สำหรับเพื่อน ๆhttps://sistacafe.com/ที่กำลังตัดสินใจเข้ารับบริการการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแต่ยังมองหาคลินิกที่ถูกใจไม่ได้ หรือยังไม่มั่นใจว่าทำแล้วจะได้ผลลัพธ์ที่เห็นผลอย่างชัดเจนหรือเปล่า? ทำแล้วจะปลอดภัยต่อผิวหนังและดวงตาของเรามากน้อยแค่ไหน? บทความนี้จะมาเผยเคล็ดลับวิธีเลือกคลินิกฟิลเลอร์ใต้ตา ทำที่ไหนดีเพื่อให้เห็นผลอย่างชัดเจน ถูกใจ และปลอดภัยไม่เสี่ยงอันตรายต่อดวงตาทำให้ตาบอด

รูปภาพ:

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์นั้นถือเป็นหัตถการทางความงามที่จะช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้อย่างรวดเร็วและเห็นผลไวที่สุด ด้วยการฉีดสาร HA ( Hyaluronic Acid ) เข้าไปยังชั้นผิวใต้ตาเพื่อให้เนื้อฟิลเลอร์เข้าไปเติมเต็มชั้นผิวหนังให้เต็มและชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดังนี้

- ปัญหาใต้ตาลึก

- ปัญหาการมีร่องใต้ตา

- ปัญหาริ้วรอยใต้ตาและรอบๆ ดวงตา

- ปัญหาผิวบริเวณใต้ตามีการขาดความชุ่มชื้น

ซึ่งในการhttps://www.gangnamconsult.com/under-eye-filler/นั้นจะช่วยให้สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างทันที และมีอายุผลลัพธ์ที่ค่อนข้างยาวนานประมาณ 6-18 เดือน

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เจ็บไหมต้องใช้ยาชาหรือไม่ ?

ในการฉีดฟิลเลอร์ในปัจจุบันนี้ไม่ต้องใช้ยาชา เนื่องจากฟิลเลอร์ที่วางขายอยู่ตามท้องตลาด ณ ตอนนี้จะมีส่วนผสมของยาชาอยู่แล้ว จึงทำให้ตอนฉีดไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด และในบางคลินิกคุณหมอจะใช้การประคบเย็นเข้าช่วย เพื่อให้ผิวหนังเกิดความชาจนไม่รู้สึกเจ็บอีกด้วย

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาต้องใช้ฟิลเลอร์จำนวนกี่ซีซี ?

ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นโดยปกติแล้วจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์อยู่ที่ 1-2 ซีซีก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากผิวบริเวณใต้ตามีความบอบบาง หากฉีดเยอะๆ อาจทำให้เกิดการบวมล้นจนทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติได้

วิธีเลือกฟิลเลอร์ให้เหมาะกับการฉีดบริเวณใต้ตา

ก่อนจะพูดถึงยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการมาฉีดแก้ปัญหาใต้ตา ว่ามียี่ห้ออะไรบ้าง ซิสขอให้เพื่อนๆ ที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คำนึงถึงคุณสมบัติฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับการฉีดบริเวณผิวหนังรอบดวงตา ที่บอบบางและเซนซิทีฟง่ายเสียก่อนเลย นั่นก็คือ

มีความคงตัวสูงและยืดหย่นสูง :ป้องกันฟิลเลอร์ไหลย้อย ซึ่งอาจเป็นผลให้บริเวณรอบดวงตาเหี่ยวย่น ให้ผลลัพธ์ไม่สวย เสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ไขอีกครั้ง

เนื้อฟิลเลอร์ไม่ฟูตัว :เพราะหากเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเนื้อฟู จะส่งผลให้ตาดูบวม ไม่เป็นธรรมชาติ

ปั้นทรงเนียนเป็นธรรมชาติ :เลือกฟิลเลอร์ที่ปั้นทรงได้เป็นธรรมชาติ ไม่แข็งและไม่นิ่มจนเกินไป จะส่งผลให้เติมเต็มบริเวณรอบดวงตาได้อย่างสมบูรณ์

ฟิลเลอร์ที่มีขนาดเล็ก เนื้อละเอียด มีความนิ่มเป็นพิเศษ :ยิ่งฟิลเลอร์มีความนิ่มและละเอียดมากแค่ไหน ก็จะถนอมผิวหนังบริเวณรอบดวงตาที่เป็นบริเวณที่บอบบาง และเซนซิทีฟมากได้อย่างดี

รูปภาพ:

ยี่ห้อฟิลเลอร์ใต้ตาที่คลินิกความเลือกใช้ มียี่ห้อไหนบ้าง ?

ส่วนยี่ห้อฟิลเลอร์ใต้ตาที่คุณหมอแนะนำว่าเหมาะสมกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีอยู่ 3 ยี่ห้อต่อไปนี้

1. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane

เป็นฟิลเลอร์แบรนด์แรกของโลก มีต้นกำเนิดมาจากประเทศสวีเดน ผลิตโดยบริษัท Galderma และได้มาตรฐานรับรองและขึ้นทะเบียนจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) ไทย และเกาหลีใต้ รวมไปถึงได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์จากสหภาพยุโรป (EDQM) อีกด้วย ซึ่งฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane มีหลายรุ่นด้วยกัน แต่รุ่นที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีทั้งหมด 4 รุ่นดังนี้

·   Restylane รุ่น Perlane Lyft

·   Restylane รุ่น Defyne

·   Restylane รุ่น Vital Light

·   Restylane รุ่น Classic

ข้อดีฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane ต่อการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีความปลอดภัยต่อผิวหนังรอบดวงตา และดวงตาเป็นอย่างสูง ในระหว่างฉีดรู้สึกเจ็บน้อยมาก นอกจากนั้นยังให้ผลลัพธ์นาน และช่วยเติมความชุ่มชื้นให้บริเวณรอบดวงตาได้ดีฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylaneเหมาะกับใครบ้าง- เหมาะกับผู้ที่ต้องการเติมเต็มร่องลึกใต้ดวงตา- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยหางตาลึก ปลายหางตามีริ้วรอยขีดเยอะ- เหมาะกับผู้ที่มีใต้ตาลึก ต้องการเติมร่องลึกดังกล่าวให้ตื้นขึ้น และทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ไม่โทรม- เหมาะกับผู้ที่ขอบตาคล้ำ เพราะฟิลเลอร์จะเข้าไปใช่วยเติมเต็มด้วยการมอบความชุ่มชื้นจากคุณสมบัติเจลที่อุ้มน้ำได้ดี

2. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm

เป็นฟิลเลอร์ของประเทศอเมริกา นำเข้าโดยบริษัท Allergan Thailand (DSKH) ได้รับรองการนำเข้าอย่างถูกต้องจากองค์กรอาหารและยาของไทย (อย.) และนิยมใช้กับการฟิลเลอร์ใต้ตา เพราะมีคุณสมบัติอันโดดเด่นได้แก่ เนื้อฟิลเลอร์จะมีจำนวนพันธะเยอะ, เนื้อฟิลเลอร์มีความเรียบเนียน และมีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm มีหลายรุ่นด้วยกัน แต่รุ่นที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีทั้งหมด 3 รุ่นดังนี้

·   Juvederm รุ่น Volite

·   Juvederm รุ่น Voluma

·   Juvederm รุ่น Volux

ข้อดีฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm ต่อการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ไม่รู้สึกเจ็บในขณะที่ทำ เพราะมีส่วนผสมของยาชาที่ชื่อว่า LIDOCAINE ให้ผลลัพธ์หลังฉีดที่เรียบเนียนดูเป็นธรรมชาติ เนื้อฟิลเลอร์ทนต่อแรงขยับได้ดี และสามารถอยู่ได้นานถึง 24 เดือน

ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm เหมาะกับแก้ปัญหารอบดวงตาแบบไหน

- เหมาะกับผู้ที่มีผิวบริเวณรอบดวงตาบาง

- เหมาะกับผู้ที่ต้องการฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก

- เหมาะกับผู้ที่ผู้ที่ตาโหล ใต้ตาลึก

- เหมาะกับผู้ที่ใต้ตาคล้ำ ต้องการให้ใบหน้าผ่องใสขึ้น ไม่หมองคล้ำ

- เหมาะกับผู้ที่ต้องการเติมเต็มใต้ตาให้ดูอิ่มฟู เนียนรับกับบริเวณขมับและรูปหน้า

3. ฟิลเลอร์ ยี่ห้อ Belotero

เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผ่านการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องโดย อย. สหรัฐอเมริกา ยุโรป และไทย ซึ่งเป็นฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid ที่มีคุณสมบัติเพื่อนำมาแก้ปัญหาใต้ดวงตาอย่างแท้จริง ด้วยคุณสมบัติที่ครบถ้วน คือ มีความยืดหยุ่นมากและคงตัวสูง สำหรับจุดเด่นของ ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero คือกล่องบรรจุฟิลเลอร์มีหลายสี จึงทำให้มีอีกชื่อเรียกนั่นก็คือ Colorfull Filler ซึ่งกล่องแต่ละสีคือการแยกรุ่นต่างๆ ออกไป สำหรับฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero มีหลายรุ่น แต่รุ่นที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีทั้งหมด 2 รุ่นดังนี้

·   Belotero รุ่น Volume กล่องสีม่วง

·   Belotero รุ่น Soft กล่องสีเหลือง

ข้อดีฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero ต่อการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

มีความปลอดภัยต่อผิวหนังบริเวณรอบดวงตา มีความทนทาน อยู่ทรง และเนื้อนิ่ม เนื้อเหมาะกับการฉีดในบริเวณที่ขยับบ่อยๆ หลังฉีดให้ผลลัพธ์ดูเด็กลง ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นานถึง 18 เดือน

ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero เหมาะกับแก้ปัญหารอบดวงตาแบบไหน

- เหมาะกับผู้ที่มีผิวใต้ตาลึกมาก

- เหมาะกับผู้ที่มีใต้ตาหมองคล้ำมาก

- เหมาะกับผู้ที่มีผิวบริเวณรอบดวงตาเหี่ยวย่น

- เหมาะกับผู้ที่รอบดวงตามีรอยเยอะ

- เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ไขรอบดวงตาให้เรียบเนียน เต่งตึงรับกับผิวหน้าเพื่อให้ดูเด็กขึ้น

- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาใต้ตา ที่เกิดจากการทรุดตัวของกระดูก

วิธีเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ทำที่ไหนดี ?

การเลือกสถานที่ทำหัตถการความงามต่างๆ หรือคลินิกใดคลินิกหนึ่งเพื่อฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่มีมาตรฐานให้เหมาะสมกับปัญหาผิวบริเวณนั้นๆ ของเราเลย ฉะนั้นแล้วหลักการเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ต้องคำนึงถึงคุณสมบัติที่คลินิกควรมีดังนี้

1. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคลินิก

การจะมั่นใจว่าคลินิกที่เราเลือกเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้น ได้มาตรฐาน ความปลอดภัยหรือไม่ จะต้องตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ว่าต้องมีอย่างครบถ้วน เช่น มีใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล/คลินิก มีเครื่องมือที่คลินิกใช้ในการหัตถการจะต้องมีมาตรฐาน ปลอดภัยสูง โดยสาขาตรวจสอบข้อมูลแพทย์และคลิกนิกได้ที่http://www.tmc.or.th/check_md/

2. ตรวจสอบมาตรฐานฟิลเลอร์ ที่คลินิกเลือกใช้ ต้องเป็นของแท้เท่านั้น

ฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยต่อผิวหนัง รวมถึงอวัยวะบริเวณโดยรอบที่ฉีดมากที่สุด คือ ฟิลเลอร์ชนิด HA (Hyaluronic Acid) ที่สลายออกได้ 100% ซึ่งฟิลเลอร์ HA มีวิธีตรวจสอบว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ดังนี้

·   กล่องฟิลเลอร์แท้ ต้องมีซีลป้องกันการเปิด

·   กล่องฟิลเลอร์แท้ มีเลขทะเบียนอย.และเอกสารกำกับชัดเจน

·   กล่องฟิลเลอร์แท้ มีเลข Lot.ตรงกันทั้งสองที่ คือ เลข Lot. ที่กล่อง และเลข Lot.ที่ขวด

·   สามารถโทรเช็กเลขLot.และคลินิกได้ที่บริษัทจัดส่งของฟิลเลอร์ยี่ห้อนั้นๆ ซึ่งจะมีเบอร์โทรติดไว้ชัดเจน

·   ขวดของฟิลเลอร์แท้ เป็นยาเคลือบที่ก้นขวด ไม่มีน้ำ ต้องใส่น้ำเกลือและดูดยาออกมาเท่านั้น

3. คลินิกมีฟิลเลอร์ กี่ยี่ห้อ กี่รุ่น เหมาะกับเราหรือไม่

หากต้องการเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับคลินิกใดคลินิกหนึ่ง จะต้องคำนึงถึงตัวเลือกของฟิลเลอร์ที่ครอบคลุมความต้องการและความเหมาะสมของเรามากที่สุด ทั้งฟิลเลอร์ที่มีให้เลือกนั้น จะต้องเป็นฟิลเลอร์แท้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการฉีดใต้ตา เช่น ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane, ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm และฟิลเลอร์ ยี่ห้อ Belotero เป็นต้น

4. เช็กชื่อเสียงและรางวัลที่คลินิกเคยได้รับ

การเช็กชื่อเสียงของคลินิกที่ต้องการเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถเข้าเช็กได้จากเว็บไซต์คลินิก เพื่อได้ทราบว่าคลินิกที่เราสนใจอยู่นั้นโดดเด่นและเชี่ยวชาญในเรื่องของการฉีดฟิลเลอร์มากน้อยแค่ไหน เป็นการง่ายต่อการตัดสินใจเลือกในอีกระดับหนึ่ง

รูปภาพ:

5. เช็กรีวิวจากลูกค้าที่เคยเข้ารับบริการ

สามารถเช็กได้จากอินเทอร์เน็ต หรือกระทู้รีวิวจากผู้ที่เคยเข้ารับบริการคลินิกนั้นๆ ซึ่งผู้ที่ต้องการเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์มใต้ตาสามารถเช็กความคิดเห็นทั้งในแง่ความรู้สึกระหว่างเข้ารับบริการ ผลลัพ​ธ์ที่ได้ ไปจนถึงงานบริการจากพนักงานคลินิกนั้นๆ ว่าดีหรือแย่ เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนเข้ารับบริการ

รูปภาพ:

ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ได้มาตรฐาน จะต้องเป็นอย่างไร ?

หลังเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้เข้ารับบริการก็คาดหวังได้ผลลัพธ์ที่ดี และปลอดภัยด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นหากเลือกเข้ารับบริการจากคลินิกได้มาตรฐาน และทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญการฉีดฟิลเลอร์อย่างแท้จริงแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาดังนี้

อาการหลังฉีดเสร็จทันที

- มีอาการบวมจากเข็มฉีด ในระยะเวลา 2-3 วัน และจะหายได้เองเป็นปกติ

- อาจมีผื่นหรือจุดแดงขึ้นบริเวณรอยเข็ม แต่จะหายเป็นปกติภายใน 1-2 วัน

ซึ่งอาการทั้งหมด สามารถใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยบรรเทาอาการบวมและลดรอยเข็ม รอยช้ำได้

ระยะเวลาฟิลเลอร์เข้าที่

หลังฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลเปลี่ยนแปลงทันที แต่การเซตตัวของฟิลเลอร์จะเข้าที่อย่างสมบูรณ์ โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 4-5 วัน หลังเข้ารับบริการ

ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ระยะเวลาที่ฟิลเลอร์จะเข้าไปเซตตัวใต้ผิวหนัง ทั้งยังแสดงผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและชัดเจนที่สุดคือเวลา 2 - 3 สัปดาห์ หลังเข้ารับบริการ

จะต้องไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรง

หลังเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะต้องไม่มีอาการร้ายแรง อันส่งผลเสียต่อผิวหนังรอบดวงตา ไม่ว่าจะเป็นอาการบวม จับแล้วเป็นก้อนแข็ง อักเสบบวม จับแล้วร้อนแสบ หรือผิวหนังรอบดวงตามีการกระจุกตัวของฟิลเลอร์ไหลย้อยไปที่จุดใดจุดหนึ่ง

รูปภาพ:

อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไม่ได้มาตรฐาน

หากเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน อุปกรณ์หัตถการไม่สะอาด แพทย์ไม่เชี่ยวชาญในการฉีดฟิลเลอร์อย่างแท้จริง ย่อมส่งผลเสียต่อผิวหนังและดวงตาดังนี้

1. เกิดอาการนูน เป็นก้อน และขรุขระ (beading)

หากพ้นระยะเวลาไป 7 - 14 วันแล้ว อาการบวมนั้นดูเหมือนว่าจะกลายเป็นก้อนนูนขึ้นมา แถมเมื่อจับแล้วบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ไม่เรียบ เกิดเป็นผิวขรุขระ เป็นไปได้สูงว่าเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ในชั้นผิวหนังที่ตื้นเกินไป หรือเลือกฟิลเลอร์ในขนาดโมเลกุลไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ฉีด

2. ปวดบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์มากขึ้น

ยิ่งเวลาผ่านไป แต่ยิ่งรู้สึกปวดมากขึ้นในบริเวณที่ฉีด อาจจะเป็นสัญญาณของการอักเสบ หรือติดเชื้อจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานมากพอ ทั้งจากคลินิก หรือจากหมอกระเป๋า นั่นเอง

3. ฟิลเลอร์มีการเคลื่อนออกออกจากตำแหน่งที่ฉีด

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แล้วเกิดการจับเป็นก้อนในตำแหน่งที่ไม่ได้ฉีด เท่ากับว่าฟิลเลอร์มีการเคลื่อนตัวออกจากตำแหน่งเดิม ซึ่งกรณีนี้มักเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ใกล้กับบริเวณกล้ามเนื้อมากจนเกินไป หรือฉีดในตำแหน่งที่ต้องขยับบ่อยๆ

4. ลมพิษแบบรุนแรง (angioedema)

เป็นอาการของคนที่แพ้ฟิลเลอร์ ซึ่งเกิดขึ้นได้แม้ว่าจะฉีดฟิลเลอร์แท้ก็ตาม โดยอาการลมพิษสังเกตได้โดย เริ่มมีผื่น คัน แสบ ร้อน บริเวณผิวหนังที่ฉีดฟิลเลอร์ จะต้องรีบเข้าปรึกษาแพทย์ให้ไวที่สุด

5. ตาบอดฉับพลัน

เกิดจากการที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในการฉีดฟิลเลอร์ เลือกฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับผิวรอบดวงตา รวมถึงฉีดให้ผิดชั้นผิดจุด จนทำให้ฟิลเลอร์ไปอุดตัน ไม่สามารถลำเลียงเลือดไปเลี้ยงบริเวณเซลล์จอประสาทตาได้ เซลล์บริเวณดังกล่าวตาย ก็จะทำให้ดวงตาบอดได้นั่นเอง

หากเพื่อนๆ รู้ปัจจัยในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาทำที่ไหนดีที่เห็นผลชัดเจน ถูกใจ ปลอดภัยไม่เสี่ยงตาบอดไปแล้ว และกำลังมองหาคลินิกที่สามารถมอบความปลอดภัยกับดวงตา พร้อมให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ Gangnam clinic หรือแอดไลน์ Line: @gangnamclinic เพื่อนัดหมาย/ ปรึกษาก่อนตัดสินใจได้เลยนะคะ

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ