม่ได้ง่ายและสวยงามเสมอไปหรอกนะคะ เพราะบางคนพอเข้าสู่วัยทำงานเต็มตัว ก็ตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเททำงานอย่างหนัก จนแทบจะไม่มีเวลาส่วนตัวหรือสร้างความสุขให้กับตัวเอง แล้วคนที่เสพติดการทำงานมากๆ เรียกง่ายๆ ว่าในพจนานุกรมไม่มีคำว่าอาจเข้าข่ายเป็นWorkaholicก็ได้นะเออ วันนี้เราจึงลิสต์ 7 สัญญาณเตือนนิสัยบ้างาน ( Workaholic ) มาให้ได้อ่านและลองเช็กกับตัวเองดูว่ามีเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังทำงานหนักเกินไป จนเสี่ยงสุขภาพกายและสุขภาพจิตพังอยู่รึเปล่า???

・・・・・・


Workaholicคืออะไร ?

ก่อนอื่นแวะมาทำความรู้จักกับ อาการ Workaholic ให้มากขึ้นอีกสักนิดดีกว่าค่ะ โดยWorkaholicเป็นคำที่ใช้เรียกคนที่เสพติดการทำงานทุ่มเททำงานหนักอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก แล้วแม้ว่าอาการบ้างานจะไม่ใช่โรคหรือความผิดปกติทางจิต แต่ลักษณะนิสัยของคนที่มีอาการเหล่านี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับโรคย้ำคิดย้ำทำที่ทำให้ไม่สามารถหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องงานได้ แล้วหากเสพติดการทำงานมากๆ ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และทำลายความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับคนรอบตัวได้เลยนะ


Workaholic อันตรายกว่าที่คิด !?

ภาวะบ้างาน หรือ workaholic ไม่ได้เป็นแค่นิสัยส่วนตัว หรือแค่การที่เราเป็นคนเคร่งต่อเดดไลน์เท่านั้นนะคะ การเข้าข่ายมีอาการ workaholic น่ากลัวกว่าที่เราคิด เพราะสามารถเกิดผลกระทบได้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้เลยนะ 

โดยการที่เราทำงานหนัก ๆ ทั้งการใช้แรงงานหรือแม้แต่การนั่งทำงานหน้าคอมติดต่อกันเป็นเวลานานเนี่ย เสี่ยงแต่การเกิดผลกระทบต่อร่างกาย เพราะอาจส่งผลให้เกิด ออฟฟิศซินโดรม ได้ค่ะ โดยเจ้าอาการของออฟฟิศซินโดรมสังเกตได้จากอาการปวดที่มีลักษณะเรื้อรัง ไม่ว่าจะปวดหัว ปวดดวงตา ปวดหลัง หรือแม้แต่ส่วยล่างของร่างกายอย่างสะโพก โดยอาจจะเริ่มจากปวดเบา ๆ ไปจนถึงปวดมาก หรืออาการปวดล้า และปวดร้าวไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็น ๆ หาย ๆ หรือมีอาการเป็นประจำอันเกิดจากการทำงานติดต่อกันนาน ๆ ใครอ่านอยู่แล้วรู้สึกว่าอาการเริ่มใกล้เคียงแล้ว อาจลองเริ่มจากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานก่อน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการแย่ลง แต่หากยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์รีบรักษาต่อไปก่อนสายไปนะคะ

นอกจากร่างกายแล้ว workaholic ยังเป็นการเริ่มต้นของโรคหรือความผิดปกติทางจิต ที่อาจนับรวมในกลุ่ม อาการย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder) ที่ไม่สามารถหยุดความคิดและพฤติกรรมได้ ก็มาจากการที่เราทำงานซ้ำ ๆ นึกถึงแต่งาน หรือเช็กเดดไลน์ซ้ำไปซ้ำมานั่นเอง

ก่อนที่จะป่วยกายป่วยใจ เราลองมาเช็ก 7 สัญญาณเตือนนิสัยบ้างาน ( Workaholic ) กันก่อนนะคะ ว่าเราเริ่มที่จะใช้เวลากับงานมากไปแล้วหรือยัง เพราะการบ้างานมากเกินไป มีข้อเสียมากกว่าข้อดีเยอะเลยนะซิส


เช็ก 7 สัญญาณเตือนนิสัยบ้างาน มีอะไรบ้าง ?


สัญญาณเตือนนิสัยบ้างาน 1 ให้ความสำคัญกับงานมากกว่าเรื่องอื่นๆ

เริ่มต้นเช็กสัญญาณเตือนอาการบ้างานข้อแรกเลยดีกว่าค่ะ เพื่อนๆ ลองสังเกตดูสิว่าที่ผ่านมาให้ความสำคัญและทุ่มเทเวลาไปกับเรื่องงานมากกว่าเรื่องอื่นๆ ในชีวิตรึเปล่า? ถ้าคำตอบคือใช่… ก็มีโอกาสเป็น Workaholic ได้นะเพราะคนที่เสพติดการทำงานมักจะใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นวันจันทร์ - ศุกร์ วันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ หรือแม้แต่วันหยุดเนื่องในโอกาสพิเศษ / วันสำคัญต่างๆ แล้วให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นๆ น้อยกว่าเสมอโดยเลือกที่จะทำงานแทนการพักผ่อน ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ออกไปเที่ยว หรือทำกิจกรรมคลายเครียด เพราะชีวิตมีแต่คำว่างานอย่างเดียวเท่านั้นค่ะ


Workaholic สัญญาณเตือน 2 หอบงานกลับมาทำที่บ้านประจำ

ปกติแล้วพอถึงเวลาเลิกงาน มนุษย์ออฟฟิศก็ควรจะเก็บของกลับบ้าน เพื่อรีบไปพักผ่อนจากความเหนื่อยล้า หรือใช้เวลาส่วนตัวทำสิ่งต่างๆ ตามใจต้องการ แต่เหล่าคนบ้างานมักจะหอบงานกลับมาทำต่อที่บ้านเป็นประจำแทบทุกวันโดยบอกกับตัวเองว่า“ ขอทำงานต่อให้เสร็จอีกแค่นิดเดียว ”/“ ขอเช็กอีเมลสักหน่อย ”/“ ขอเพิ่มสไลด์งานแป๊บเดียว ”ฯลฯแต่พอเอาเข้าจริงงานเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นกลับกินเวลาไปหลายชั่วโมง จนทำให้นอนดึกและพักผ่อนไม่เต็มที่ แล้วต้องรีบตื่นเช้าไปทำงานต่อในวันถัดไปแบบเหนื่อยๆ เพลียๆซึ่งนิสัยบ้างานนี้อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานและสุขภาพได้นะเออ


นิสัยบ้างาน 3 เวลาไม่ได้ทำงานแล้วรู้สึกเครียด

คิดเหมือนกันมั้ยว่า“ ความเครียด ”กับ“ ชีวิตการทำงาน ”เป็นของคู่กันเลยนะ สำหรับคนทำงานคนอื่นๆ อาจรู้สึกเครียดเวลาที่มีงานกองอยู่บนโต๊ะเยอะๆ ได้รับมอบหมายให้ทำโปรเจกต์ใหญ่ หรือใกล้ช่วงเดดไลน์ที่ต้องส่งงาน แล้วรู้สึกโล่งใจหลังจากที่สะสางงานต่างๆ เหล่านั้นเสร็จแล้ว และหาเวลาพักผ่อนเพื่อชาร์จพลังให้กับตัวเองอีกครั้งแต่เหล่า Workaholic กลับรู้สึกเครียดและกระวนกระวายใจทุกครั้งที่ไม่ได้ทำงานไม่มีงานให้ทำ หรือมีเวลาว่างเหลือๆ หลังจากทำงานทุกอย่างเสร็จแล้วค่ะ เพราะคนที่เสพติดการทำงานมักจะจดจ่ออยู่แต่กับเรื่องงานจึงรู้สึกผิดเวลานั่งว่างจนต้องหางานมาทำเรื่อยๆ นั่นเอง


อาการคนบ้างาน 4 ถึงเวลาพักก็ยังคงนั่งทำงานต่อ

วิธีเช็กง่ายๆ ถ้าอยากรู้ว่าตัวเราเองหรือคนใกล้ตัวเสพติดการทำงานรึเปล่า… ก็สังเกตดูได้จากช่วงเวลาพักนี่แหละค่ะ หากใครนั่งทำงานไปด้วยกินข้าวกลางวันไปด้วย หรือแอบหยิบมือถือขึ้นมาเช็กอีเมล / แชทคุยเรื่องงานเวลาพักก็ฟันธงได้เลยว่าคนนั้นๆ เข้าข่ายเป็นคนบ้างานชัวร์ๆเพราะเหล่าคนบ้างานมักจะแยกเวลาส่วนตัวออกจากการทำงานไม่ได้ สะกดคำว่า“ พัก ”ไม่เป็น คิดว่าการทำงานอยู่ตลอดเวลาจะช่วยให้งานเสร็จเร็ว และเริ่มต้นทำงานชิ้นอื่นๆ ต่อได้ไวขึ้นซึ่งพฤติกรรมการโหมทำงานหนักโดยไม่พักแบบนี้ จะทำให้รู้สึกเหนื่อยหนักจากการทำงาน แล้วยังกระทบต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานด้วยนะ


อาการภาวะบ้างาน 5 คาดหวังว่างานทุกชิ้นต้องเพอร์เฟกต์

อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกอาการคนบ้างานก็คือความเป็น Perfectionist หรือรักความสมบูรณ์แบบค่ะด้วยความที่คนที่เสพติดการทำงานใช้เวลาไปกับเรื่องงานมากกว่าเรื่องอื่นๆ และทุ่มเทสุดตัวให้กับการทำงานแบบไม่หยุดพัก จึงทำให้ความคาดหวังในผลงานสูงขึ้นเรื่อยๆ และต้องการให้งานทุกชิ้นที่ทำออกมาสมบูรณ์แบบไร้ที่ติแล้วเมื่อไหร่ที่เกิดความผิดพลาดขึ้นก็มักจะโทษตัวเอง หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า เพราะเอาชีวิตไปผูกติดไว้กับการทำงานมากจนเกินไปนั่นเองค่ะ


นิสัยของWorkaholic 6 ทุ่มเททำงานเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี

บางคนที่เสพติดการทำงานอาจไม่ได้ทำเพราะรักงานมากๆ แต่ทุ่มเททำงานหนักเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีต่างหากค่ะ เพราะคิดว่าหากคนอื่นๆ เห็นว่าเรานั่งทำโอทีจนดึกจนดื่น กลับบ้านคนสุดท้ายเสมอ หรือทำงานเสร็จเร็วเหมือนเสกได้ ก็จะได้รับคำชื่นชนว่าเป็นคนขยันหรือเป็นคนสำคัญของทีมพอได้รับคำชมมากๆ แล้วรู้สึกดีและรู้สึกเหมือนได้การยอมรับ ก็อาจทำให้เสพติดคำชมจนอยากทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม โดยไม่สนใจว่าการทุ่มเททำงานสุดตัวจนเกิดเหตุ มันอาจจะทำลายสุขภาพหรือกระทบเวลาส่วนตัวค่ะ


สัญญาณเตือนภาวะบ้างาน 7 ทำงานหนักจนส่งผลต่อกระทบต่อสุขภาพ

และแล้วก็มาถึงสัญญาณเตือนอาการบ้างานข้อสุดท้าย ที่ถือเป็นเรื่องที่อันตรายต่อตัวเองมากๆ นั่นก็คือการทำงานหนักจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพค่ะเพราะคนที่เสพติดการทำงานอาจโฟกัสไปกับงานที่อยู่ตรงหน้า จนเผลอมองข้ามเรื่องสุขภาพร่างกายของตัวเองไปซะสนิท พอทำงานหนักและใช้สมองแบบไม่หยุดพักเป็นเวลานาน ก็อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาหลายอย่าง เช่น ปวดหัว นอนไม่หลับ หลงๆ ลืมๆ อาการออฟฟิศซินโดรม ฯลฯแล้วเวลาที่ตัวเองเกิดปัญหาสุขภาพหรือเจ็บป่วยไม่สบาย แต่ยังฝืนทำงานต่อเพราะไม่อยากลาป่วย ก็เข้าข่ายอาการ Workaholic ขั้นรุนแรงแล้วละ


บ้างานเกินไป ทำยังไงก่อนสายเกินแก้ ?

ก่อนอื่นเราต้อง ยอมรับและรับรู้ปัญหา ยอมรับว่าการที่เริ่มเพื่อน ๆ ทำงานมากไปจนกระทบกับเวลาชีวิต คือปัญหา เพื่อที่จะได้หาทางแก้ไขต่อไป โดยการแก้ไขสามารถเริ่มได้ง่าย ๆ จากวิธีที่ซิสรวมมาให้แล้ว 3 วิธี

  1. กำหนดขอบเขตและเวลาการทำงาน แบ่งเวลาใช้ชีวิตให้บาลานซ์มากขึ้น  ลองกำหนดชั่วโมงทำงานที่สามารถแบ่งเวลาไปให้การพักผ่อนหรือกิจกรรมอื่น ๆ ดูบ้าง เช่น ไปคาเฟ่ พักผ่อน ออกกำลังกาย 
  2. จัดการเวลาอย่างเป็นระบบ จัดตารางเวลาชีวิตของตัวเองให้ชัดเจน เช่น วันนี้จะเลิกงาน 18.00 น. และไปทานข้าว 18.30 น.ท ก็คือการทำให้ตารางมีความชัดเจนมากขึ้นกว่าแค่การแบ่งสัดส่วนเวลาคร่าว ๆ เพราะถ้าเรามีแพลนหลังเลิกงานต่อ ก็จะไม่มีสาเหตุให้ว่างไปทำ OT นั่นเองค่าา
  3. ออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างเพียงพอ ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายมากขึ้น โดยการกำหนดว่า ต้องออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะนอกจากจะช่วยให้เราบ้างานลดลง  ยังช่วยลดความเครียดได้ และการออกกำลังกายยังช่วยเรื่องการนอนหลับได้ด้วย  ถ้าเรานอนหลับเพียงพอ อย่างน้อย 7 - 9 ชั่วโมงต่อคืน ร่ายกายและจิตใจก็จะได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ด้วยนะคะ

・・・・・・

หลังจากที่ได้อ่าน สัญญาณเตือนนิสัยบ้างาน ไปจนครบทุกข้อและลองเช็กกับตัวเองดูแล้ว สรุปว่ามีเพื่อนๆ คนไหนที่มีแนวโน้มเป็น Workaholic บ้างรึเปล่าเอ่ย? ซึ่งการทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้ผลงานมีประสิทธิภาพ และได้ผลลัพธ์ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีนะคะ แต่หากชาวซิสทำงานหนักแบบไม่หยุดพักจนเกินขีดความสามารถของตัวเอง หรือให้ความสำคัญกับเรื่องงานเป็นอันดับหนึ่งจนมองข้ามเรื่องอื่นๆ ในชีวิตไป ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย เกิดความเครียดสะสม แล้วยังทำลายความสัมพันธ์กับคนรอบตัวให้ต้องห่างเหินกันไปด้วยนะ ทางที่ดีควรจัดการเวลาให้ดีๆ แบ่งเวลางานและเวลาส่วนตัวให้เหมาะสม แล้วต้องไม่ลืมหาเวลาพักผ่อนเพื่อชาร์จพลังให้กับตัวเอง จะได้มีแรงกายและแรงใจกลับมาทำงานต่ออย่างมีความสุขยังไงล่ะคะ ♥̩͙


เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้

🔮 ดูดวงกับ SistaCafe ผ่าน Line Official !
รูปภาพสำหรับป๊อปอัพลอย:1