No Scars To Your Beautiful เพราะเราทุกคนมีความงามในฉบับของตัวเอง

ถ้าพูดถึงเพลง Empower ที่มีความหมายลึกซึ้งและปลุกใจเพื่อนหญิงพลังหญิงแล้วล่ะก็ คงอดที่จะนึกถึงเพลง“Scars To Your Beautiful”ไปไม่ได้เลย เพลงนี้เปิดตัวในปี 2015 ร้องโดย Alessia Cara นักร้องชาวแคนาดา เพลงนี้ของเธอเป็นเพลงเชิงบวกและพยายามที่จะบอกกับทุกคนว่า“เรามีความสวยและมีเอกลักษณ์ในแบบของเราเอง”เนื้อเพลงสนับสนุนให้ทุกคนยอมรับในเอกลักษณ์และข้อบกพร่องของตัวเอง แทนที่จะเดินตามมาตรฐานความงามที่คับแคบของสังคม จริง ๆ เเล้วเพลงนี้ก็ไม่ใช่ว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อผู้หญิงเท่านั้นนะ ผู้ชายหรือ LGBTQ+ ก็เช่นกัน พวกเขาเหล่านี้ล้วนเกิดบาดแผล ความเจ็บปวดจากมาตรฐานความงามไม่ต่างกัน

และถ้าใครได้ติดตามน้อง ๆ BABYMONSTER เกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีเจน 5 โปรเจคจากค่าย YG Entertainment คงจะได้ฟังเพลงนี้ในเวอร์ชั่นของสาว ๆ ไปบ้างเเล้ว โดยน้อง ๆ ได้นำเพลงนี้มาโคฟเวอร์ใหม่ ในแบบฉบับของตัวเอง ฟังสบายและปล่อยของกันแบบสุด ๆ

และการที่ BABYMONSTER นำเพลงนี้กลับมาร้องเป็นเหมือนการปลุกกระเเสเพลงนี้ขึ้นมาอีกครั้ง วันนี้เราเลยอยากชวนทุกคนมาพูดคุยในมุมมองที่เกี่ยวข้องกับ“แผลเป็นและความงาม”จะเป็นยังไงบ้าง เรามาเริ่มกันเลยค่ะ

รูปภาพ:

แผลเป็น ความเจ็บปวด และความงาม

แผลเป็น ความเจ็บปวด และความงามสามสิ่งนี้เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกันอย่างไร?

ถ้ามองผิวเผินเเล้ว อาจจะตีความหมายได้ว่า เเผลเป็นตามร่างกายที่ส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดและทำให้แง่มุมที่มีต่อความงามเปลี่ยนไป ซึ่งก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการตีความนี้เป็นไปได้ เพราะก็มีหลักฐานที่แสดงถึงกรอบหรือค่านิยมความงามที่สร้างทั้งความเจ็บปวดและเเผลเป็นได้จริง ๆ

รูปภาพ:

ตัวอย่างเช่นการรัดเท้าของจีนยุคโบราณ

การรัดเท้าเป็นประเพณีจีนโบราณ ประเพณีเริ่มต้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 สมัยจักรพรรดิ Li Yu (ราชวงศ์ถังใต้) ในการสร้าง "เท้ารูปดอกบัว" ผู้หญิงจะต้องรัดนิ้วเท้าอย่างแน่นเป็นจุดสามเหลี่ยม นำเท้าไปแช่สมุนไพรและเลือดสัตว์เพื่อให้ผิวหนังนุ่ม จะมีการทำความสะอาดเล็บเท้า หรือบางคนก็เลือกที่จะถอดเล็บเท้าออกเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หลังจากนั้นดันนิ้วโป้งขึ้นพร้อมกับพับนิ้วเท้าอีก 4 นิ้วลงจนผิดรูปมาที่ฝ่าเท้า นำผ้าหุ้มเท้ามารัดเท้าให้แน่นและเย็บด้วยผ้าชั้นนอกอีกครั้งเพื่อป้องกันการขยับจากการเคลื่อนไหว เนื่องจากชาวจีนโบราณเชื่อว่าการที่ผู้หญิงมีเท้าเล็กเหมือนดอกบัวนั้นบ่งบอกถึงการมาจากตระกูลผู้ดี เป็นสตรีที่มาจากครอบครัวชนชั้นสูง หรือแม้กระทั่งการรัดเท้าสวยจะส่งผลต่อชีวิตคู่

ที่มา:https://www.vogue.co.th/lifestyle/article/foot-binding-chinese-culture

ถึงเเม้ว่าประเพณีการรัดเท้าจะไม่มีอยู่แล้วแต่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดไว้ให้กับหญิงสาวชาวจีนที่ต้องถูกจำกัดกรอบการใช้ชีวิตให้อยู่ใน

รูปแบบที่สังคมกำหนดถึงจะถูก “ยอมรับ”

และเป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพ ความเจ็บปวดและความงามได้อย่างชัดเจน

แผลเป็นในใจ

แต่ในอีกแง่มุมนึงในเพลง Scars To Your Beautiful เขาพูดถึง“Scar”ในแง่มุมที่น่าสนใจมาก เพราะเเผลเป็นที่ว่าคือ“แผลเป็นข้างในจิตใจ”ที่ไม่ใช่ความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่เป็นแผลเป็นในจิตใจที่เกิดจากการวิ่งไล่ล่าความสวยงามในแบบที่คนอื่นยอมรับ ในแบบที่ทิศทางสังคมตั้งค่าและกำหนดไว้ว่าสวยดี เพอร์เฟค ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เขาเองก็อาจจะไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่กำลังทำ ต้องฝืนความเป็นตัวเอง มองข้ามความต้องการที่แท้จริงของตัวเองกลบมันไว้เพราะไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่ามาตรฐาน

หลาย ๆ คนคงเจ็บปวดกับ “Beauty Standard” หรือ “มาตรฐานความงาม” ไม่ใช่น้อยเลย เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสวยตรงกับมาตรฐานนั้น แต่มาตรฐานที่ว่าอยู่ตรงไหน มาตรฐานนั้นคืออะไรและสิ้นสุดที่ตรงไหน!? คงไม่มีใครตอบได้ เช่น เมื่อก่อนคนค่อนข้าง concern กับการที่ผู้หญิงสะโพกใหญ่และมีก้น เด็กผู้หญิงหลายคนถูกล้อกับสิ่งที่เขาเกิดมาเป็น แต่ปัจจุบันนี้คนที่มีสะโพกผายและมีก้นถูกมองว่าสวย รูปร่างดี เพราะความชอบและมาตรฐานที่เปลี่ยนไป

ถ้าเราวิ่งไล่ล่าความงามในแบบที่สังคมมองว่าสวย เราคงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมากและไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดจะอยู่ที่ตรงไหนเลยใช่ไหมคะ?

เพราะคนรอบข้างคือกระจกสะท้อนให้เขามองเห็นตัวเอง

รูปภาพ:

“บ่อยครั้งที่โลกบอกเราทั้งทางตรงและทางอ้อมว่าเราไม่ควรมีความสุขกับตัวเองหากเราไม่เหมาะกับมาตรฐานความงามบางอย่าง”- Alessia Cara

เพราะบางครั้งตัวเขาเองก็มองไม่เห็นตัวเองชัดขนาดนั้น สิ่งสำคัญคือสิ่งที่คนอื่นสะท้อนให้ต่างหากที่จะกลายเป็นมุมมองที่เขามองเห็นตัวเอง การแปะป้ายคนอื่นว่า คนนี้ไม่สวย คนนั้นหน้าตาไม่ดี มันคือการตัดสินคนอื่นและการไม่ยอมรับความแตกต่างในสังคม ที่มีสีผิวต่างกัน รูปร่างต่างกันและหน้าตาต่างกัน คำวิพากษ์วิจารณ์จากคนอื่นทำให้เขาไม่พอใจในสิ่งที่เป็นและไม่มั่นใจในตัวเอง

จะเห็นว่าบางครั้งคำพูดเชิงลบถูกใช้พูดเพื่อเป็นแรงผลักดัน อยากให้เขาดูแลตัวเอง พัฒนาตัวเองให้สวยขึ้น จริง ๆ แล้วคำพูดเหล่านี้ไม่ได้สร้างกำลังใจ เเต่กลับทำให้เขารู้สึกแย่กับตัวเองและกลายเป็นแผลภายในใจกลายเป็นสิ่งที่เขายึดมั่นและเชื่อไปแล้วว่า “นี่เเหละคือสิ่งที่ฉันเป็น” การยึดถือตัวตนที่คนอื่นหยิบยื่นมาเป็นของตัวเองนั้นไม่ได้สร้างความเสียหายแค่ระดับ ‘ตัวตน’ เท่านั้น แต่ส่งผลกระทบต่อระดับ “Self-esteem” หรือ “การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง”สิ่งที่ไม่ได้สร้างขึ้นโดยง่ายและการฟื้นฟูก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันค่ะ

งามอย่างไรให้มีความสุข?

แต่คงเป็นเรื่องยากที่จะให้มาตรฐานความงามนั้นหายไป ในทุกสังคม ทุกยุคสมัยล้วนมี Beauty Standard แต่คงจะดีถ้าเรากำหนดมาตรฐานของใครของมัน ไม่ต้องตั้งมาตรฐานให้คนอื่น เป็นมาตรฐานที่เราจะยอมรับตัวเองในแบบที่เราเป็น

งามอย่างไรให้มีความสุข

รูปภาพ:

1. เราทุกคนไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้คนอื่นยอมรับ

การพยายามไล่ล่า ไขว่คว้าความงามในแบบที่คนอื่น ‘ยอมรับ’ อย่าลืมว่าสิ่งนั้นต้องแลกมากับความเจ็บปวดเป็นร้อยเป็นพัน เราต้องมองข้ามความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง ต้องฝืนเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ เพื่อแลกมากับการยอมรับ สิ่งนี้คุ้มแล้วจริง ๆ เหรอ? เราอยู่ในสังคมก็จริง เเต่เราไม่จำเป็นต้องเเคร์สังคมจนลืมตัวเองไปนะ:)

อย่างท่อนนึงในเพลง Scars To Your Beautiful นึงที่เราชอบมาก ๆ คือ

You don't have to change a thing,the world could change its heart.

ใช่เเล้วล่ะเธอไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรในตัวเองเพื่อให้ใครชอบเลย เพราะความจริงแล้วโลกหรือสังคมต่างหากที่ต้องเปลี่ยนมุมมองและความคิดเกี่ยวกับความงามนั้นใหม่ยอมรับในรูปร่าง,สีผิวและหน้าตาที่แตกต่างกัน

รูปภาพ:

2. ทุกคนมีความงามอยู่ในตัวเอง ยอมรับมันและมองเห็นมัน

ท่อนหนึ่งในเพลงที่บอกว่าYou should know you’re beautiful just the way you are.คุณควรรู้ไว้ว่าคุณมีความงามในแบบที่คุณเป็นการยอมรับและมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในตัวเองเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของการรักตัวเอง (Self-Love)ลองฝึกฝนการรักตนเองและความเห็นอกเห็นใจตนเอง เช่น ตะหนักถึงข้อบกพร่องและความไม่สมบูรณ์ แต่ที่สำคัญคือการไม่ปฏิเสธจุดเด่นและข้อดีของเรา

เพราะผู้หญิงมี body type มีหน้าตาและสีผิวที่ ต่างกัน การภูมิใจในตัวเองเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เรามั่นใจและรักตัวเองไม่ว่า standard จะไหลไปแบบไหน

รูปภาพ:

3. ทำความรู้จักตัวเอง

ไม่มีใครที่รู้จักเราดีไปกว่าตัวเราเอง ใช้ตัวเราเองเป็นกระจกที่สะท้อนความงาม กระจกที่ไม่ใช่แค่สะท้อนเพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่สะท้อนสิ่งที่อยู่ในตัวเอง ลองถามตัวเองว่าเราต้องการอะไร อยากเสริมตรงไหนที่จะทำให้เราเป็นเราในเวอร์ชันที่สมบูรณ์ที่สุด

ลองตั้งต้นจาก : ความเป็นตัวเรา+สิ่งที่เราอยากจะเป็น

อาจจะลองเขียนจุดแข็งของเรา ส่วนไหนในร่างกายที่เราชอบมากที่สุดและสิ่งที่เราภูมิใจมากที่สุด การทำแบบนี้สามารถช่วยให้เราโฟกัสกับคุณสมบัติเชิงบวกและตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง นอกจากเขียนถึงตัวเองเชิงบวกแล้ว ลองเขียนถึงตัวเองในจุดที่เรารู้สึกว่าอยากปรับให้ดีขึ้นจังเลย ตรงนี้ถ้าเสริมอีกนิดจะดีมากเลยนะ เพื่อการเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

รูปภาพ:

4. ความงามไม่ใช่แค่เรื่องของภายนอก

'Scars to Your Beautiful' เป็นเครื่องเตือนใจว่าความงามไม่ได้มีเพียงหน้าตา รูปร่างหรือสีผิวเพียงอย่างเดียว ความงามไม่ได้จับต้องหรือมองเห็นได้เสมอไปอย่าลืมให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ข้างในด้วยนะ เช่น เราเป็นคนใจดี ใจเย็นและเห็นอกเห็นใจคนอื่นมาก ๆ

ลองสังเกตจากคนรอบตัวที่บางครั้งเราอาจจะไม่ได้มองว่าเขาสวยหรือถูกใจเราตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน แต่พอได้รู้จักไปเรื่อย ๆ เขากลับมีเสน่ห์และสวยในแบบที่เขาเป็น สิ่งนี้แหละที่ทำให้เราสวยในแบบของเราเช่นกัน

รูปภาพ:

5. ตามแฟชั่น ตามเทรนด์ ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเป็นความสุขของเรา

เราอยากเปลี่ยนตัวเองแบบไหน สามารถทำได้ เพราะเราทุกคนมีสิทธิในร่างกายตัวเอง ลองถามตัวเองว่าเรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำจริง ๆ หรือเปล่า? ถ้ามันเป็นสิ่งที่ใจเราต้องการก็ลุยเลยย

รูปภาพ:

6. self-care ลองดูแลตัวเองให้ดีเหมือนที่เราดูแลคนรัก

อย่าลืมพาตัวเองไปอยู่ในกลุ่มคนหรือสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยพลังบวก คนที่เขาเห็นคุณค่าของเราและให้เกียรติเรา แล้วก็ดูแลตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และทำกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกดีกับตัวเองเพราะตัวเราเองสำคัญที่สุดเลยนะ

✳✳✳✳✳✳✳✳✳✳อย่างที่เพลงนี้บอกไว้ว่า“No scars to your beautiful.We’re star and we’re beautiful”ทุกคนมีความสวยงามในแบบของเราเอง เรามีจุดที่เปล่งประกายเหมือน ๆ กัน เพราะฉะนั้นหวังว่าเพื่อน ๆ ที่ได้ฟังเพลงนี้หรือได้อ่านบทความนี้จะได้รับแรงบันดาลใจให้รู้สึกมั่นใจและเห็นคุณค่าข้างในตัวเอง ลองสะท้อนความงามที่อยู่ข้างในตัวเองออกมา มองตัวเองในมุมมองใหม่ ในมุมมองที่รักตัวเองมากขึ้น ใจดีกับตัวเองมากขึ้นนะคะ:)