รูปภาพ:https://i.pinimg.com/originals/55/db/d2/55dbd2694ae8b30c4720724b77d5274f.gif

สวัสดีค่า สาวๆSistaCafeที่อยากสุขภาพดี ห่างไกลโรคทุกคน ^◡^สภาพสังคมบ้านเราตอนนี้ ก็ต้องยอมรับว่ามีเรื่องให้เครียดเยอะมากก ทั้งเรื่องโควิด เศรษฐกิจตกต่ำ วัคซีนที่ยังไม่คืบหน้า ยิ่งถ้าบวกกับความกดดันจากหน้าที่การงาน หรือเร่งเรียนทำเกรดเพื่ออนาคตด้วยแล้วนั้น ก็เรียกว่าพังทั้งกายพังทั้งใจกันเลยทีเดียวจะสังเกตว่าคนรุ่นใหม่เริ่มป่วยง่ายขึ้นตั้งแต่อายุน้อยๆ ทั้งปวดหัว ปวดหลัง ปวดกระบอกตา ออฟฟิศซินโดรม รวมถึงโรคซึมเศร้าที่พบกันมากขึ้นด้วยเช่นกันหนึ่งในโรคภัยที่สาวซิสไม่ควรมองข้าม เพราะบางคนอาจจะไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าโรคนี้มีอยู่บนโลก! นั่นก็คือ' ภาวะต่อมหมวกไตล้า ( adrenal fatigue ) 'ซึ่งมีสาเหตุจากต่อมหมวกไตเล็กๆ เหนือไตที่มีหน้าที่ผลิตและควบคุมฮอร์โมน ตั้งแต่ความดันโลหิต ระบบเผาผลาญ ภูมิคุ้มกันร่างกายและการสืบพันธุ์ ซึ่งมีหลักฐานว่า ' ความเครียดขั้นรุนแรง ' อาจทำให้ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนบางชนิดได้น้อยลง นำไปสู่โรคนี้ได้ในที่สุด ร้ายแรงสุดอาจถึงชีวิตเลยทีเดียว!วันนี้เราขอพาสาวๆ มาส่อง' 7 สัญญาณน่าห่วง อาจเป็นโรคภาวะต่อมหมวกไตล้า 'ที่หลายคนมักมองข้ามไป แต่อาจอันตรายกว่าที่คิด!!!

1. เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย เอะอะก็อยากจะนอน จะฟุบ

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/c47d5e900a04c4bf9eae22de41e20192.jpg

สัญญาณแรกที่สังเกตได้ชัดสุดคือ' ความเหนื่อย 'เพลีย อ่อนล้าแบบไม่รู้สาเหตุ การลืมตาตื่นขึ้นมาในทุกวันคือความน่าเบื่อ ทรมาน บางวันตื่นมาแบบหนักหัวอึ้งๆ ตื้อๆ รู้สึกเหมือนยังไม่ได้พักผ่อนด้วยซ้ำ ร่างกายหวิวๆ หนังตาจะปิด ง่วงพร้อมจะฟุบได้ตลอดเวลา


นั่งเรียนออนไลน์หรือประชุมงานอยู่ดีๆ บางครั้งภาพตัดไปเลย หลับ! การต้องเข็นตัวเองขึ้นมาทำงานอะไรสักอย่างนั้นยากมาก ทั้งที่เมื่อก่อนก็สดชื่น กระปรี้กระเปร่ากว่านี้ อันนี้น่าห่วงว่าจะเป็นภาวะต่อมหมวกไตล้าแล้วละค่ะ

ต้องบอกก่อนว่า ' ความเหนื่อย ' เป็นอาการที่ชี้ชัดยาก มันเป็นได้หลายโรคมากๆ บางครั้งอาจจะเกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรง หรือความเจ็บป่วยอื่นๆ เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง ( SLE ) หรือโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ( Fibromyalgia ) ที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง รวมถึงโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า

ดังนั้นหากร่างกายเพลียหนักเกินปกติ ทั้งที่นอนแล้วแต่รู้สึกไม่มีพลังงานใช้ชีวิตเลย ก็ไปหาหมอเพื่อตรวจวินัยฉัยเบื้องต้นจะเซฟที่สุดค่ะ

2. โหยของกินที่มี ' น้ำตาลและเกลือ ' สูงๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่พอ

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/9b18ee6269399a5a26f51782d6994e6f.jpg

อาการต่อมาที่เข้าข่ายต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นภาวะต่อมหมวกไตล้า คือ ' อยากของหวานและของเค็ม ' โดยไม่มีที่สิ้นสุด ยัดใส่ปากเท่าไหร่ก็ไม่พอ ขอให้มีน้ำตาลและเกลือเยอะๆ ไว้ก่อน

ซึ่งก็หนีไม่พ้นขนมถุง ของมันของทอด จั๊งก์ฟู้ด ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมการกินจุบจิบ น้ำหนักพุ่ง เสี่ยงโรคเบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูงเพิ่มไปอีก... #กุมขมับ

ที่เป็นเช่นนี้เพราะโดยปกติแล้ว ต่อมหมวกไตจะมีหน้าที่ควบคุมอัตราการเผาผลาญและจำนวนเกลือแร่ในร่างกาย แต่เมื่อร่างกายไม่ปกติ ต่อมนี้ก็ทำงานไม่เหมือนเดิม ฮอร์โมนจึงสวิงไปมาเหมือนเล่นรถไฟเหาะ หลั่งออกมาขาดๆ เกินๆ  แทนที่กินเท่านี้แล้วจะอิ่ม กลับอยากขนม อยากของเค็มๆ เพื่อเติมเต็มความหิวที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น


อย่าเพิ่งคิดไปเองว่าเราตะกละเอง ไม่เป็นไรหรอกมั้ง เพราะการกินแบบควบคุมสมองตัวเองไม่ได้มันน่ากลัวนะ! ถ้าเป็นอย่างหลังรีบไปปรึกษาหมอด่วน ก่อนจะสายเกินไปค่ะ

3. ความดันเลือดต่ำ รู้สึกเหมือน #อยากจะวูบ ตลอดเวลา

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/c6b819b0fe252c0cef80de2e9b309793.jpg

อีกหนึ่งสัญญาณที่ควรระวัง ( มากๆ ) หากเป็นภาวะต่อมหมวกไตล้าก็คือ ' ความดันเลือดต่ำ ' หรืออธิบายง่ายๆ คือรู้สึกเหมือนจะวูบตลอดเวลา ไม่สามารถเดินหรือทำกิจกรรมที่ใช้แรงกายต่อเนื่องได้เป็นเวลานาน

หัวเบาโหวงตอนลุกยืนขึ้นเร็วเกินไป มึนๆ เวียนหัว บางทีก็รู้สึกหวิวๆ ต้องหาพนักพิงเกาะ เก้าอี้นั่ง หากฝืนตัวเองบางคนก็เป็นลมล้มหัวฟาดพื้นเลยก็มี


อาการนี้เกิดจากที่ร่างกายขาดฮอร์โมน mineralocorticoids ในต่อมหมวกไตซึ่งมีหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ถ้าร่างกายปกติก็ใช้ชีวิตได้ แต่เมื่อเป็นโรคนี้ ฮอร์โมนนี้จะหลั่งออกมาน้อยเกินไป


ส่งผลต่อการหมดสติ บางรายอาจไม่ถึงกับหน้ามืด แต่ไปตรวจความดันเลือดแล้วต่ำกว่าที่เคยเป็น ถ้าใช่ก็ควรเข้าพบหมอเพื่อขอคำปรึกษาได้แล้วค่ะ

4. น้ำหนักลดฮวบผิดปกติ ทั้งที่ไม่ได้ไดเอทอยู่

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/28cefa5bde635ef6f4954c6a1b0b39b3.jpg

การที่น้ำหนักลดฮวบ ผู้หญิงส่วนใหญ่อาจจะหลงดีใจว่าอยู่ดีๆ ก็ผอมลง แต่ไม่ทันได้คิดว่ามันอาจเป็นสัญญาณอันตรายต่อสุขภาพ! วิธีสังเกตคือ ถ้าอยู่ดีๆ น้ำหนักตัวมากกว่า 5% ของร่างกายลดไปซะเฉยๆ ในเวลาประมาณครึ่งปี ( เช่น น้ำหนัก 50 กิโล ก็ลดไป 5 กิโลกรัม )


ทั้งที่กินอาหารเท่าเดิม ออกกำลังกายเท่าเดิม ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมประจำวันใดๆ ทั้งนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย ต้องรีบไปพบหมอโดยด่วน


จำไว้นะคะ น้ำหนักลดแบบไม่ตั้งใจลด มักเป็นสิ่งที่ก่อเกิดปัญหาเสมอ! แม้จะไม่ใช่ภาวะต่อมหมวกไตล้า ก็อาจเป็นอาการของโรคร้ายแรงอื่นอยู่ดี เช่น ไฮเปอร์ไทรอยด์, เบาหวาน, มะเร็งชนิดต่างๆ เป็นต้น

หากไปโรงพยาบาล หมอจะเช็กด้วยการเจาะเลือดเพื่อตรวจอย่างละเอียด แบบนั้นจะดีกับสุขภาพในระยะยาวมากกว่า ไม่ต้องนั่งมโนว่าผอมลงจากอะไรกันแน่ค่ะ

5. รู้สึกปวดๆ ในช่องท้อง ( Abdominal Pain )

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/ffccb41d0e77623a3e56d477a40739b5.jpg

อีกสัญญาณน่ากลัวควรระวังสำหรับสาวๆ ก็คือ ' การปวดในช่องท้องแบบไม่รู้สาเหตุ ' รู้สึกไม่สบายท้อง ปวดเกร็ง ตะคริว ซึ่งที่จริงการปวดท้องน้อยก็มีหลายสาเหตุมาก เช่น ไวรัสลงกระเพาะ กรดแก๊ส ปวดประจำเดือน

แต่ถ้าสาวๆ ปวดช่องท้องต่อเนื่องมากกว่า 1 วัน หรือปวดท้องอย่างรุนแรงต่อเนื่องหลายชั่วโมง เราแนะนำให้รีบไปหาหมอเพื่ออัลตร้าซาวน์และตรวจภายในโดยด่วนค่ะ

ถ้าปวดช่องท้อง และยังมีอาการอื่นๆ ในบทความนี้ร่วมด้วย เช่น ความดันต่ำ เป็นลมง่าย ชอบกินของหวานของเค็ม ก็มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นภาวะต่อมหมวกไตล้าเนื่องจากต่อมนี้ผลิตฮอร์โมน glucocorticoids ที่ควบคุมสมดุลของน้ำตาล กลูโคสและโปรตีน ออกมาไม่เพียงพอ จึงนำไปสู่ภาวะอาหารไม่ย่อยอย่างรุนแรงได้ค่ะ

6. ปวดเนื้อปวดตัว เมื่อย เจ็บทั่วร่างกาย ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/39f84ded4f6be198c5d864cbefa2d13c.jpg

เป็นกันไหม? แค่ตื่นมาตอนเช้ากลับรู้สึกปวดเมื่อย เจ็บเนื้อเจ็บตัวไปหมด เหมือนเมื่อคืนเพิ่งออกกำลังกายมา 5 ชั่วโมงรวด ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แตะตรงไหนก็ปวด จับตรงไหนก็โอ๊ย ส่งผลให้เรียนและทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ

หากสาวๆ ไม่มีโรคอื่นอยู่เดิม เช่น โรคไข้หวัด โรคกล้ามเนื้ออักเสบ โรคร้ายแรงเรื้อรังอื่นๆ อีกสาเหตุที่เป็นไปได้ก็คือ ' ภาวะต่อมหมวกไตล้า ' นี่แหละค่ะซิส

นั่นเป็นเพราะว่า ต่อมหมวกไตมีหน้าที่ควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน และกระบวนการเกิดการอักเสบในร่างกายให้เป็นปกติ

เมื่อต่อมนี้ทำงานบิดเบี้ยว ผิดพลาดไปจากเดิม อาจนำไปสู่การที่ร่างกายมีการอักเสบภายในเพิ่มขึ้น จึงทำให้กระดูกข้อต่อ เนื้อเยื่อข้อต่อต่างๆ เจ็บปวดมากกว่าเดิมนั่นเอง

7. อารมณ์สวิง ท้องเสีย มึนหัว อาเจียนไม่มีสาเหตุ

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/57ec4a1a7367b5c9f3a18472abc1e714.jpg

อีกสัญญาณที่มากันเป็นแพ็กเกจ สาวๆ ต้องเฝ้าระวังไว้ให้ดีก็คือ ' อารมณ์สวิง ท้องเสีย มึนหัว อาเจียนไม่รู้สาเหตุ ' โดยที่แน่ใจว่าไม่เกี่ยวกับภาวะ PMS หรือมีประจำเดือนแต่อย่างใด วันดีคืนดีก็รู้สึกอยากจะอ้วก หน้ามืด กินอาหารปกติแต่ดันท้องเสียถ่ายเหลว


อารมณ์ก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย สวิงไปหมดจนทำงานแทบไม่ได้ หากแพ็กคู่มากับอาการปวดกล้ามเนื้อแล้วล่ะก็ มีสิทธิ์เป็นภาวะต่อมหมวกไตล้าสูงมากค่ะ

ฮอร์โมน Glucocorticoids ในต่อมหมวกไตมีหน้าที่ควบคุมว่าอาหารจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานเมื่อไหร่และแบบไหน หากฮอร์โมนชนิดนี้มีไม่พอในกระแสเลือดของเธอ กระบวนการย่อยตามปกติของเธอจะมีปัญหาทันที

หากเธออาเจียนหรือถ่ายเหลวต่อเนื่องเกิน 1 สัปดาห์ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจแล้ว รวมถึงอารมณ์ที่ไม่ปดติ ก็มาจากฮอร์โมนที่ไม่สมดุลด้วยเช่นกัน หากไม่แน่ใจว่าแค่นอนไม่พอ เป็นโรคซึมเศร้า หรืออะไรที่ร้ายแรงกว่านั้น ก็มาให้หมอตรวจจะชัวร์ที่สุดค่ะ

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/originals/55/db/d2/55dbd2694ae8b30c4720724b77d5274f.gif

------------------------------------------

อ่านจบมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนเริ่มนอยด์ๆ ระแวงว่าจะเป็นหรือเปล่า เพราะอาการหลายข้อในบทความนี้ หลายคนก็เป็นกันอยู่ทุกวัน แต่ยังไงก็วางใจไม่ได้ค่ะ เพราะภาวะนี้ทำให้เธอใช้ชีวิตได้ไม่เต็มที่ เพลีย เครียดตลอดเวลา เพราะต่อมหมวกไตรับความเครียดและความล้าไม่ไหว ซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะยังไม่ถึงขั้นเป็นโรคร้ายแรงอย่างหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง แต่หากไม่รีบแก้ไขแต่เนิ่นๆ ร่างกายจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนเกิดโรคแทรกซ้อนจนเสียชีวิตได้

สาเหตุหลักๆ คือความเครียด ทำงานหนัก นอนไม่พอ เรียกว่าเป็นไลฟ์สไตล์คนยุคนี้เลยละ จึงอยากให้ซิสทุกคนรักษาสุขภาพ หาเวลาให้ตัวเองผ่อนคลาย นอนให้พอ ทำสิ่งที่ชอบบ้าง เพราะสุดท้ายแล้วร่างกายเรามีชุดเดียว สุขภาพจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะคะ ขอให้ทุกคนแข็งแรง อดทน ประคองกายและใจผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกันนะคะ แล้วเจอกันใหม่บทความหน้า บ๊ายบายยย \(^ヮ^)/