ในยุคที่ AI ไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วย แต่กลายเป็นเพื่อนคุยที่พร้อมอยู่กับเรา 24 ชั่วโมง ก่อให้เกิดคำศัพท์ใหม่ที่กำลังถูกพูดถึงในโลกออนไลน์ อย่าง “ Brain Rot ” หรืออาการ สมองฝ่อทางความคิดและการใช้ชีวิต ซึ่งมาจากการเสพติดคอนเทนต์ที่ไม่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์, คอนเทนต์ขยะ รวมถึงการปล่อยให้ AI เข้ามามีบทบาทแทนในเกือบทุกด้าน ตั้งแต่การหาคำตอบง่าย ๆ ไปจนถึงการเป็นที่พึ่งทางอารมณ์เลยทีเดียว
แม้หลายคนอาจมองว่า AI คือเพื่อนที่เข้าใจเราได้ดีที่สุด แต่ในอีกมุมหนึ่ง การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจค่อย ๆ ลดทอนทักษะการคิด การสื่อสาร และการเข้าสังคมของเรา ให้ค่อยๆ หายไปในแบบที่เราไม่ทันรู้ตัว จากปรากฏการณ์นี้ทำให้เราควรเริ่มหันมาตระหนักว่า เรากำลังมีเพื่อนสนิทที่แสนฉลาด หรือกำลังแลกเปลี่ยนสมองของตัวเอง ให้กลายเป็นสมองฝ่อ สมองเน่า ไปทีละน้อยกันแน่ ?
บทความนี้ซิสอยากจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “ Brain Rot ” หรือ ภาวะสมองฝ่อ สมองเน่า ภาวะนี้คืออะไร ? มีสาเหตุมาจากไหน ? และ Checklist อาการเป็นอย่างไรบ้าง ? ปิดท้ายด้วยวิธีแก้ Brain Rot รวมถึงวิธีบำรุงสมองให้ไกลจากภาวะสมองฝ่อ สมองเน่า เพื่อให้ทุกคนรู้เท่าทันและสามารถใช้ AI อย่างชาญฉลาด โดยที่ไม่ส่งผลเสียกับตัวเอง
เลือกอ่านตามหัวข้อ

บรรณาธิการ/Supervisor Content Manager
นักคิดนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านเนื้อหาบิวตี้ ไลฟ์สไตล์ และสุขภาพในออนไลน์กว่า 10 ปี

____________________________________________
ทำความรู้จัก Brain Rot ภาวะสมองฝ่อ สมองเน่า
- Brain Rot สมองฝ่อ สมองเน่า คืออะไร ?
“ Brain Rot ” เป็นคำแสลงที่เริ่มใช้กันแพร่หลายในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ สามารถแปลเป็นภาษาไทยอย่างตรงตัวได้ว่า ‘ สมองฝ่อ ’ หรือ ‘ สมองเน่า ’ นิยามถึงผู้ที่เสพเนื้อหาคอนเทนต์บนโลกอินเทอร์เน็ตที่ไร้ประโยชน์ ไม่ส่งผลกระทบหรือคุณค่าอะไรต่อความคิด ความรู้สึก ไม่ต้องใช้สมองคิดวิเคราะห์อะไรในการดู เช่น ดูคลิปสั้นติด ๆ กันเป็นชั่วโมง เล่นเกมเดิม ๆ แบบออโต้ หรือเสพมีมวนไปเรื่อยๆ
นอกจากนั้นปัจจุบันคำว่า “ Brain Rot ” ยังเริ่มถูกนำมาใช้พูดถึงปรากฏการณ์ที่ เราใช้ AI มากเกินไปจนเลิกคิดเอง เช่น ให้ AI เขียนทุกอย่างแทน ไม่ว่าจะเป็นแคปชัน รายงาน หรือแม้แต่การแชท, คุยกับ AI แทนที่จะคุยกับเพื่อนจริง ๆ จนทักษะทางสังคมลดลง ทำให้สมองเริ่มคุ้นเคยกับคำตอบสำเร็จรูปมากกว่าการฝึกคิดเอง
สรุปง่าย ๆ Brain Rot ก็คืออาการที่สมองเริ่มเสื่อมคุณภาพทางการคิดลง เพราะเรายอมให้สิ่งเร้ารอบตัวไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์ไวรัล เกม หรือแม้แต่ AI มาคิดแทนเรา จนความสามารถในการโฟกัสและคิดวิเคราะห์ค่อย ๆ หายไป หากยังไม่เห็นภาพให้ลองสังเกตจากชีวิตประจำวันดู หากเราเผลอไถฟีดโซเชียลเพลินๆ หรือสลับจอดูสิ่งน่าสนใจบนโซเชียลต่างๆ แบบไม่พักเพื่อเป็นการฆ่าเวลา รู้ตัวอีกทีก็ถึงบ้านหรือถึงที่ทำงานแล้ว ใครที่มักทำพฤติกรรมเหล่านี้เป็นประจำให้ระวังและคอยดึงสติตัวเองก่อนจะเข้าข่ายตกอยู่ในภาวะ Brain Rot อย่างไม่รู้ตัว

“ Brain Rot ” เป็นที่รู้จักจากการถูกยกให้เป็น Word of the year หรือ คำศัพท์แห่งปี โดยสำนักพิมพ์ของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University Press) ประจำปี 2024 และยังมีการเปิดโหวตจากผู้คนกว่า 37,000 เสียงอีกด้วย
Oxford University Press ระบุว่า “ Brain Rot ” ถูกพบว่ามีการใช้ครั้งแรกในปี 1854 ในหนังสือ Walden ของ Henry David Thoreau ซึ่งบันทึกประสบการณ์การใช้ชีวิตเรียบง่ายในธรรมชาติของเขา ในส่วนของข้อสรุปเขาได้กล่าวไว้ว่า
“ While England endeavours to cure the potato rot, will not any endeavour to cure the brain-rot – which prevails so much more widely and fatally ? ”
" ในขณะที่อังกฤษพยายามรักษาโรคเน่ามันฝรั่ง จะไม่มีใครพยายามรักษาโรคเน่าสมอง ซึ่งแพร่หลายและร้ายแรงกว่ามาก "
เป็นการวิพากษ์วิจารณ์แนวโน้มของสังคมที่จะลดคุณค่าของแนวคิดที่ซับซ้อน หรือแนวคิดที่สามารถตีความได้หลายทาง ไปสู่แนวคิดที่เรียบง่ายกว่า และมองว่านี่เป็นสิ่งที่แสดงถึงการเสื่อมถอยของสติปัญญาและจิตใจของผู้คนในสังคม

ปัจจุบันในปีที่ผ่านมามีการใช้คำนี้มากขึ้นถึง 230% ในโลกโซเชียล และใช้กันอย่างแพร่หลายในกลุ่มของ Gen Z และ Gen Alpha
- Brain Rot สมองฝ่อ สมองเน่า แตกต่างจาก Brain Fog หรือภาวะสมองล้า ยังไง ?
แม้ว่า “ Brain Rot ” ภาวะสมองฝ่อ สมองเน่า และ “ Brain Fog ” ภาวะสมองล้า จะเป็นคำนิยามที่เกี่ยวกับสมอง แต่ทั้ง 2 คำนี้มีบริบทต่างกันโดยสิ้นเชิง ลองไปดูกันค่ะ ว่า 2 คำนี้ ต่างกันอย่างไร
- Brain Rot เป็นคำแสลงจากโลกอินเทอร์เน็ต ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ใช้บรรยายอาการที่ “สมองฝ่อทางความคิด” เพราะเสพสื่อหรือกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้สมองมากเกินไป เช่น ดูคลิปสั้น ๆ ซ้ำ ๆ บน TikTok หรือ Reels, เล่นเกมที่ใช้ระบบออโต้ ไม่ต้องคิดวิเคราะห์ หรือ ใช้ AI หาคำตอบหรือผลิตงานแทบทุกอย่างแทนการคิดเอง
- Brain Fog ไม่ใช่คำแสลง แต่เป็นอาการทางสุขภาพที่หลายคนเจอได้ หมายถึง ภาวะที่สมองทำงานได้ไม่เต็มที่ รู้สึกเบลอ ๆ มึน ๆ คิดอะไรไม่ออก จำอะไรไม่ค่อยได้ หรือโฟกัสได้น้อยลง สาเหตุของ Brain Fog มักมาจาก การพักผ่อนไม่เพียงพอ, ความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า, ขาดสารอาหารบางชนิดหรือโรคบางอย่าง เช่น Long COVID หรือภาวะฮอร์โมนผิดปกติ
ความแตกต่างของ “ Brain Rot ” ภาวะสมองฝ่อ/สมองเน่า และ “ Brain Fog ” ภาวะสมองล้า

- Brain Rot สาเหตุมาจากไหน ?
แม้ Brain Rot ภาวะสมองฝ่อ สมองเน่า จะไม่ใช่คำศัพท์ทางการแพทย์ แต่ก็สะท้อน “พฤติกรรมการใช้ชีวิตดิจิทัล” ที่กำลังเกิดขึ้นจริง โดยสาเหตุหลัก ๆ ของ Brain Rot มักมาจาก สิ่งเร้าที่ง่าย เร็ว และไม่ต้องใช้สมองคิดเยอะ ซึ่งค่อย ๆ ทำให้สมองเคยชินกับการ “ไม่ต้องออกแรง” นั่นเอง ตัวอย่างเช่น
- เสพคอนเทนต์สั้นมากเกินไป จากพฤติกรรมการเสพคลิปสั้นๆ จาก TikTok, Reels, Shorts ที่มียาวไม่กี่วินาที แต่ใช้เวลาดูต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ทำให้สมองชินกับการรับข้อมูลแบบไว ๆ ส่งผลให้สมองไม่อยากโฟกัสสิ่งที่ยาวหรือซับซ้อนอีก
- เสพความบันเทิงที่ไม่ต้องใช้ความคิด การที่เราดูมีม ดูคลิปตลกซ้ำ ๆ หรือ เล่นเกมแบบออโต้ / คลิกง่าย ๆ ก็ส่งผลให้สมองคุ้นกับการรับสาร passively แบบเรียบ ๆ ไม่ได้ฝึกการวิเคราะห์
- ใช้ AI แทนการคิดเอง ปัจจุบันมี AI เป็นเหมือนผู้ช่วยการที่เราให้ AI ช่วยทำงานทั้ง เขียนงาน คิดไอเดีย สรุปบทความ หรือแม้แต่คุยแทนเพื่อน ทำให้เราแทบไม่ต้องใช้ทักษะ critical thinking หรือ creativity เลย การทำแบบนี้บ่อย ๆ ส่งผลให้ในระยะยาวสมองจะชินกับคำตอบสำเร็จรูป ไม่ได้ฝึกการคิดวิเคราะห์
- การเสพติด dopamine จากสิ่งเร้าไว ๆ ทุกครั้งที่เรา scroll feed เจออะไรใหม่ สมองจะหลั่ง dopamine ยิ่งเสพซ้ำ ยิ่งติดวงจรความสุขสั้น ๆ ทำให้สุดท้ายสมองไม่อยากทำสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามอีกต่อไป
- ขาดการฝึกโฟกัสและคิดเชิงลึก เพราะสมองคุ้นเคยจากสิ่งเร้าที่ง่าย เร็ว และไม่ต้องใช้สมองคิดเยอะ จากพฤติกรรมของเรา เมื่อเราไม่ได้ฝึกสมาธิ ไม่อ่านหนังสือยาว ๆ หรือ ไม่ทำงานที่ใช้เวลาและความใส่ใจ ส่งผลให้สมองเสื่อมทักษะการจดจ่อและวิเคราะห์ทีละขั้นไปตามที่ควรเป็นไป
ตัวอย่างที่สามารถอธิบายสาเหตุ ภาวะ Brain Rot สมองฝ่อ หรือ สมองเน่า ได้ชัดเจนคือ กระแส Italian Brain Rot ถ้าใครเล่น TikTok หรืออยู่ในโลกออนไลน์ช่วงนี้ อาจเคยเห็นคลิปที่มีเสียงพูดภาษาอิตาลีแปลก ๆ หรือมีมที่เล่นกับคำพูดแบบมึน ๆ ฮา ๆ โดยฉพาะในกลุ่ม Gen Alpha จนกลายเป็นไวรัล สิ่งนี้ถูกเรียกว่า “ Italian Brain Rot ” ซึ่งกำลังเป็นกระแสแรงในหลายประเทศ

Italian Brain Rot คือ ตัวละครเหนือจริงที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI ไวรัลใน Tiktok มีวิดีโอบน TikTok เกือบ 77,000 รายการที่ถูกแท็ก #italianbrainrot โดยบางวิดีโอมียอดวิวหลายหมื่นหรือหลายล้านครั้ง รูปแบบคอนเทนต์คล้ายคลึงกับ Skibidi Toilet ที่เคยฮิตในอดีต
Italian Brain Rot ตัวละครส่วนใหญ่มักจะเป็นสัตว์ที่รวมร่างกับสิ่งมีชีวิตอื่นหรือวัตถุที่ไม่มีชีวิต โดยมีชื่อตัวละครและการใช้เสียงพูดแปลกๆ ในสำเนียงอิตาลีที่เกินจริง ตัวละครที่รู้จักกันดี ได้แก่ Ballerina Cappuccina นักเต้นที่หมุนตัวสวมชุดบัลเล่ต์พร้อมเครื่องดื่มกาแฟบนหัว, Lirili Larila สัตว์ลูกผสมระหว่างช้างและกระบองเพชรที่เดินลุยทะเลทรายในรองเท้าแตะสไตล์ Birkenstock, Tralalero Tralala ฉลามสามขาที่สวมรองเท้าผ้าใบ Nike สีน้ำเงิน และ Trippi Troppi ที่เป็นทั้งแมวและปลา เป็นต้น
พูดง่าย ๆ ว่า Italian Brain Rot เป็นกระแสคอนเทนต์ไร้สาระแบบมีม ที่เอาภาษาและวัฒนธรรมอิตาลีมาเล่นจนเป็นไวรัลในโซเชียล ที่สำคัญยังเป็นรูปแบบหนึ่งของ Brain Rot Content คอนเทนต์ที่คนดูเสพแล้ว “สมองฝ่อ” ไปชั่วขณะ เพราะไม่ได้มีสาระ แต่กลับติดตลก ติดหู จนดูซ้ำได้เรื่อย ๆ
- คนดังที่มีคาแรคเตอร์ Brain Rot หรือสถานการณ์จริงที่ทำให้หัวเราะแบบสมองฝ่อ
ในโลกโซเชียลยุคนี้ เรามักเห็น คอนเทนต์ตลกไร้สาระ หรือ “ Brain Rot Content ” ที่ทำให้หัวเราะจนสมองเบลอ เราจะพบว่าบางคนหรือบางตัวละครที่มี คาแรคเตอร์ Brain Rot ในตัวเอง มักจะกลายเป็นไวรัลและเป็นที่จดจำ เพราะไม่ว่าจะเป็นคนดังจริง หรือสถานการณ์ซีรีส์ ความฮาแบบไร้สาระเหล่านี้ทำให้ผู้ชมเสพแล้วหัวเราะง่าย ๆ โดยไม่ต้องคิดเยอะ ลองไปดูตัวอย่าง คนดังที่มีคาแรคเตอร์ Brain Rot หรือสถานการณ์จริงที่ทำให้หัวเราะแบบสมองฝ่อ เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพชัดเจนขึ้น
Nikocado Avocado (ยูทูบเบอร์สาย Mukbang) ยูทูบเบอร์ที่ทำคลิปกินจานยักษ์ และแสดงอารมณ์เว่อร์ ๆ ทั้งร้องไห้ ตะโกน และหัวเราะเสียงดัง ๆ คลิปของเขามักถูกตัดเป็นคลิปสั้น ๆ หรือมีมบน TikTok เพื่อให้ผู้ชมเสพเพื่อความบันเทิงล้วน ๆ ไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม ทำให้เห็นว่า Brain Rot สามารถเกิดจาก คอนเทนต์จริงที่สร้างขึ้นโดยเจตนาเพื่อความฮาและความบ้าคลั่งเท่านั้น
Michael Scott จากซีรีส์ The Office เขาเป็นหัวหน้าที่มักพูดจาเพี้ยน ๆ ทำเรื่องไร้สาระกลางออฟฟิศ เช่น จัดกิจกรรมไม่เข้าท่า หรือพูดมุกที่สร้างความงงให้ลูกน้อง ทำให้การกระทำของ Michael ถูกตัดเป็นคลิปสั้น ๆ และแชร์เป็นมีม ผู้ชมหัวเราะเพราะความเพี้ยนของเขา ถึงแม้จะไร้สาระแต่แสดงให้เห็นว่า Brain Rot ไม่จำเป็นต้องมาจากโซเชียล แต่สามารถเกิดจาก คาแรคเตอร์เรื่องราวหรือซีรีส์ได้เช่นกัน
TikTok ช่องอิสระ ( officeisara ) ที่ทำคอนเทนต์เสียดสีความเป็นพนักงานออฟฟิศ ด้วยคลิปมีมสั้นๆ มีข้อความ POV อธิบายถึงสถานการณ์ต่างๆ ในออฟฟิศ พร้อมกับการใช้เพลง หรือแผ่นเสียงตลกๆ ควบคู่ไปกับท่าทางโอเวอร์แอคติ้ง ทำให้คอนเทนต์ของเขาไวรัลได้ไว และมีคนแชร์เนื่องจากมีอารมณ์ร่วมสูง
จะเห็นได้ว่ารูปแบบคนดัง ตัวละคร หรือสถานการณ์ คอนเทนต์แบบ Brain Rot มักจะเป็นอะไรที่เป็น สิ่งเร้าที่ง่าย เร็ว และไม่ต้องใช้สมองคิดเยอะ มีความเชื่อมโยงกันทางด้านอารมณ์ความรู้สึก หรือเน้นอะไรที่ตลกขบขัน แม้จะเป็นรูปแบบคอนเทนต์ที่ย่อยง่าย ไวรัลไว แต่หากเพื่อน ๆ เสพมากเกินไป ก็จะส่งผลเสียตามมาแบบที่เราได้เล่าไปเลยค่ะ สำหรับใครที่รู้ตัวว่าตัวเองดูคอนเทนต์ Brain Rot บ่อยๆ ตามไปเช็คอาการดูกันต่อว่า คุณเข้าข่ายมีอาการ Brain Rot สมองฝ่อ สมองเน่า แล้วหรือยัง ?
____________________________________________
Checklist ซิสชวนเช็กมีอาการ Brain Rot สมองฝ่อ สมองเน่า บ้างรึยัง ?
ใครที่ช่วงนี้เล่นมือถือบ่อยๆ เสพคอนเทนต์สั้น ๆ เป็นเวลานาน ลองมา Checklist อาการ Brain Rot สมองฝ่อ สมองเน่าคุณมีอาการเหล่านี้บ่อยแค่ไหน ? ถ้ามีหลายข้อ อาจกำลังเป็น Brain Rot อยู่ก็ได้นะ
- เสพคอนเทนต์สั้น ๆ ซ้ำ ๆ ดู TikTok, Reels, Shorts หรือมีมต่อเนื่องหลายชั่วโมง
- ไม่อยากคิดหรือวิเคราะห์ ปล่อยให้ AI หาคำตอบแทน ไม่อยากอ่านบทความยาว ๆ หรือทำงานที่ต้องใช้สมอง
- หัวเราะง่ายกับสิ่งไร้สาระ ดูคลิปหรือมีมซ้ำ ๆ แล้วขำโดยไม่ต้องคิดอะไร
- สมาธิสั้นลง ทำงานหรือเรียนไม่ต่อเนื่อง ขาดโฟกัสกับสิ่งที่ต้องใช้เวลา
- ติดวงจร dopamine จากความบันเทิง Scroll feed หรือเล่นเกมเพื่อความสนุกทันที มีความรู้สึกเบื่อถ้าไม่ได้เสพสิ่งเร้าเร็ว ๆ
- ขาดความสนใจสิ่งจริงจัง เลี่ยงงานยาก ๆ ชอบทำสิ่งง่าย ๆ และเพลิดเพลินกับสิ่งบันเทิงล้วน ๆ
หาก Checklist ออกมาแล้ว เช็กได้ 3–4 ข้อ → ให้ระวัง Brain Rot เริ่มมาเยือน แต่ถ้า เช็ก 5–6 ข้อ → ควรปรับพฤติกรรม ลดคอนเทนต์สั้นด่วนๆ และฝึกคิดวิเคราะห์ ใช้สมองบ่อยๆ เพราะคุณมีอาการ Brain Rot แล้ว

แม้ว่า Brain Rot มักถูกพูดถึงในเชิงตลกหรืออินเทรนด์บนโซเชียลฯ แต่บางอาการก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของ ปัญหาสุขภาพจิตหรือสมอง ที่ควรใส่ใจจริงจัง หาก Brain Rot ในระดับ “เสพความบันเทิงมากไป หัวเราะง่าย สมาธิสั้นนิดหน่อย” ยังไม่อันตราย แต่ถ้าเริ่มกระทบชีวิตประจำวันหรือมีอาการทางใจร่วม ควร ขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือจิตแพทย์ เพื่อหาทางดูแลสมองและสุขภาพจิตให้สมดุล
อาการ Brain Rot ที่ควรเริ่มระวังและอาจต้องพบแพทย์
หากเริ่มมีอาการเหล่านี้ติดต่อกันหลายสัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์/ผู้เชี่ยวชาญ
- สมาธิสั้นจน ทำงาน/เรียน แทบไม่ได้
- ความจำสั้น ลืมง่ายเกินปกติ
- ขาดแรงจูงใจ ไม่อยากทำสิ่งที่เคยชอบ
- วิตกกังวลหรือซึมเศร้าร่วมด้วย เช่น หดหู่ เบื่อหน่าย ไม่มีคุณค่าในตัวเอง
- นอนไม่หลับหรือนอนมากผิดปกติ
- ใช้เวลากับคอนเทนต์สมองฝ่อจน กระทบต่อความสัมพันธ์หรือชีวิตประจำวัน
- รู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ เช่น เสพโซเชียลทั้งวันจนหยุดไม่ได้
หากใครคิดว่าเริ่ม Brain Rot แล้ว ลองไปทำแบบประเมินสั้น ๆ ให้รู้ว่ามีอาการ Brain Rot ระดับไหน ?

สรุปผลคะแนน
- 0–3 คะแนน → Brain Rot ระดับทั่วไปแค่เสพความบันเทิงเยอะไปนิด ปรับเวลาใช้งานมือถือก็เอาอยู่
- 4–6 คะแนน → Brain Rot เริ่มน่าเป็นห่วงเริ่มกระทบสมาธิและชีวิตประจำวัน ควรลดคอนเทนต์ไว ฝึกโฟกัส และดูแลสุขภาพกายใจ
- 7–10 คะแนน → Brain Rot ระดับควรพบผู้เชี่ยวชาญมีผลกระทบจริงต่อการทำงาน/เรียน หรือมีอาการทางอารมณ์ร่วม ควรปรึกษาแพทย์/จิตแพทย์ เพื่อหาทางแก้ไข
หากลองเช็คดูแล้ว คุณอยู่กำลังมีอาการ Brain Rot สมองฝ่อ สมองเน่า ก็ควรรีบหาวิธีแก้ไข หรือป้องกัน
____________________________________________
วิธีแก้ Brain Rot สมองฝ่อ/สมองเน่า พร้อม วิธีบำรุงสมอง
- วิธีแก้ Brain Rot สมองฝ่อ สมองเน่า
- จำกัดเวลาเสพสื่อโซเชียล / AI Chat ตั้งเวลาใช้มือถือ หรือใช้แอปช่วยจำกัดเวลาในการใช้งาน รวมถึงเลือกเสพคอนเทนต์ที่มีประโยชน์แทน doomscrolling ที่สำคัญอย่าใช้ AI ช่วยทุกอย่าง ควรนำมาวิเคราะห์ ต่อยอด เพื่อให้สมองได้ถูกใช้ไปด้วย
- ฝึกสมองด้วยกิจกรรมเชิงลึก ลองทำกิจกรรมที่ใช้สมองนาน ๆ เช่น อ่านหนังสือแบบยาว ๆ , จดบันทึกความคิด หรือทำโจทย์ ฝึกเขียน รวมถึงเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ
- เชื่อมต่อกับโลกจริง ออกไปเจอเพื่อน ครอบครัว หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อฝึกการเข้าสังคม ลดการพึ่งพา AI หรือโลกออนไลน์จนเกินไป
- ฝึกสมาธิและสติ ด้วยคอนเทนต์และไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันหล่อหลวมให้เราสมาธิสั้น ใจร้อน ไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้นานๆ เราจึงควรฝึกสมาธิและสติ ด้วยการนั่งสมาธิ หายใจเข้า–ออกอย่างมีสติ รวมถึงฝึกสังเกตความคิดตัวเองเวลาที่สมองเริ่ม “เบลอ” จากคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่เราเสพ
- วิธีบำรุงสมอง
“สมองก็เหมือนกล้ามเนื้อ” ยิ่งใช้ ยิ่งฝึก ยิ่งบำรุง ก็ยิ่งแข็งแรง เราควรบำรุงสมองอย่างไรบ้าง
- เสริมสารอาหารบำรุงสมอง เลือกอาหารที่มี โอเมก้า 3 (ปลาแซลมอน, วอลนัท) , วิตามินบีรวม ( ธัญพืชไม่ขัดสี ไข่ นม ) และผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อบำรุงร่างกายและสมองของเรา
- ออกกำลังกาย ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและระบบประสาท รวมถึงการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง ยังช่วยเรื่องสมดุลของสารเคมีในสมองอีกด้วย
- นอนหลับให้เพียงพอ การนอนคุณภาพดีช่วยให้สมองซ่อมแซมตัวเองควรพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่นอนดึก เพราะสมองจะไม่ได้พัก
- จัดการความเครียด หากรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเครียดง่าย ต้องฝึกจัดการความเครียด ลองฝึกหายใจลึก ๆ หรือทำสมาธิ รวมถึงหากิจกรรมที่ผ่อนคลายทำ เช่น ฟังเพลง วาดรูป ปลูกต้นไม้
- ฝึกใช้สมองบ่อยๆ เช่น อ่านหนังสือหรือบทความยาว ๆ หรือเล่นเกมฝึกสมอง จำพวก Sudoku, Crossword รวมถึงการฝึกทักษะใหม่ ๆ เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เช่น ภาษา ดนตรี งานอดิเรก
____________________________________________
สรุป หากปล่อยให้เทคโนโลยีขโมยเวลาสมองมากเกินไป อาจเกิด Brain Rot ภาวะสมองเน่าไม่รู้ตัว
แม้ว่า “Brain Rot” จะเป็นคำฮิตจิกกัดที่ดูเหมือนพูดกันขำๆ ในโลกโซเชียลของอาการ สมองฝ่อ สมองเน่า หรือสมองเบลอ เพราะเสพคอนเทนต์ไว ๆ และไร้สาระมากเกินไป แต่จริง ๆ แล้วคำนี้สามารถสะท้อนถึงพฤติกรรมการใช้สมองในยุคปัจจุบันได้อย่างชัดเจน เมื่อทุกคนได้เห็นแล้วว่า Brain Rot คืออะไร ? เกิดจากสาเหตุใด ? และการเสพสิ่งกระตุ้นแบบสั้น ๆ ซ้ำ ๆ รวมถึงพึ่งพาการใช้ AI มากเกินไป จนสมองชินกับความบันเทิงตื้น ๆ และทำให้โฟกัสหรือคิดเชิงลึกได้ยากขึ้น ถ้าปล่อยไปนาน ๆ อาจกระทบต่อการเรียน การทำงาน และสุขภาพจิตได้เลย
แต่อย่างที่บอกไปว่า Brain Rot ภาวะสมองฝ่อ สมองเน่า สามารถป้องกันและแก้ไขได้ ด้วยการ จำกัดเวลาเสพโซเชียล ฝึกทำงานสมองเชิงลึก หมั่นออกกำลังกาย นอนพักผ่อนให้พอ และเชื่อมต่อกับโลกจริงบ้าง อย่าใช้เวลาแต่กับหน้าจอในโลกออนไลน์ เพื่อให้สมองได้พักและกลับมาสดใสและแข็งแรงอีกครั้ง
สุดท้ายนี้ ซิสอยากย้ำกับทุกคนว่า “สมองก็เหมือนกล้ามเนื้อ” หากเราใช้แต่ในทางที่ง่ายเกินไป วันหนึ่งมันก็จะอ่อนแรงลง แต่ถ้าเราหมั่นฝึก คิด วิเคราะห์ และดูแลมันอย่างสมดุล เราก็จะไม่ตกอยู่ในวังวน Brain Rot และยังคงมีสมองที่สดใหม่พร้อมรับมือกับทุกความท้าทายของโลกยุค AI ได้เสมอ
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : corp.oup.com, forbes-com, newportinstitute-com
ขอบคุณภาพประกอบจาก : aurora.dawn.com, corp.oup.com, thetenaflyecho.com, chatgpt.com, afisha.uz
บทความแนะนำ

Doodling Method เทคนิคลากเส้น ขีดๆ เขียนๆ ก็เพิ่มความจำในสมองได้ | บทความของ ManooFK | SistaCafe ครบเครื่องเรื่องบิวตี้
https://sistacafe.com/summaries/what-is-the-doodling-method-5699

วิธีนอนหลับแบบหลอกสมอง แชร์ทริคงีบกลางวันยังไงให้หายง่วง หายเบลอ ? | บทความของ ManooFK | SistaCafe ครบเครื่องเรื่องบิวตี้
https://sistacafe.com/summaries/take-a-nap-tricks-201192

Stroke เช็กสัญญาณหลอดเลือดสมอง โรคใกล้ตัวที่ต้องหมั่นสังเกต | บทความของ ManooFK | SistaCafe ครบเครื่องเรื่องบิวตี้
https://sistacafe.com/summaries/stroke-knowledge-health-213604

วิธีสังเกตไมเกรน เสียงกระซิบจากสมอง ที่เราไม่ควรมองข้าม | บทความของ belfry | SistaCafe ครบเครื่องเรื่องบิวตี้
https://sistacafe.com/summaries/how-to-recognize-migraines-93060