1. SistaCafe
  2. Higher Self ชวนรู้จักตัวตนที่สูงกว่า เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุด

ตัวตนของเราเป็นสิ่งที่เราเองจะเข้าใจดีมากที่สุด เรารู้ว่าเราเป็นคนประเภทแบบไหน แต่หากพูดถึงในอนาคตนั้นเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตัวตนของเราตอนนี้นั้นกับตัวตนในอนาคตจะเหมือนกันหรือเปล่า ไม่รู้ว่าอนาคตนั้นจะเดินทางไปแบบไหน แล้วถ้ามีสิ่งที่ทำให้เราสามารถที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นล่ะ รู้จักกับตัวเองที่สูงขึ้นจนเป็นคนที่ดีพอที่เราต้องการ ฉะนั้นมาทำรู้จักกับHigher Selfผ่านบทความนี้กัน


Higher Self ชวนรู้จักตัวตนที่สูงกว่า เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุด

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F95729%2Fb65a0ffe-14e7-473e-bd99-c5ea4d7de1cd.jpeg?v=20240303182202&ratio=0.666

Higher Selfคือตัวตนที่สูงขึ้นหรือตัวตนของเราในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด (The Best of Me)เป็นการนำทางไปยังเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับเรา ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวตนที่สูงกว่าของเราในมิติที่สูงกว่าที่เป็นมิติที่ 3 แต่เรายังสามารถที่จะยังอยู่กับตัวเองได้ เพียงแต่ตัวตนที่สูงกว่านั้นอยู่กับเราตลอด เราแค่ไม่ได้รับรู้ก็เท่านั้น หากเมื่อไรที่เราสามารถทำการเชื่อมโยงกับเขาได้แล้วนั้น เราสามารถที่จะขอคำแนะนำ หรือการขอคำตอบสำหรับการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน โดยอาจจะผ่านวิธีง่าย ๆ เช่น การพูดคุยกับตัวเองผ่านการนั่งสมาธิ หรือเป็นการตั้งจิตกับเขาผ่านการพูดคุยในใจ หาที่นั่งที่เงียบสงบตั้งจิตถึงเขา ให้คนในตัวเรานำทางเชื่อมต่อกับพลังงานเพื่อที่จะหลับใหลให้สามารถเชื่อมโยงสื่อสารถึงกันได้โดยคำตอบที่จะได้รับนั้นมักจะมาในรูปแบบของข้อความ เสียงเพลง หรือความคิดที่เข้ามาในหัว โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ได้คิดเอาเอง คำตอบที่ได้รับคือคำแนะนำที่ส่งตรงมาเพื่อสะท้อนออกจากความรู้สึกลึกๆ ภายในจิตใจของเราจริงๆ ซึ่งก็ถูกนำมาถ่ายทอดจากตัวตนที่สูงขึ้นของเรานั่นเอง


Higher Self การรู้จักตัวตนที่สูงกว่า ทำเพื่ออะไร?

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F95729%2F59d583f6-ab8a-4af7-977e-dbe9bbc54593.jpeg?v=20240303182202&ratio=0.647

เมื่อเราเชื่อมตัวเรากับ Higher Self จะทำให้เกิดความรู้สึกเบา โล่ง โปร่ง สบาย และเต็มไปด้วยพลังงานบวก ไม่ค่อยตัดสินหรือแบ่งแยกสิ่งใด เพราะเรานั้นเริ่มที่จะเข้าใจและรู้ซึ้งถึงธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไร้ซึ่งอัตตา (Ego) มีปัญญาญาณที่หยั่งรู้สูงขึ้นมองภาพได้กว้างมากยิ่งขึ้น เปิดใจต้อนรับสิ่งต่างๆ เข้ามาเพื่อให้ชีวิตเกิดความเข้าใจกับทุกสิ่งเมื่อภายในสงบสุขก็จะเกิดแสงนำทางชีวิต เป็นอิสระจากสิ่งลบให้เรากล้าที่จะทำตามใจตัวเอง นอกจากนี้ยังเกิดความรักอันบริสุทธิ์ที่ไรเงื่อนไขใด ๆ ต่อผู้คนและสรรพสิ่ง สนุกไปกับการเดินทางของชีวิตที่มีความสุขเสมอ หากเราติดอยู่ในภาวะที่ติดลบหรือ Low-Self Esteem ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เราก็จะมองหาแต่ข้อเสียของตัวเอง และปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในชีวิต และตั้งใจที่จะโฟกัสแต่พลังงานที่ส่งผลลบเท่านั้น" เมื่อโลกใบนี้อยู่ในจักรวาล ทุกสิ่งในจักรวาลคือพลังงาน "มันจะทำให้ความคิดของเราที่ยิ่งสนใจในและเพ่งแต่พลังงานด้านลบมากเท่าไร ตัวเราก็จะยิ่งดูดพลังงานด้านลบแบบนั้นกลับเข้ามาเสมอ เมื่อเราดึงดูดพลังงานด้านลบมาก ๆ แน่นอนว่าชีวิตก็คงหาความสุขไม่ได้แล้วในตอนนี้


แบบไหนที่เรียกว่า ' พลังงานด้านลบ '

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F95729%2F4688fab6-c895-4031-9adc-ae9de7720b49.jpeg?v=20240303182202&ratio=0.666

พลังงานด้านลบ คือพลังงานที่ทำให้เราและจิตใจของเราเกิดความไม่สงบสุข ไม่มีความสุขอย่างเช่น ความกลัว ความเครียด ความเศร้า ความอิจฉา ความโกรธ และความรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นเหยื่อ เป็นต้น ทั้งหมดนี้จัดอยู่ในพลังงานคลื่นความถี่ต่ำทั้งสิ้น (อยู่ในช่วงของคลื่นความถี่ GAMMA - BETA) ความคิดและอารมณ์ของเราถูกส่งออกมาในรูปแบบของพลังงานคลื่นสมอง ได้แก่ GAMMA, BETA, ALPHA, THETA และ DELTA หากเปรียบเป็นสิ่งของคือ เงิน บ้าน รถ อาหาร เสื้อผ้า และโทรศัพท์มือถือ หรือถ้าเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น ความคิด ความรู้สึก ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นพลังงานคลื่นความถี่ของตัวเองและคอยปล่อยพลังงานนั้นอยู่ตลอดมนุษย์เราก็เช่นกันเมื่อเราทุกคนต่างปล่อยพลังงานนี้กันตลอด เราก็จะเป็นทั้งคนส่งและรับเอาพลังงานพวกนั้นอยู่เสมอ ผ่านความคิดและความรู้สึกของเราเป็นหลัก หากเมื่อเราส่งออกพลังงานใดออกไป เราก็จะได้รับพลังงานย้อนกลับหรือสะท้อนมาหาเรา ไม่ว่าพลังงานที่เราส่งออกนั้นจะเป็นพลังงานที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม


Higher Self เมื่อเราเข้าไปในมิติตัวตนที่สูงกว่าจะเป็นอย่างไร

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F95729%2F43624732-d15a-43e8-b466-1b4177e33357.jpeg?v=20240303182202&ratio=0.667

พลังงานของ Higher Self เป็นคลื่นความถี่สูงใกล้เคียงกับพลังงานของจักรวาลต้นกำเนิดจึงเต็มไปด้วยพลังงานแห่งความรัก ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง เมตตา สนุกสนาน และสงบสุข รวมไปถึงการที่เต็มไปด้วยพื้นที่แห่งความสว่าง ตัวเราในมิตินี้จะสามารถดึงดูดพลังงานด้านดีแบบนั้นเข้ามาหาตัวเราทางกายภาพได้ด้วย โดยการนำกลับมาหาจิตเดิมที่แท้จริง และเชื่อมต่อตัวตนที่สูงกว่าเราโดยมนุษย์เรานั้นจะมี Free Will หรืออิสระทางเลือก เราสามารถที่จะเลือกเส้นทางหรือความต้องการของชีวิตได้ทั้งหมด โดยหากสิ่งไหนที่เราไม่อนุญาติก็จะไม่มีใครสามารถเข้ามาก้าวก่ายหรือแทรกแซงเส้นทางชีวิตที่เราเลือกเองได้ เช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ดังนั้นเราจึงที่จะสามารถกำหนดชีวิตของตัวเราเองได้ถึง 90% และอีก 10% เป็นเรื่องของดวงชะตา ถือว่าเป็นเปอร์เซนต์ที่น้อยมากเมื่อนำมาเทียบกับสิ่งที่เราสามารถเลือกได้จักรวาลล้วนให้สิทธิ์เท่าเทียมกับมนุษย์ทุกคน เพียงแต่เราไม่รับรู้และไม่ได้สังเกต เราที่หลงลืมตัวตนที่แท้จริงของเราทั้งที่ในความเป็นจริงเราทุกคนต่างมีอำนาจในการตัดสินใจเลือกชีวิตของเราเองได้ สิ่งนี้นั้นล้วนมากพอที่จะเปลี่ยนชีวิตของตัวเราเอง และยังมากพอที่จะส่งผลต่อคนรอบข้างของโลกใบนี้อย่างเป็นวงกว้างอีกด้วย


Higher Self และมิติที่สามที่อยู่ข้างใน

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F95729%2F003ae48f-30b4-4b31-bc72-e92be3d08385.jpeg?v=20240303182202&ratio=0.668

ดวงจิตของเราหรือ Soulมีการแบ่งพลังงานเอาไว้ไม่ได้ตัดขาดหรือแยกออกจากกันโดยตรง ยังคงมีความเชื่อโยงกันอยู่แต่เพียงเป็นคนละระดับพลังงานเท่านั้น เช่นเดียวกับดวงจิตของเราในมิติที่ 3 กับ higher self มิติที่สูงกว่า เราสามารถที่จะเชื่อมต่อกันได้ แค่อยู่คนละพลังงานคลื่นความถี่แบบนี้เป็นต้น นอกจากกายเนื้อที่เป็นมิติที่ 3 ที่เราอยู่แล้วยังมีกายทิพย์ กายแสง หรือไร้ซึ่งรูปกาย ไร้ซึ่งรูปแบบอยู่เต็มทั่วทั้งจักรวาล พลังงานเหล่านี้จัดอยู่ในระดับพลังงานที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆยิ่งเราพยายามที่จะเชื่อมกับตัวตนที่สูงกว่าของเรา ที่อยู่ในระดับพลังงานที่สูงกว่ามิติที่ 3 ในตอนนี้ เราก็จะยิ่งเข้าใกล้กับดวงจิตดั้งเดิม (Real Soul) ที่มีคลื่นความถี่เดียวกันกับพลังงานต้นกำเนิดของจักรวาล โดยดวงจิตดั้งเดิมนั้นมีต้นกำเนิดมาจากพลังงานต้นกำเนิดที่เรียกว่า Sorce หรือจักรวาล เป็นดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ อุดมสมบูรณ์ ไม่มีสิ่งอื่นใดเจือปน ดวงจิตนี้จึงมักปรากฎอยู่ในช่วงที่เรายังเป็นทารกหรือเป็นเด็กอยู่บ่อย ๆ เพราะในช่วงนี้เป็นช่วงที่มีจิตใจที่ใสซื่อ ไร้เดียงสา อ่อนโยน มีความสุขสนุกสนานร่าเริง และเป็นตัวของตัวเอง แต่เมื่อพอเราเติบโตขึ้นตัวตนที่แท้จริงก็จะค่อย ๆ เลือนหายไปเพราะด้วยสภาพแวดล้อมทางสังสมที่อยู่รอบตัว


Higher Self เปรียบเทียบกับธรรมะศาสนา

ภาพประกอบบทความ:sistacafe-assets:____%2Fc%2F95729%2F8b4257e7-6a75-416a-ae27-a9b18a0d0ad8.jpeg?v=20240303182202&ratio=1.500

ปรมาตมันหรือบรมอัตตา เป็นการเข้าถึงธรรมกาย (กายแก้วหรือกายเพชร) ที่เป็นกายที่แท้จริงและสูงสุดของโลกเรา เป็นกายที่เที่ยงแท้ถาวรเป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม วิราคธาตุ วิราคธรรม เป็นกายที่ใช้เข้านิพพานและยังเป็นกายนิจจังที่แท้จริง ซึ่งเหล่านี้นั้นมีคุณสมบัติที่สั่นสะเทือนและสะท้อนแสงได้หากนำมาใช้ในการทำสมาธิ เมื่อทำสมาธิก็จะสามารถเปลี่ยนร่างกายของเราให้เป็นช่องทางแห่งแสงสว่างและเป็นผู้นำเข้าสู่ศูนย์กลางของกายตนเองได้ ซึ่งเป็นเหตุที่ผู้ทำสมาธิจะพบกับสัมพันธ์ในการเข้าถึงตัวตนที่สูงกว่า ที่เป็นความสัมพันธ์แบบขั้นสูงสุดในทางของวิชชาธรรมกายนั้นแต่ละกายในกายต่างก็มีความคิดของแต่ละกายเอง ไม่ใช่กายเนื้อคิดอย่างไร เพียงแต่เป็นกายละเอียดหากเปรียบก็คือกายเนื้อ ยกตัวอย่างเช่น กายฝัน นั่นเอง โดยกายฝัน (กายมนุษย์เนื้อละเอียด) กับกายเนื้อ (กายมนุษย์หยาบ) ต่างก็มีความคิดที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งหากแต่เราสามารถที่จะพูดคุยหรือปรึกษากับกายฝันของเราได้ถ้าเมื่อเราสามารถเข้าถึง

การเข้าถึงนั้นคือการฝึกทำสมาธิเพื่อให้เข้ามาถึงกายในกาย ตัวตนที่สูงกว่า หรือจิตใต้สำนึก เมื่อการนั่งสมาธิก็สามารถที่จะเข้าถึงกลางของกลางที่อยู่กับตนเองไม่ว่าจะเป็นที่ไหนขอเพียงแต่ที่นั่นต้องมีความเงียบสงบ เพียรปฏิบัติประจำทุกวันอย่าให้ขาด แน่นอนเลยว่าเราจะได้รับประสบการณ์ที่ดีทุกคน

ฝึกทำ Higher Self จากการสะกดจิต

Watch on YouTube


ได้มีผู้ใช้ Tiktok ท่านหนึ่งได้ออกมาแชร์ประสบการณ์การทำ Higher Self ด้วยตนเองผ่านการทำการสะกดจิตในคลิปนี้ ซึ่งเขาได้เล่าว่าการทำตามนั้นค่อนข้างที่จะยากหยั่งถึง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เพียงแต่ตัวเรานั้นต้องมีสติและสมาธิกับตัวเองมาก ๆ เขายังบอกอีกว่าในการทำตามคลิปนี้ไปเรื่อย ๆ นั้นก็เหมือนกับถูกสะกดจิต ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเขาบอกให้เราจินตนาการนึกถึงทะเล ที่รอบตัวนั้นมีแค่เรายืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวภาพที่เราเห็นนั้นจะมีความชัดเจนมากเหมือนว่าตัวเรานั้นอยู่อยู่ที่ทะเลและมีน้ำสาดเข้ามาที่เท้า ในความรู้สึกนั้นเราจะเหมือนว่าเราอยู่ในสถานการณ์นั้นจริง ภาพเสียงชัดเจน และเขายังบอกเล่าอีกว่าเขาได้ลองที่จะพูดคุยกับ Higher Self ของตัวเขาเอง และตัวตนที่สูงของเขาก็ได้บอกกับเขาว่าทุกอย่างที่เขากำลังเสียใจอยู่ในตอนนี้ สุดท้ายมันอยู่ที่ตัวเขาเอง เขาทำตัวของเขาเป็นต้น เมื่อทำการออกจากการสะกดจิต เขายังบอกให้เรานั้นจดบันทึกเรื่องราวที่ได้พบเจอ ว่าได้มีการพูดคุยอะไรบ้าง เห็นอะไรบ้าง เพื่อที่จะให้เราไม่ลืมเลือนสิ่งนั้นไป

❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀


เป็นอย่างไรกันบ้างกับการทำความรู้จักกับHigher Selfจากที่ศึกษามานั้นการที่เราจะรับรู้ตัวเองสามารถที่จะแลกเปลี่ยนปรึกษาปัญหาเหล่านั้นได้ ก็ทำให้เรานั้นสามารถที่จะนำมาปรับเปลี่ยนและพัฒนาตัวของเราให้ดีมากยิ่งขึ้น เหมือนเป็นการละทิ้งสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นด้านลบในปัจจุบันเข้าไปสู่ห้วงแห่งความคล้ายความฝันของเราแทน ใครที่อยากรู้จักกับตัวตนที่สูงขึ้นอาจจะเก็บวิธีนี้ไว้พิจารณากันได้นะคะซิส



ขอขอบคุณแหล่งรวมภาพและไอเดียดี ๆ จาก

http://www.pinterest.com



บทความแนะนำ ที่ซิสต้องไม่พลาด

เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้