มองโลกในแง่ดี VS มองโลกสวย


รูปภาพ:https://64.media.tumblr.com/6af723b0149c6d8b7c1eb9025f740e9d/9c81922a69b1ba70-2a/s540x810/e17171be84f41504b2a9576c35a7defe3f24bf6c.gifv

ฮัลโหลเพื่อน ๆ มา Talk Talk เมาท์มอยกันหน่อยค่าา

แบบว่าเพิ่งได้ดูซีรีส์ฮอตฮิต Wednesday มาแล้ว เลยคันปากอยากเมาท์สุด ๆ นอกจากจะประทับใจในเรื่องราว และ Mood and Tone

รูปภาพ:https://64.media.tumblr.com/6af723b0149c6d8b7c1eb9025f740e9d/9c81922a69b1ba70-2a/s540x810/e17171be84f41504b2a9576c35a7defe3f24bf6c.gif

หูยยยย ปากแซ่บไม่ไหวลูกสาวแม่ !!

เปิดบทความมาด้วยความปากแจ๋วของยัยน้องวันพุธเลยค่า คาดว่าเพื่อน ๆ ที่ดูซีรีส์เรื่อง Wednesday มาแล้ว

คงจะพอเดาได้ว่าบทความนี้เราจะชวนเพื่อน ๆ มา Talk Talk พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอะไร

แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องราวความแซ่บของยัยตัวแสบ Wednesday จากครอบครัว Addams อยู่แล้ว

เพรา

ะซีรีส์เขามาแรงไม่หยุด นอกจากจะเป็นภาคแยกของซีรีส์โด่งดังสุดฮอตฮิต

อย่าง The Addams Family

อีกหนึ่งกระแสที่หลายคนพูดถึงก็คือบุคลิกที่สุดแสนจะปากแจ๋วของยัยวันพุธ

กับการพูดความจริงได้ตรงสุด ๆ จนคนฟังใจเจ็บ

และความโบ๊ะบ๊ะในเรื่องก็คือคนโลกหม่นอย่างวันพุธ ดันต้องมาอยู่กับอีนิด น้องหมาป่าเล็บเจลที่สุดแสนจะสดใสโลกสวย

รูปภาพ:https://pbs.twimg.com/media/Figcty9XoAEk-Qd?format=jpg&name=medium

เรื่องราวที่เราจะชวน Talk ก็อิงมาจากประเด็นนี้ด้วยเหมือนกัน บทความนี้เราจะช

วนเพื่อน ๆ ไปพูดคุยล้วงลึกถึงมุมมองโลกหม่น vs โลกสวย 2 มุมมองที่ดูแตกต่างกันสุดขั้ว

หลายคนจะมองมุมโลกหม่นไปในแง่ร้ายทางลบ

แต่มุมโลกหม่นก็ยังมีข้อดีให้ได้นำมาปรับใช้ และถ้าเกิดติดกับดักโลกสวย มองโลกในแง่บวกมากจนเกินไป ก็อาจจะส่งผลกระทบในทางไม่ดีต่อเราได้เหมือนกัน

บทความนี้เลยจะ

ชวนเพื่อน ๆ Talk ถึงข้อดีและข้อเสียของมุมมองโลกสวย vs มุมมองโลกหม่น

ที่สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย จะเป็นยังไงลองตามไปดูกัน

ข้อดีและข้อเสียสำหรับโหมด "โลกสวย"


มาเริ่ม Talk กันถึงเรื่องของการมองโลกในแง่ดีก่อนเลย

ไม่ว่าใครก็คงอยากใช้ชีวิตด้วยการเป็นคนมองโลกในแง่ดีแหละเนอะ

จากผลการศึกษา งานวิจัย หรือตามหลักจิตวิทยาต่าง ๆ ก็ได้บ่งบอกเอาไว้ว่าการมองโลกในแง่ดี มีข้อดีมากมายที่ทำให้การใช้ชีวิตของเราเป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้

แต่การมองโลกในแง่ดี ก็ไม่ได้ดีเสมอไป!

ถ้าเกิดว่าเรามองโลกในแง่ดีจนเกินไป จน

อยู่ในโหมดโลกสวย พยายามปิดกั้นความทุกข์หรือความเศร้าที่เข้ามาในชีวิต จังหวะนั้นอาจจะกลายเป็นข้อเสียทำร้ายเราได้

ด้วย แล้วเราจะบาลานซ์การมองโลกในแง่ดีให้ไม่กลายเป็นโลกสวยได้ยังไง? ลองเทียบดูจากข้อดีและข้อเสียสำหรับโหมดโลกสวยที่เราจะชวน Talk ต่อไปกันได้ค่า

ประโยชน์และคุณค่า 5 ประการของคนมองโลกในแง่ดี ในวิกฤติการณ์เช่นนี้!

การมองโลกในแง่ดี คือ การมีความเชื่อ และความคาดหวังว่าจะเกิดสิ่งที่ดี แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ท้าทาย หรือคับขันก็ตามที คนที่มองโลกในแง่ดี จะได้รับประโยชน์ และคุณค่ามากมาย ดังต่อไปนี้ คือ

1.คนที่มองโลกในแง่ดี จะสามารถมองเห็นประโยชน์ และโอกาสที่ดีของวิกฤติการณ์ ปัญหา หรือ ความยากลำบากที่กำลังเผชิญ

2.คนที่มองโลกในแง่ดี จะสามารถเผชิญกับความท้าทาย หรือ รับมือกับโอกาสใหม่ๆด้วยความสุขุมมั่งคง

3.คนที่มองโลกในแง่ดี จะสามารถขจัด หรือลดผลกระทบที่เกิดจากความกลัว ความสงสัย และความวิตกกังวล ทั้งภายใน และภายนอก

4.คนที่มองโลกในแง่ดี จะสามารถแยกแยะ ความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดที่เรามีอยู่ เพื่อสร้างสรรค์ชีวิตตามที่ปรารถนา

5.คนที่มองโลกในแง่ดี จะสามารถทำใจให้ผ่องแผ้วอยู่เสมอแม้ว่าเราจะอยู่ในสภาวการณ์ที่ยากลำบาก


รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/47/b3/e2/47b3e22c2ac1becbaedd36807a6e0dc6.jpg

ความคิด และการตัดสินใจในสถานการณ์หนึ่งๆ ของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน ตามแต่ข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ รวมทั้งความเชื่อ และอคติ ที่คนนั้นๆ มีต่อสถานการณ์หนึ่งๆ  แน่นอนว่า ...

ถ้าการมองโลกในแง่ร้ายหมายถึงการมองสถานการณ์ให้เลวร้ายเกินจริง ทำให้หมดกำลังใจ ไม่กล้าตัดสินใจ ย่อมเป็นวิธีการมองโลกที่ไม่สมบูรณ์

แต่แม้การมองโลกในแง่ดีถ้าตีความว่าเป็นการมองสถานการณ์ให้ดีเกินจริง หรือหลอกตัวเอง ก็อาจทำให้เรามีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในการตัดสินใจ หรือไม่ก็อาจจะวางใจละเลย เพราะไม่เห็นปัญหาที่มีอยู่จริง

ดังนั้นการมองโลกตามความเป็นจริง โดยไม่หลอกตัวเองว่าดีแล้ว และก็ไม่หลอกตัวเองว่าแย่แน่ แต่รับรู้ทั้งข้อดีและข้อเสียตามที่เป็นจริง เห็นอุปสรรคปัญหาโดยไม่ปรุงแต่งให้หดหู่ และก็รู้โอกาส ศักยภาพที่มีโดยไม่ดูถูกตนเอง ย่อมทำให้บุคคลนั้นๆ มีจิตใจที่มั่นคง และมีข้อมูลให้ปัญญาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ในที่นี้ จะได้อภิปรายวิธีการวางใจ เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ตามความเป็นจริง โดยใช้คำว่า "การมองโลกในแง่ดี"  "การมองโลกในแง่ร้าย"  มาตีความใหม่ ให้สอดคล้องกับการมองโลกตามความเป็นจริง อย่างที่ พระอาจารย์มหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี) ได้อธิบายไว้ดังนี้

วิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี

ก็คือ การรู้จักมองหาคุณค่า หรือแง่ดี แง่งาม ท่ามกลางสภาวะที่ไม่พึงประสงค์ เช่น เมื่อตกอยู่ ท่ามกลางวิกฤติ ก็ให้รู้จักมองหาโอกาส หรือเมื่อต้องทำงานหนัก ก็ให้มองว่า งานหนักจะมาพร้อมกับความเชี่ยวชาญ หรือเมื่อต้องพบกับอุปสรรคมากมายในชีวิตก็ให้มองว่า นั่นคือการทดสอบ เมื่อสอบผ่านก็จะได้รับรางวัลก้อนใหญ่ หรือเมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็ให้คิดเสียว่า นั่นเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของคำแนะนำ หรือเมื่อต้องพบกับความผิดหวัง ก็ให้คิดเสียว่า เป็นวิธีที่ธรรมชาติกำลังมอบภูมิต้านทานในการดำรงชีวิต

การมองโลกในแง่ดี มีข้อดีก็คือ ทำให้เรารู้จักหาประโยชน์จากสิ่งที่ไร้ประโยชน์ หาสุขจากทุกข์ หาข้อดีท่ามกลางข้อเสีย การมองเช่นนี้ จะส่งผลให้มีกำลังใจในการสู้ชีวิตเหมือนที่มหาตมะ คานธี ถูกจับโยนลงจากรถไฟในแอฟริกาใต้ ในเวลาต่อมาท่านเล่าว่า เหตุการณ์เลวร้ายคราวนั้น ทำให้ท่าน "รู้จักคิด" จนท่านกล่าวว่า "ประสบการณ์ที่สร้างสรรค์ที่สุด มักเกิดจากบทเรียนที่เจ็บปวดที่สุด" การรู้จักมองโลกในแง่ดี จึงทำให้มีแรงบันดาลใจในการเผชิญหน้ากับความยุ่งยากของชีวิตได้เป็นอย่างดี

เหตุผลที่ 1 การมองโลกในแง่ดี ทำให้เรามีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีมาก

Seligman ได้ศึกษาข้อแตกต่างระหว่างคนที่มีความสุขมากๆ กับคนปกติทั่วไป ผลการศึกษาพบว่า มีความแตกต่างอยู่อย่างเดียว คือ คนที่มีความสุขในระดับสูงจะมีความสัมพันธ์ทางสังคมในระดับที่ดีตามไปด้วย เมื่อศึกษาถึงเหตุปัจจัยยังพบอีกว่า คนที่มีความสุขมากๆ มักจะเป็นผู้ที่มองโลกในแง่ดี และนิยมทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ผู้คนเหล่านี้จะเป็นที่ชื่นชอบและเป็นที่รักของคนรอบข้าง

เหตุผลที่ 2 การมองโลกในแง่ดี ทำให้เรามีความรื่นรมย์ในชีวิต

คำว่า “ความรื่นรมย์ในชีวิต” หมายถึง การมีความสบายใจในการใช้ชีวิต ถ้าอธิบายให้เห็นภาพก็ประมาณว่า เราสามารถใช้ชีวิตโดยไม่มีความกังวล ใช้ชีวิตโดยปราศจากความระแวง และใช้ชีวิตโดยไม่รู้สึกกลัว ซึ่งคำอธิบายทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลมาจาก “การมองโลกในแง่ดี” เพราะการมองโลกในแง่ดีจะทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตยังมีหวัง ชีวิตยังมีความสดใส ชีวิตยังน่าใช้ และโลกยังน่าอยู่ โดย Seligman ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ชีวิตที่รื่นรมย์ จะเป็นชีวิตที่มีความสนุกสนาน เป็นชีวิตที่มุ่งตอบสนองความเพลิดเพลิน และแผ่ขยายอารมณ์ทางบวกนั้นออกไปสู่ผู้คนรอบข้าง ทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกสดใสและมีความสุขไปด้วย

เหตุผลที่ 3 การมองโลกในแง่ดี ทำให้เราทุ่มเทมากยิ่งขึ้นการมองโลกในแง่ดี จะทำให้เรามองเห็น “จุดแข็ง” ของตัวเราเอง และเมื่อเราได้รู้จักจุดแข็งของเรา เราจะสามารถดึงจุดแข็งนั้นมาเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตของเราได้ ทั้งเรื่องการเรียน การงาน การสร้างความสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งการอยู่กับตัวเอง เหตุนี้เองจึงส่งผลให้คนที่มองโลกในแง่ดี มีแนวโน้มที่จะทุ่มเทในการใช้ชีวิต โดยนำเอาจุดแข็งมาเป็นที่ตั้ง หรือเป็นอาวุธในการใช้ชีวิต เพราะเชื่อมั่นในข้อดีที่ตนเองมี และเชื่อว่าจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดีจากข้อดีหรือจุดแข็งของตนเอง ถึงแม้บางครั้งเราจะไม่ประสบผลในการทุ่มเท แต่เชื่อเถอะค่ะว่าเราจะภูมิใจว่าเราได้เต็มที่กับสิ่งที่เราทำแล้วเหตุผลที่ 4 การมองโลกในแง่ดี ทำให้ชีวิตมีความหมายชีวิตที่มีความหมาย ถือว่าเป็นความสุขในรูปแบบที่มักได้รับยกย่องว่ามีคุณค่าสูงสุด คำว่าความหมายในที่นี้ คล้ายกับคำว่าความอิ่มเอิบหรืองอกงามทางจิตใจ ซึ่งประกอบด้วยการรู้ว่าอะไรคือจุดแข็งของเรา แล้วก็ใช้มันเพื่อเข้าถึง เป็นส่วนหนึ่ง และสร้างประโยชน์แก่บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง เช่น มนุษยชาติ ศาสนา จิตวิญญาณซึ่งจากผลการวิจัยของ Seligman พบว่า คนเราจะมีความสุขและภาคภูมิใจมากที่สุดหากบรรลุความหมายของชีวิต และการมองโลกในแง่ดีจะเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เรามีพลังในการแสวงหาความหมายของชีวิต เพราะมีความศรัทธาว่า เราจะสามารถสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมได้ และมีความหวังที่งดงามว่า เรานี่แหละที่จะสามารถเปลี่ยนโลกได้

ข้อดีของการมองโลกสวย


☺ วิถีมองโลกสวยช่วยรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น

สำหรับข้อนี้มีผลจากการศึกษาออกมาเลยว่าคนที่คิดบวก

ะมีฮอร์ความเครียดคอร์ติซอล ( Cortisol ) อยู่ในระดับที่ค่อนข้างเสถียร และตอบสนองและรับมือต่อความเครียดได้ดีกว่า

และยังมีการศึกษาพบว่าการมองโลกในแง่บวก ช่วยบรรเทาอาการปวดและช่วยบรรเทาอาการป่วยได้ด้วย

เนื่องจากฮอร์โมนความสุขที่ทำงานได้ดีมากกว่า และคนที่คิดบวดจะมีแนวโน้มเปิดใจรับการรักษาพยาบาลได้มากกว่า

และเมื่อเราไม่ค่อยมีความเครียด มีความสุขมากยิ่งขึ้น ก็จะส่งผลต่อสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายให้ดีขึ้นด้วย การมองโลกในแง่บวกเลยมีอีกหนึ่งข้อดีคือช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างยืนยาว

อีกด้วย


☺ วิถีมองโลกสวยช่วยให้ความสัมพันธ์ต่อสังคมดีมากขึ้น

สำหรับข้อนี้ก็มีข้อมูลจากผลการศึกษามาแล้วด้วยเหมือนกัน จากผลการศึกษาพบว่าผู้คนที่มองโลกในแง่ดี

คนที่มีความสุขมาก ๆ มักจะมีไลฟ์สไตล์และชอบทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้ดี และคนรอบข้างก็มักจะเข้าหาคนที่มองโลกในแง่บวกด้วยเหมือนกัน เพราะบุคลิกและทัศนคติที่ดูสดใส สามารถเติมพลังความสุขให้กับผู้คนรอบข้างได้อย่างดี

วิธีมองโลกสวยเลยมักจะเป็นที่รักของผู้คนรอบข้างอีกด้วยนะ


☺ วิถีมองโลกสวยช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างทุ่มเท และมีความหมายมากขึ้น

การคิดบวกไม่ได้มองแค่โลกในแง่ดีเท่านั้น

แต่รวมไปถึงการมองตัวเองในแง่ดีอีกด้วย และเมื่อเราได้มองเห็นมุมดี ๆ ของตัวเอง มองเห็นมุมที่เป็นจุดแข็งของเรา ในตอนนั้นเราจะรู้สึกรักตัวเองยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มความมั่นใจขึ้นมาได้ด้วย

ส่งผลให้เราเริ่มอยากใช้ชีวิตอย่างทุ่มเทกับสิ่งที่ทำ และมีเป้าหมายชัดเจนในการใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่การอยู่เพื่อใช้ชีวิตไปวัน ๆ ทำให้ชีวิตมีความหมายยิ่งขึ้น

รูปภาพ:https://64.media.tumblr.com/ad28ceb01f3a11fa2cfb5f3b45dfa7b7/a5f1f7deae9fd014-40/s540x810/e0396acce6205b29079a3c08f0a3fa6d1e7319b2.gifv

ข้อเสียของการมองโลกสวย

ข้อดีของการมองโลกหม่น

1.ไม่คิดเข้าข้างตัวเอง!

ในบางครั้งเราอาจมั่นใจจนเกินไป หรือจนเกินเหตุ ทำให้เรากล้าทำอะไรอย่างบ้าบิ่น

หรือสุดโต่ง โดยที่ไม่กลัวหรือคาดไม่ถึงถึงคำวิจารณ์หรือกระแสตอบรับอันแย่กลับมา

ในบางทีเมื่อเรามั่นใจจนเกินเหตุ ก็อาจผยองได้ และพอเราได้ FeedBack เลวร้ายกลับมา

มันอาจทำให้เรา Down ลงอย่างน่าตกใจ เพราะเราไม่ได้เตรียมใจหรือนึกถึงความพายแพ้

ตรอมใจมาก่อนเลย แต่ถ้าเรารู้จักถ่อมตัวเสียบ้างบ้างเช่น คิดว่า ผลงานหรือ สิ่งนี้ของเราอาจ

ไม่ใช่ผลงานที่จะเข้าตาเขาหรอก แต่อย่างน้อยก็ทำเต็มที่แล้ว นี่แหละถึงเราจะคิดลบเกี่ยวกับ

ผลงานเราไปบ้าง แต่มันก็ทำให้เรารู้จักถ่อมตนไม่อวดดีจนเกินไป และเมื่อผลตอบรับออกมาไม่ดี

คุณอาจไม่เสียใจกับมันมากนัก เพราะเหมือนกับเข้าใจ และทำใจไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น

คุณอาจทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนที่ผลจะออกมาแล้ว และเมื่อผลออกมาคุณจึงทำใจ

ยอมรับมันได้ดี นั้นคือข้อดีของมัน แต่ถ้าหากผลนั้นออกมาดี ก็ให้ถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่ดี

ไปการที่เราไม่ได้คาดหวังแต่กลับได้ผลตอบรับที่ดี มันจะทำให้เราชื่นใจและดีใจเป็นกำลังใจต่อไป

อย่างมากเลยแหละ การไม่เข้าข้างตนเองจนเกินไป ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นเป็นที่ยอมรับและ

ทำใจได้ดีสำหรับตัวเราเองถึงแม้ว่าผลจะเป็นลบก็ตาม


☺ วิถีมองโลกสวยเกินไป ทำให้รับมือความเป็นจริงไม่ได้

สำหรับคนที่มองโลกบวกที่ส่วนใหญ่มักจะมองในมุมที่มีแต่ความสุขสมหวังมาก่อนเสมอ เลยอาจจะ

มีบางครั้งที่เผลอคาดหวังมากเกินไป คิดว่าสิ่งที่หวังหรือสิ่งที่ทำจะต้องออกมาดีสวยงามเหมือนที่คาดการณ์เอาไว้ แต่พอลัพธ์ในความเป็นจริงมันออกมาไม่ตรงกับความคาดหวัง ก็อาจจะทำให้เกิดความผิดหวัง และสูญเสียความมั่นใจไปได้ จนกลายเป็นโทษตัวเองหรือด้อยค่า

ตัวเอง

2.มีข้อจำกัดในตนเอง!

การขีดเส้นไว้ให้ตัวเอง หรือตั้งแง่กับตัวเองไว้ว่า เราทำได้เท่านั้นเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว บางครั้งอาจฟังดูแย่

แต่มันทำให้เรารู้Limitของตัวเอง และกำลังที่เราจะสามารถทำได้ ไม่ใช่ใครสั่งอะไรก็รับปากและทำได้ทุกอย่าง

เพราะกลัวเขาจะไม่ชื่นชมหรือดูถูกความสามารถเอา บางทีก็เหมือนแบกหาม เราต้องคิดบ้างว่าเราทำได้

เพียงเท่านี้และมันคือ Limit ที่เรามี ไม่ทำเกินกำลัง เหมือนกับไฟมาเติม แต่เชื้อเพลิงไม่มีเพราะเราไม่เคย

ตุนเชื้อเพลิงใว้ให้ตัวเองเลยไงล่ะ และ ในบางครั้งหากทำมากไปหรือมากไปกว่ากำลังหรือมันสมองที่มี

มันอาจจะเกิดทุกข์ต่อตัวเราเองได้ โดยที่กว่าเราจะรู้ตัว ก็อาจสายไปเสียแล้ว เราควรรู้จักตนเองให้มาก

และขีดเส้น Limit หรือข้อจำกัดของตัวเองให้ดี และรู้จักปฏิเสธให้เป็นเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า

3.คาดหวังน้อยลง!

สืบเนื่องจากทุกๆข้อที่ได้กล่าวมาแล้ว ในที่นี้หรือสิ่งที่เรากำลังพูดถึง ถ้าสังเกตดูดีๆ มันคอยบอกให้

เราคาดหวังน้อยลงจริงไหม? การคาดหวังน้อยลงทำให้เรามีสติมากขึ้น และยอมรับความจริงมากขึ้นอีกด้วย

เมื่อเราลดทุกอย่างให้น้อยลง เราจะมองเห็นอะไรมากขึ้น แต่ถ้าเรามองทุกอย่างเป็นบวกเกินไป เราอาจไม่เข้าใจ

วิถีของธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ทุกอย่าง


4.แก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง!

เมื่อเรามองบางสิ่งเป็นลบหรือในแง่ร้ายดูบ้าง เราจะเห็นปัญหาอย่างแท้จริง และอาจเห็นปัญหามากว่า

ที่เป็นอยู่ ประโยชน์ของมันคือ เราสามารถรับรู้ถึงปัญหาของมันได้อย่างถี่ถ้วนมากๆ และอาจมองเห็นปัญหา

ที่จะเกิดได้อนาคตจากการคิดล่วงหน้าหรือ การคิดไปก่อนหรือคิดไปเองตามที่ใครชอบพูดหรือ

ชอบว่าเรา ว่า “คิดไปก่อนอีกแล้ว!”จริงๆแล้วมีข้อดีอยู่มหาศาล การคิดไปก่อนก็เหมือนกับการคิดล่วงหน้า

การวางแผนวางแพลนล่วงหน้า รวมไปถึง การเตรียมรับมือกับผลที่จะเกิดได้ขึ้นได้เป็นอย่าง ดี และ

Professional เลยทีเดียวแหละหรือรวมไปถึงการคิดแทนผู้อื่น ใครว่าการคิดว่าการคิดแทนผู้อื่นไม่ดีเสมอไป

การคิดแทนผู้อื่น คือการวิเคราะห์เชิงลึกและประเมิณว่าเขากำลังคิดอะไร ต้องการอะไร และเราสามารถแก้ไข

ได้อย่างไร จากความต้องการเขา เหมือนกับการที่เราต้องเอาตัวเราไปสวมในตัวเขาดูเลยก็ว่าได้

แล้วมองออกมา และสิ่งนี้อาจเปรียบได้เหมือนการวิเคราะห์การตลาดหรือกลุ่มลูกค้าเลยละ ฮ่าๆ

มันคือการคิดแบบอาศัยหลักจิตวิทยาไงล่ะ การที่เราผวงกับางสิ่ง ทำให้เราต้องการค้นหาคำตอบ หรือ

เหตุผลที่อยู่ในใจผู้นั้น เพื่อเติมเต็มข้อมูลที่ขาดหายไปของเรา และสุดท้ายการพิชิตใจคนเหล่านั้น

จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป! จะว่าไปสิ่งเหล่านี้มีข้อดีมีอยู่เพี๊ยบเลยนะ การคิดไว้ก่อนหรือคิดล่วงหน้า

เปรียบเสมือนคนมีแผนการ และมีเป้าหมายรู้จักจัดการกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นปัญหา หรือ

เรื่องดีๆก็ตาม เฉกเช่นเดียวกับการคิดแทนผู้อื่น เพียงแต่คุณต้องนำมาใช้ให้เป็นและเกิดประโยชน์สูงสุด

(และอย่าสร้างความรำคาญให้ใครแล้วกัน ฮ่าๆ)

☺ วิถีมองโลกสวยเกินไป กลายเป็นมองตัวเองเหนือกว่าคนอื่น

อย่างที่ได้บอกไปว่าข้อดีของการมองโลกในแง่ดี จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเราเองมากยิ่งขึ้น

แต่ความมั่นใจที่มากเกินพอดี ก็กลายเป็นกับดักทำร้ายเราได้เหมือนกัน เพราะบางทีในเวลาที่เราเชื่อมั่นตัวเองมากเกิน มั่นใจเกินร้อยคิดว่าตัวเองมีความสามารถเก่งกาจพอแล้ว

ทุกอย่างต้องออกมาดีเหมือนที่เรามองโลกสวยงามตลอด

มันอาจจะทำให้เราละเลยลืมวางแผนรับมือกับปัญหา และปิดกั้นการพัฒนาตัวเองไปด้วย

​​​การมองเรื่องบางเรื่องในแง่ลบไม่ได้เลวร้ายเสมอไป ในบางเรื่องที่ดูเป็นบวกอาจไม่สดใสอย่างใจคิด

เราอาจเติมความลบลงไปในคำว่าบวกก็จะเกิด Balance ตรงกลาง ที่เรียกว่า ความพอดี หรือ โลกแห่งความเป็นจริง

โลกแห่งความเป็นจริง คือสิ่งที่ดีที่สุดของการใช้ชีวิตของมวลมนุษย์ เรารับรู้มองเห็นและแก้ปัญหา

ไม่ใช่การอยู่เหนือปัญหาในทุกๆครั้งไป โลกแห่งความเป็นจริงอาจไม่ใช่ทั้งบวก หรือ ลบ เสียทีเดียว

แต่มันคือการทำสิ่งๆหนึ่งให้ถูกต้องบนพื้นฐานแห่งความจริงและหาทางออกให้ชีวิตอย่างสมเหตุสมผลและ

มีสมดุลย์ พร้อมกับความพอดี หรือทางสายกลางนั้นเอง

วิธีคิดแบบมองโลกในแง่ร้าย

ก็คือ การมองเห็นแต่จุดด้อยของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมักเกิดขึ้นจากความกังวลจนเกินเหตุ แต่วิธีคิดแบบนี้มีจุดแข็งก็คือ ทำให้เกิดการเฝ้าระวังในสิ่งที่กำลังคิดหรือทำอยู่ แต่จุดอ่อนก็คือ หากวิตกมากเกินไปก็ทำให้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ในคน หรือสิ่งต่าง ๆ ในแง่จิตใจก็ทำให้จิตใจหดหู่ ท้อแท้หรือจิตตก ไม่มีกำลังใจในการลุกขึ้นมาทำอะไร หรือบางกรณีทำให้เป็นคนที่ยอมจำนนต่อปัญหา ยอมแพ้ต่ออุปสรรคทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ใช้ความเพียรพยายามอย่างถึงที่สุด

วิธีคิดแบบมองโลกตามความเป็นจริง

ก็คือ การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมา ไม่สุดโต่งไปด้านดี หรือด้านร้ายตามความรู้สึกที่ตนคิดเอาเอง แต่เป็นการมองลงไปตรง ๆ ยังตัวปัญหาที่อยู่ตรงหน้าด้วยปัญญาที่เป็นกลาง แล้วใช้ปัญญาที่เป็นกลางนั้น แสวงหาวิธีแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้มีอยู่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ หรือปัญญาชนที่รักการใช้เหตุผลอย่างบริสุทธิ์ใจ ผลของวิธีการ มองโลกตามความเป็นจริงก็คือ สามารถแก้ปัญหาชีวิตได้จริงอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่อยู่กับความหวังมากเกินไปเหมือนการมองโลกในแง่ดี ไม่วิตกมากเกินไปจนไม่กล้าทำอะไรเหมือนการมองโลกในแง่ลบ แต่เป็นการอยู่กับความจริงที่เป็นจริงด้วยปัญญาแท้ ๆ และแก้ปัญหาชีวิตไปบนพื้นฐานข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา

 วิธีคิดแบบมองโลกตามความเป็นจริง เป็นวิธีคิดหลักอย่างหนึ่งของพุทธศาสนา ซึ่งเรามักจะได้ยินผ่านวลีที่ว่า "จงมองโลกอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น" ในวิธีคิดสามแบบนี้ วิธีคิดแบบที่สามนับว่ามีประโยชน์มากที่สุด เพราะเป็นวิธีคิดที่มุ่งแก้ปัญหาโดยไม่ก่อ ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง พูดอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นวิธีดับทุกข์ ไม่ใช่แค่กลบทุกข์

ข้อเสียของการมองโลกหม่น

การคิดลบ มองโลกในแง่ร้าย ส่งผลเราอย่างไร

การ คิดลบ มองโลกในแง่ร้าย นั้นส่งผลต่อการทำงานของสมอง จากการศึกษาพบว่า การคิดลบ นั้นส่งผลกระทบต่อวิธีการคิด การตอบสนอง และความรู้สึก ซึ่งผลกระทบจากการคิดลบเหล่านี้ ก็จะส่งผลต่อความสัมพันธ์และการตัดสินใจของเราอีกด้วย

ความสัมพันธ์

การคิดลบ มองโลกในแง่ร้ายนั้น อาจส่งผลกรทบต่อความสัมพันธ์ เพราะการคิดลบ มองโลกในแง่ร้าย ที่เรามีหรือเป็นอยู่ประจำนั้น จะส่งผลให้เรามองคนอื่นที่ได้พบในชีวิตของเราในแง่ร้ายเช่นกัน โดยเฉพาะคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรา เราก็จะมองพวกเขาในแง่ลบเช่นกัน เช่น เมื่อคุณกับแฟนมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน แต่คุณก็มักจะเลือกมองแต่ในแง่ลบ โดยไม่ฟังเหตุผลที่แท้จริงของการกระทำของแฟนคุณเลย ซึ่งการคิดลบแบบไม่มีเหตุผล ก็จะนำไปสู่การโต้เถียง การทะเลาะกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นความล้มเหลวของความสัมพันธ์

การตัดสินใจ

อคติในเชิงลบ นั้นมีผลต่อการตัดสินใจ งานวิจัยของ Kahneman และ Tversky ที่ได้รับรางวัลโนเบลพบว่า เมื่อคนเราต้องตัดสินใจ คนเรามักจะให้น้ำหนักกับความคิดในเชิงลบมากกว่าความคิดในเชิงบวก ซึ่งความคิดในแง่ลบนั้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจในการเลือกบางสิ่งบางอย่าง เช่น การที่เราต้องเลือกหรือตัดสินใจในการทำบางสิ่งบางอย่าง ความจริงแล้วโอกาสนั้นอาจจะออกมาดีหรือร้ายก็ได้ แต่เมื่อเราเป็นคนมองโลกในแง่ลบ ก็คิดไปแล้วว่าสิ่งที่จะทำนั้นไม่คุ้มเสีย ซึ่งการมีความคิดเช่นนี้อาจทำให้เราสูญเสียโอกาสในการทำบางสิ่งบางอย่างไป เพราะการตัดสินใจที่https://hellokhunmor.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99/%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94/

☺ วิถีมองโลกสวยเกินไป มักจะตกเป็นเหยื่อ ถูกคนอื่นหลอกได้ง่าย

ด้วยความที่วิถีคนมองโลกในแง่ดีเกินไป

มักจะมองทุกอย่างคือความดีงาม และอาจจะทำให้มองคนที่เข้ามาในแง่ที่ดีไว้ก่อน เปิดใจและไว้ใจทุกคน จนไม่รู้ว่าความต้องการที่แท้จริงของคนนั้น ๆ คืออะไร

ทำให้อาจจะตกเป็นเหยื่อหรือถูกหลอกได้ง่าย


ข้อดีและข้อเสียสำหรับโหมด "โลกหม่น"


มา Talk กันต่อทางฝั่งของโหมดโลกหม่นกันบ้าง

สำหรับการมองโลกค่อนข้างไปในทางหม่น ๆ มัว ๆ มองเห็นจุดด้อยของสิ่งต่าง ๆ มากกว่า อาจจะทำให้เกิดความวิตกกังวลต่อปัญหาและสถานการณ์รอบตัวมากกว่าคนอื่น

มักจะนึกถึงเหตุการณ์ในด้านลบมาก่อน

เลยมีความระแวดระวังมากกว่าคนทั่วไป แต่ในความหม่นก็ยังมีข้อดีอยู่เหมือนกันนะ และน่าจะเป็นข้อดีที่สามารถหยิบมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย

ส่วนจะเป็นยังไงลองตามไป Talk กันต่อจากข้อดีและข้อเสียของการมองโลกหม่นกัน

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/47/b3/e2/47b3e22c2ac1becbaedd36807a6e0dc6.jpg

‘Positive Illusions’ คืออะไร?

คือการคิดบวกที่ไม่คำนึงถึงความเป็นจริง เป็นการหลอกลวงตัวเองว่าสิ่งต่างๆ จะต้องเป็นไปในทิศทางที่ดี หรือเข้าข้างตนเองเพื่อทำให้ตนเองรู้สึกดี มีความมั่นใจ และไม่วิตกกังวล ความคิดเช่นนี้ จึงเป็นเหมือนภาพมายาที่ปิดบังและหลอกเราให้หนีห่างจากความเป็นจริงนอกจากนี้ Taylor และ Brown ยังได้จำแนก ‘Positive Illusions’ ออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน1) Illusory Superiority: การคิดว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น เก่งกว่าคนอื่น2) Optimism Bias: การคิดว่าโลกนี้มีแต่สิ่งดีๆ มันจะมอบสิ่งดีๆ ให้เราเสมอ3) Illusion Of Control: การคิดว่าตนเองสามารถควบคุมทุกสิ่งอย่าง อะไรๆ ก็สามารถเป็นแบบในทิศทางที่ตนเองอยากให้เป็นได้จากที่กล่าวมาทั้ง 3 ประเภทนี้ เราสามารถเป็นได้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเป็นได้ทั้ง 3 ประเภทพร้อมกัน

‘Positive Illusions’ ส่งผลเสียต่อเราอย่างไร?

เมื่อเราค้นพบว่า ฝันที่เราวาดไว้ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง พบว่าตัวเองไม่ได้เก่งอย่างที่คิด เราจะรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง รับความจริงไม่ได้ และอาจทำให้เราเสียความมั่นใจในตนเอง ความฝันที่สวยหรูเกินไป เมื่อมันแตกสลาย เหมือนกับการที่เราไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวจิตใจ จนทำให้เรารู้สึกไม่มีคุณค่าในตัวเอง ด้อยค่าตัวเอง และโทษตัวเองในที่สุด

ข้อเสียต่อมาของ Positive Illusions คือ มันจะทำให้เรากำหนดเป้าหมายและดำเนินการไปในทิศทางที่มีแนวโน้มว่าจะล้มเหลวมากกว่าประสบความสำเร็จ เพราะเราคิดว่าตนเองมีความสามารถ และเชื่อว่ามันต้องออกมาดี เราจึงปิดกั้นที่จะพัฒนาตัวเอง ไม่กังวลที่จะหาแผนรับมือ สิ่งนี้จึงเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เราพลาดไปอย่างน่าเสียดาย เพราะเราดัน ‘มั่นใจในตัวเองเกินไป’

ข้อดีของการมองโลกหม่น

‘Positive Illusions’ ส่งผลเสียต่อเราอย่างไร?

เมื่อเราค้นพบว่า ฝันที่เราวาดไว้ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง พบว่าตัวเองไม่ได้เก่งอย่างที่คิด เราจะรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง รับความจริงไม่ได้ และอาจทำให้เราเสียความมั่นใจในตนเอง ความฝันที่สวยหรูเกินไป เมื่อมันแตกสลาย เหมือนกับการที่เราไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวจิตใจ จนทำให้เรารู้สึกไม่มีคุณค่าในตัวเอง ด้อยค่าตัวเอง และโทษตัวเองในที่สุด

ข้อเสียต่อมาของ Positive Illusions คือ มันจะทำให้เรากำหนดเป้าหมายและดำเนินการไปในทิศทางที่มีแนวโน้มว่าจะล้มเหลวมากกว่าประสบความสำเร็จ เพราะเราคิดว่าตนเองมีความสามารถ และเชื่อว่ามันต้องออกมาดี เราจึงปิดกั้นที่จะพัฒนาตัวเอง ไม่กังวลที่จะหาแผนรับมือ สิ่งนี้จึงเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เราพลาดไปอย่างน่าเสียดาย เพราะเราดัน ‘มั่นใจในตัวเองเกินไป’

☻ วิถีมองโลกหม่น ทำให้เป็นคนไม่คิดเข้าข้างตัวเอง คาดหวังน้อยลง

เวลามองโลกหม่นเรามักจะนึกถึงเหตุการณ์ด้านลบมากกว่าด้านบวก บางทีก็มักจะนึกถึง worst case ที่จะตามมาเป็นไปหมด จนเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจ วิตกกังวลหรือกังวลใจขึ้นมา แต่ในความกังวลนั้นก็มีข้อดีที่

ทำให้เราเผื่อใจ ไม่มั่นเกินหรือคิดคาดหวังเข้าข้างตัวเองมากเกินไป การมองโลกในด้านลบไปก่อน เหมือนเผื่อเวลาให้ทำใจเตรียมรับมือกับปัญหาเอาไว้ เวลาผิดหวังขึ้นมาจะได้ไม่เสียใจมาก


☻ วิถีมองโลกหม่น มีข้อจำกัดในตัวเอง ช่วยพัฒนาตัวเองต่อได้

วิถีของคนโลกหม่นในบางทีมักจะมีข้อจำกัดที่ขีดเส้นไว้ให้ตัวเอง

ชอบนึกไปว่าเราอาจจะทำสิ่งนั้น หรือสิ่งนี้ได้ไม่ดีพอ ถึงแม้ในสายตาคนไฟท์มันอาจจะไม่สู้ชีวิตพอ แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง ความคิดเหล่านี้ก็เป็นตัวช่วยที่ทำให้เรารู้ขอบเขตและความสามารถของตัวเองด้วยเหมือนกัน

เมื่อเรารู้ว่าเราด้อยในจุดไหน หลังจากนี้เราก็จะได้พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นได้

☻ วิถีมองโลกหม่น ทำให้มองเห็นปัญหาได้ชัด

ลักษณะของวิถีโลกหม่นมักจะมองโลกในทางลบมากกว่า ทำให้ไม่คาดหวังกับอะไรมากเกินไป บวกกับความวิตกกังวลเมื่อเจอกับสถานการณ์ต่าง ๆ มักจะคิดสถานการณ์สมมุติในทางเลวร้ายเอาไว้มากมาย

ซึ่งการคิดไปเองก่อนก็เหมือนกับการวางแพลนล่วงหน้า เตรียมใจรับมือกับปัญหา เมื่อเจอกับปัญหาวิถีคนมองโลกหม่นจะไม่ค่อยบิดเบือนปัญหา และจะยอมรับความจริงได้ง่ายกว่า

ทำให้เรามองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างตรงจุด และสามารถแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาให้คลี่คลายลงได้

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/5e/b4/a2/5eb4a271220f7e94021765aa492fd581.jpg

ข้อเสียของการมองโลกหม่น

☻ วิถีคนมองโลกหม่นเกินไป ส่งผลกระทบไม่ดีในความสัมพันธ์

ในขณะที่มองโลกหม่นมันอาจจะไม่ได้หม่นแค่กับสภาพแวดล้อม แต่อาจจะรวมไปถึงการมองผู้คนรอบข้างหม่นไปด้วย ซึ่งปัญหานี้มันอาจจะ

ทำให้เราไม่เปิดใจต่อคนอื่น ๆ ที่เข้ามาทำความรู้จัก หรืออาจจะเผลอ Toxic ต่อคนใกล้ตัวไปด้วย ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่มีปัญหากันเกิดขึ้น แต่เรามักจะเลือกมองแต่ในแง่ลบไปก่อน โดยไม่นึกถึงหรือฟังเหตุผลที่แท้จริงของเขา

อาจจะนำไปสู่การทะเลาะ ถกเถียง ส่งผลให้เกิดความล้มเหลวในความสัมพันธ์ได้

รูปภาพ:https://media.giphy.com/media/oxtHJvL6UCDvi/giphy.gif

☻ วิถีคนมองโลกหม่นเกินไป ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจ

สำหรับข้อนี้มีการศึกษาสรุปเป็นผลของงานวิจัยมาเลยว่า ความคิดและอคติในเชิงลบจะส่งผลต่อการตัดสินใจ เพราะวิถีมองโลกหม่นมักจะให้น้ำหนักกับความคิดเชิงลบมากกว่าความคิดเชิงบวก

ซึ่งความคิดในแง่ลบเหล่านั้นมีแนวโน้มส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกอะไรบางอย่างไปด้วย คนมองในแง่ลบมักจะคิดไปก่อนว่าการทำสิ่งนั้นสิ่งนี้มันไม่คุ้มที่จะลอง เลยหยุดมันไว้แค่นั้นไม่ไปต่อ บางทีมันอาจจะทำให้พลาดโอกาสดี ๆ

สูญเสียโอกาสในการทำอะไรบางอย่างไปด้วย

รูปภาพ:https://64.media.tumblr.com/87f2164d8d18925119f04698c5ba32f8/9c81922a69b1ba70-f6/s540x810/25a0260efaa7ae6ab7098af1d049d24cdd561c36.gif

☻ วิถีคนมองโลกหม่นเกินไป ส่งผลกระทบต่อจิตใจ ทำให้เกิดความวิตกกังวล

จากข้อดีของการมองโลกหม่น ที่มักจะคิด worst case สถานการณ์เลวร้ายต่าง ๆ นานาเอาไว้มากมาย

ถึงจะเป็นข้อดีที่ทำให้เราเตรียมใจต่อความผิดหวังและรับมือกับปัญหาได้ แต่ถ้าเกิดเราไม่สามารถปล่อย และคิดเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นซ้ำ ๆ อาจจะส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้เกิดความเครียด และวิตกกังวล

ขึ้นมาได้


รูปภาพ:https://64.media.tumblr.com/be2490c83eb554937a96ab89fce2cc63/9c81922a69b1ba70-76/s540x810/3a3a1cb64cde48ebd11e74aafc8cda31ae7235e0.gifvรูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/31/0b/4a/310b4aabb98c8eacc39029c4af405273.jpg

และนี่ก็คือ

ข้อดีและข้อเสียจาก 2 มุมมองโลกหม่น vs โลกสวย

ที่เราชวนเพื่อน ๆ มา Talk ในบทความนี้ เ

ห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมี 2 ด้าน โลกสวยที่เรามองว่าดี มีความสุข ก็ยังมีมุมที่กลับมาทำร้ายเราเองได้เหมือนกัน

ส่วนโลกหม่นที่ดูอึดอัดและน่ากลัว

กลับเป็นอีกหนึ่งพลังที่ช่วยให้เราปล่อยวางจากปัญหาร้าย ๆ ได้ด้วย


ลองหยิบเอาข้อดีของแต่ละมุมมองมาปรับใช้ พร้อมกับเรียนรู้ข้อเสียเพื่อปรับปรุงตัวเองไปด้วย

และไม่ว่าใครจะเลือกมองโลกผ่านมุมไหน

เรื่องของทัศนคติที่ดีก็สำคัญการใช้ชีวิตของเราเหมือนกัน ถ้าเกิดเราคิดดี มีทัศนคติที่ดีต่อตัวเองและรอบข้าง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรักคนชื่นชมแน่นอน

ลิ้งก์รูปภาพ

https://drive.google.com/drive/folders/1zFYs_UJI7m227t03G2K4OWzeuyFosLgA?usp=sharing


Designer :kidasindahouse

Writer :chollychon