นี่มันอะไรกันเนี่ย มาเมาท์มอยเก็บตกช่วงของงานหนังสือกัน เพราะนี่มันคือสวรรค์ของคนรักการอ่านชัด ๆ ซื้อเสร็จ จ่ายจบ แต่คนไม่จบที่มีอยู่ก็ยังอ่านไม่หมดเลย นี่ซื้อมากองไว้อีกแล้วหรอหรือว่าตอนนี้เพื่อน ๆ อาจจะกำลังมีอาการBibliomaniaกันนะ! แต่เดี๋ยวก่อนนะ นี่คืออะไรอีกเนี่ย! แล้วอาการที่ว่านี้ มันคืออะไร วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปไข้ข้องใจกันค่ะ มาทำความรู้จักกับอาการ Bibliomania มันคืออะไราการเป็นยังไง สาเหตุมาจากไหนตอบหมดเปลือกไปเลยใครที่เป็นสายรักการอ่าน ขยันอ่าน ขยันซื้อ ขยันดองหนังสือ ต้องรู้!ไปอ่านดูพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าค่ะ

ชวนมารู้จัก ‘Bibliomania’ คืออะไร? ยังอ่านไม่หมดเลย~ ซื้อใหม่อีกแล้ว!?

รูปภาพ:https://fudge.jp/wp/wp-content/uploads/2019/09/1-11.jpg

โรค Bibliomaniaหรือถ้าเรียกง่ายกว่านั้น ก็คือโรคซื้อหนังสือมาดอง อ่านจบมั้ยไม่รู้ แต่ขอซื้อมาเก็บไว้ก่อน เป็นพฤติกรรมคลั่งหนังสือ ชอบเก็บรวบรวมหนังสือ ซึ่งในญี่ปุ่นจะมีชื่อเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่าซึนโดคุ (tsundoku)ที่หมายถึงคนที่ชอบซื้อหนังสือเอามาไว้มาก ๆ แล้วไม่ได้อ่าน ว่ากันว่า การมีคำเรียกเหล่านี้ขึ้นมา อาจจะแปลว่าได้ว่า ไม่ใช่แค่เราหรอก ที่ชอบดองหนังสือ แต่ยังมีคนอีกหลายคน ที่ก็มีพฤติกรรมแบบนี้เช่นกัน

❀ ความแตกต่างระหว่าง Bibliomania และ Tsundoku ❀

รูปภาพ:https://live.staticflickr.com/4559/38354564486_e7fd461e12_h.jpg

แม้จะมีความหมายที่คล้าย ๆ กัน แต่รู้มั้ยว่า Bibliomania และ Tsundoku สองคำนี้มีความแตกต่างกันนะBibliomania: เป็นพฤติกรรมชื่นชอบการซื้อหนังสือ คลั่งการซื้อหนังสือมาเก็บเอาไว้เยอะ ๆ อาจจะไม่ได้ตั้งใจจะอ่านแต่แรกอยู่แล้ว แต่แค่อยากซื้อมาเก็บเอาไว้เฉย ๆ แล้วคนที่เป็นโรคนี้ จะมีความรู้สึกเครียด และกดดันมาก ๆ เวลาจะต้องตามหาหนังสื้อที่อยากได้ รวมทั้งยังรู้สึกแย่ทุกครั้งที่ต้องตัดใจทิ้งหนังสื้อเล่นใดเล่มหนึ่งไป บางคนอาจจะมีพฤติกรรมรุนแรงถึงขั้นคิดจะขโมยหนังสือเลยก็ว่าได้!Tsundoku: จะแตกต่างกับ Bibliomania อันนี้จะเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากความตั้งใจ ไม่ใช่แค่ซื้อมาเก็บ แต่ตั้งใจะอ่านจริง ๆ ชอบจริง ๆ อยากอ่านจริง ๆ ถึงได้ซื้อหนังสือเล่มนี้มา แต่สุดท้ายแล้ว อาจจะไม่ได้อ่าน หรืออ่านไม่จบ เพราะมีการซื้อใหม่อยู่เรื่อย ๆ และกลายเป็นเก็บมากองไว้เหมือนสะสมอย่างไม่ตั้งใจนั่นเองค่ะ

❀ Bibliomania เกิดจากอะไร ❀

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/originals/53/8a/df/538adf91f3c988b949a4d94d678b17de.jpg

จากการสำรวจผู้ป่วยที่มีอาการนี้ ว่ากันว่า มีรากฐานมาจากชีวิตวัยเด็กที่เป็นเด็กติดหนังสือ หรือไม่มีเพื่อนในชีวิตจริง จนอุปทานไปเองว่า หนังสือเป็นเพื่อนรักของพวกเขา การมีหนังสือเหล่านี้เอาไว้ จะทำให้รู้สึกไม่เหงา ไม่โดดเดี่ยว จึงไม่แปลกเลย ถ้าหากพวกเขาจะรู้สึกแย่ หวาดกลัว และกังวลทุกครั้ง ที่จะต้องทิ้งหนังสือ หรือหนังสือเหล่านั้นหายไป

❀ อาการของโรค Bibliomania ❀

۰ ซื้อหนังสือเล่มเดิม เพียงขอแค่ได้สะสม

۰ ไม่สนใจเนื้อหาข้างในว่าจะดีหรือไม่ แต่ขอแค่เป็นหนังสือ

۰ ชอบซื้อหนังสือแต่ไม่ชอบอ่าน อยากได้เล่มไหนต้องได้

۰ รู้สึกทุกข์มาก ถ้าหากไม่ได้เป็นเจ้าของ

۰ รู้สึกไม่ดีถ้าต้องทิ้งหนังสือแม้จะไม่เคยเปิดอ่าน

۰ ซื้อแล้วชอบมาวางกอง ๆ ไว้

۰ เริ่มออกห่างจากสังคม หันมาซื้อและเก็บหนังสือแทน

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/originals/4d/fa/d4/4dfad4aff8e97df404f2b4ed23d5e12f.jpg

❀ วิธีรักษา ❀

แม้ว่าจะเป็นอาการ/โรคที่ดูเหมือนไม่ได้น่ากลัว แต่ก็ไม่ควรปล่อยไว้เฉย ๆ เพราะถ้ามองในแง่ที่ร้ายที่สุด โรคที่เราเห็นว่าธรรมดา ๆ ไม่น่าหวั่นใจแบบนี้ อาจจะส่งผลที่ร้ายแรงต่อทั้งสังคมและสุขภาพได้ ฉะนั้นถ้ารักษาได้ ก็ควรที่จะได้รับการรักษานะคะ วิธีการรักษาที่ใช้บ่อยๆ จะมีอยู่ 2 วิธี1) การบำบัดด้วยความรู้ความเข้าใจเป็นการไปพบจิตแพทย์ เพื่อทำการปรึกษาพูดคุย จัดการกับความกระหายหนังสือนี้ได้อย่างถูกวิธี ค่อย ๆ บำบัดกันไปทีละขั้นตอนจนกว่าจะหายเป็นปกติ2) การใช้ยาจะเหมาะกับคนที่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย อย่างเช่นอาการของโรคซึมเศร้า หรือมีภาวะที่ค่อนข้างรุนแรงกว่าปกติ บางครั้งการให้คำปรึกษาอาจจะช่วยไม่ได้มาก ฉะนั้นการใช้ยาในกลุ่มของผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าเข้ามาช่วย ก็ถือว่าช่วยได้เยอะเลยค่ะ

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/originals/a1/ea/b4/a1eab47f6e9ca62baf934023ae0b8efe.jpg

❀ สรุป ❀

หากเราพบว่าคนใกล้ตัว หรือคนในครอบครัว เพื่อน แฟน มีอาการของโรค BIBLOMANIA อย่านิ่งเฉย แม้มันจะเป็นโรคที่ไม่ได้ร้ายแรงอะไรแต่ถ้าอาการหนักถึงขั้นที่เรียกว่ารบกวนการใช้ชีวิตประจำวันปล่อยทิ้งเอาไว้ ก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะปกติแล้ว คนที่ป่วยเป็นโรคนี้มักคิดว่าตัวเองเป็นปกติ ฉะนั้นคนใกล้ตัวจึงจำเป็นที่จะต้องคอยดูแล สอดส่อง หากพบว่าเริ่มร้ายแรงขึ้น ก็ควรรีบพาไปพบจิตแพทย์ เพื่อที่จะได้รับการบำบัดรักษาต่อไป

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/originals/2a/09/14/2a0914d8263d52b82cc2d7488cb93652.jpg

จริง ๆ ถ้าดูจากอาการที่ว่ามาข้างต้น มันก็ไม่ใช่อาการที่ร้ายแรงอะไร แต่ว่าบางครั้งการที่เราชอบทำอะไรมาก ๆ แบบเกินพอดีจนกลายเป็นการเสพติดสิ่งนั้น กระทบกระเทือนต่อการใช้ชีวิตมันก็ไม่ดีเท่าไหร่นะ ลองหันไปให้ความสนใจกับสิ่งอื่นบ้าง  แล้วเพื่อนๆ จะรู้เลยว่า บนโลกนี้มีอะไรอีกเยอะเลยค่ะ ที่น่าสนใจ ไม่ได้บอกให้เลิกทำสิ่งที่ชอบ แค่ลองทำอะไรใหม่ ๆ ดู บางทีเพื่อน ๆ อาจจะชอบก็ได้นะสำหรับวันนี้ต้องลาไปก่อนแล้ว บ๊ายบาย~