จำได้หรือไม่ว่าในตอนที่เรายังเด็กเล็กๆ อยู่

พ่อแม่ก็จะมีหน้าที่คอยบ่มเพาะและสอนทุกอย่างให้แก่เรา

ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมในกิจวัตรประจำวัน ไปจนถึงในด้านจิตใจ ความคิดและทัศนคติ ซึ่งสิ่งที่พ่อแม่สอนเรา

แน่นอนว่ามีแต่ความหวังดีอย่างจริงใจล้วนๆ และก็มาจากประสบการณ์ของตัวเอง ฉะนั้นแม้เราจะโตแล้ว พ่อแม่ก็ยังสามารถคอยให้คำแนะนำแก่เราได้อยู่


และคำสอนของพ่อแม่ ก็จะเป็นตัวกำหนดทัศนคติ และการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิต

ซึ่งมีผลต่อชีวิตของเราอย่างแน่นอน

และสิ่งที่พ่อแม่เคยสอนเรา เราก็จะจดจำ และนำไปใช้ในการสอนเด็กเล็ก อย่างลูกหลานเราต่อๆ ไป

แต่ปัญหาอยู่ที่! สิ่งที่พ่อแม่สอนเรา มีอยู่หลายเรื่องที่ฟังเหมือนสมเหตุ สมผล และเป็นคำแนะนำที่ดี แต่จริงๆ แล้วให้ผลตรงกันข้าม!

แทนที่จะทำให้เด็กโตไปด้วยทัศนคติและจิตใจที่แข็งแรงเป็นธรรมชาติ

อาจจะกลายเป็นการกดดัน ทำให้เกิดผลเสียได้

และคำสอนที่ผิดเหล่านั้น เราคัดมา

5 คำสอน ที่เราควรปรับความคิดกันใหม่

จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันให้เข้าใจเลยดีกว่าจ้า


อ่านก่อนสอนต่อ! 5 คำสอนผิดๆ ที่พ่อแม่คิดว่าดีต่อลูก!


1. ทำอะไรให้นึกถึงอนาคต มองสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/15/6d/b5/156db55aba7c6b067f4ecb54945da289.jpg

คำสอนที่เข้าใจผิด : โฟกัสไปที่อนาคต เพื่อประโยชน์ในภายภาคหน้า

สิ่งที่ควรสอน : ใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีที่สุด

เป็นเรื่องยากที่เราจะโฟกัสเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง จากการวิจัยค้นพบว่า จิตใจของเรามักจะอยู๋ในช่วงใจลอยสัก 50% ในขณะที่ตื่น

และเมื่อเราใจลอย เราก็จะเริ่มนึกไปถึงเรื่องในอดีต และกังวลในเรื่องของอนาคต ซึ่งนำไปสู่สาเหตุของการเกิดอารมณ์ในด้านลบ

ไม่ว่าจะเป็นการโกรธ, เสียใจ และเครียด

จิตใจที่พะวงอยู่กับเรื่องของอนาคต

ไม่ว่าจะเป็นการอยากได้เกรดสูงๆ เพื่อจะได้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ อะไรแบบนี้

ก็จะเป็นตัวนำไปสู่อารมณ์วิตกกังวล และความกลัว

ถึงแม้ว่าความเครียดจะเป็นบ่อเกิดแห่งแรงขับเคลื่อนให้เราทำในสิ่งที่ดีต่อตัวเอง แต่ความเครียดเรื้อรัง

จะมีผลต่อสุขภาพของเรา พอๆ กับความสามารถทางด้านสติปัญญา

อย่างเช่นความจำ

และทำให้เราแสดงศักยภาพออกมาได้น้อยลง

จริงๆ แล้วเด็กๆ

จะทำอะไรได้ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้น ถ้าหากได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในปัจจุบัน

และเมื่อเรามีความสุข เราก็จะสามารเรียนรู้อะไรๆ ได้เร็วขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น และแก้ปัญหาอะไรต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

งานวิจัยยังกล่าวไว้ว่า

การมีความสุข จะทำให้เราทำในสิ่งที่มีประโยชน์ได้มากขึ้นถึง 12%  และอารมณ์ด้านบวกยังทำให้ความเครียดลดลง ซึ่งแน่นอนว่าการแก้ปัญหาอะไรต่างๆ ก็ง่ายขึ้น

ซึ่งสรุปได้ว่า การที่ทำให้เด็กๆ มองเห็นเป้าหมาย เพื่อจะได้มีความพยายามให้เป้าหมายสำเร็จนั้นเป็นเรื่องดีแต่แทนที่จะสอนให้เด็กรู้จักว่าควรทำอะไรต่อไป ควรจะช่วยสอนให้เด็กรู้จักการโฟกัสในงาน / บทสนทนาที่เป็นปัจจุบัน หรือใกล้จะมาถึงน่าจะดีกว่า


2. ความเครียดเป็นเรื่องปกติ จงพยายามต่อไป

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/9a/f4/9a/9af49a5269aa5806a2082b6b1c9771e4.jpg

คำสอนที่เข้าใจผิด : ความเครียดเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ จงพยายามสู้เพื่อฝ่าฟันไปให้ได้

สิ่งที่ควรสอน : เรียนรู้วิธีทำจิตใจให้ผ่อนคลาย

แม้จะเป็นวัยเด็ก ก็ยังมีเรื่องให้ต้องเครียดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน หรืออะไรสารพัดอย่าง ฉะนั้นในฐานะพ่อแม่ ก็จะต้องทำหน้าที่ปลอบใจให้ลูกรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น

ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะสอนลูกว่าความเครียดเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นเรื่องปกติ ที่เราจะต้องเจอหากอยากมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จซึ่งสิ่งที่เรานำมาสอนก็คือการอ้างอิงจากตัวเองทั้งนั้น โดยไม่ได้นึกถึงว่าสิ่งที่ตัวเองใช้แก้ความเครียดมีอะไรบ้างพ่อแม่บางคนทำทุกอย่างเพื่อมีชีวิตที่ดี จนต้องทนต่อความเครียด และอาศัยตัวช่วยอย่างแอลกอฮอล์, ยานอนหลับหรืออะไรต่างๆ เพื่อระงับความเครียด ซึ่งมันดีจริงๆ เหรอ?เราหักโหมต่อชีวิตตัวเองไปรึเปล่า การทำตัวอย่างแบบนี้ไม่ได้ดีต่อเด็กเลยแนะนำว่าเราควรจะสอนให้เด็กๆ รู้จักวิธีรับมือความเครียดอย่างผ่อนคลายเมื่อต้องเผชิญกับเรื่องราวที่น่าลำบากใจ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ, ฝึกโยคะ หรือปล่อยวาง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อระบบประสาทของเด็กๆด้วย

3. อย่าทำตัวว่าง

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/f9/ce/8a/f9ce8a7adfc7f691f2d046c52fa24f9c.jpg

คำสอนที่เข้าใจผิด : อย่าปล่อยให้ตัวเองว่าง

สิ่งที่ควรสอน : ควรเอ็นจอยกับการไม่ต้องทำอะไรบ้างก็ได้

บางครั้ง แม้ในยามว่าง คนเราก็มักจะต้องหาอะไรมาทำ โดยเฉพาะเด็กๆ ในวันหยุดก็มักจะไม่ได้หยุดจริง

เพราะผู้ใหญ่เห็นว่าการปล่อยให้เด็กนั่งว่างๆ ไม่ทำอะไรเลย อาจจะไม่ใช่เรื่องดี จึงพยายามหากิจกรรมอะไรให้ทำ

อย่างอ่านหนังสือ วาดรูป พาไปเที่ยว

ซึ่งการได้สนุกกับความตื่นเต้น และมีประสบการณ์ใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่สิ่งเหล่านี้ จะทำให้ร่างกายเราอ่อนล้า

ฉะนั้นบางทีผู้ใหญ่อาจจะเผลอทำลายพลังงานของเด็กในช่วงหลังเลิกเรียน หรือในช่วงวันหยุดโดยไม่ได้ตั้งใจ

ในความเป็นจริงแล้ว เด็กๆ นั้นต้องการอยู่เฉยๆ บ้าง

ซึ่งเราก็ควรจะให้เวลาเด็กได้หาอะไรทำเอง ซึ่งการอยู่เฉยๆ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

แถมดีซะอีก เพราะจากการวิจัยพบว่า

สมองของเราจะสร้างสรรค์ และฉลาดขึ้น เมื่ออยู่ในสภาวะที่ไม่ได้โฟกัส หรือตั้งใจทำอะไรเลย

อย่างเช่นตอนอาบน้ำเรามักจะมีไอเดียผุดขึ้นมามากมายใช่มั้ยล่ะ นั่นแหละเหมือนๆ กัน

ฉะนั้นประเด็นสำคัญคือ เราไม่ควรยัดเยียดกิจกรรม หรือคาดหวังว่าเด็กจะต้องทำอย่างนู้น ทำอย่างนี้มากเกินไป

การปล่อยให้เด็กได้อยู่กับตัวเอง ก็เป็นการผ่อนคลาย และการสัมผัสกับความสุข ซึ่งกิจกรรมอื่นๆ ก็ให้ไม่ได้นะจ๊ะ


4. ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/0b/18/40/0b184024637b5679f0f057bc83eb2d45.jpg

คำสอนที่เข้าใจผิด : ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด

สิ่งที่ควรสอน : ลองสิ่งใหม่ๆ และเรียนรู้ที่จะผิดพลาด

พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะคิดไปเอง และกำหนดว่าอะไรคือจุดเด่นของลูกตัวเอง กิจกรรมอะไรที่เหมาะกับลูก อย่างเช่น

เราอาจจะเคยได้ยินพ่อแม่ชมลูกตัวเองว่า " เก่งเลข ", " เก่งศิลปะ " โตไปจะต้องเป็นแบบนู้น แบบนี้

แต่ไม่เลย งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Stanford กล่าวว่า

การคิดแบบนี้จะเป็นการวาดกรอบให้กับเด็ก ซึ่งจะทำให้เด็กไม่กล้าลองอะไรใหม่ๆ ที่ตัวเองไม่ถนัด

เมื่อเด็กได้รับคำชม ในสิ่งที่ตัวเองถนัด ก็เริ่มจะ

ไม่กล้าออกจากคอมฟอร์ทโซน เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองอาจไม่โดนชม

ซึ่งความคิดเหล่านี้

จะทำให้เด็กกลายเป็นคนขี้กังวล หดหู่ ซึมเศร้า เมื่อต้องเผชิญกับความล้มเหลว

หรือเรื่องที่ท้าทาย เพราะอะไร?

เพราะเด็กเชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้

ในความเป็นจริง

สมองของเราพร้อมเสมอที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และการที่ได้เรียนรู้ความผิดพลาดตั้งแต่เด็กๆ ก็เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เลยด้วยซ้ำ

ดังนั้นแทนที่จะกำหนดความถนัดของเด็กๆ ควรจะสอนให้เด็กๆ เรียนรู้อะไรก็ได้ที่อยากจะรู้ ได้ลองอะไรหลายๆ อย่าง

ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เด็กกลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี และกล้าเผชิญกับปัญหา แถมมีความเชื่อมั่นในตัวเองด้วยนะ


5. โลกนี้อยู่ยาก ต้องเป็นที่หนึ่งเท่านั้น

รูปภาพ:https://0.soompi.io/wp-content/uploads/2018/02/14181159/Lee-Da-Hae-3.jpg

คำสอนที่เข้าใจผิด : โลกนี้มีแต่คนที่อยู่บนจุดสูงสุดเท่านั้น ที่จะอยู่รอด

สิ่งที่ควรสอน : ควรจะให้ความเห็นใจซึ่งกันและกัน

พ่อแม่บางคนอาจจะมีประสบการณ์และฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย

ซึ่งอาจจะทำให้พบว่าโลกนั้นโหดร้าย ถ้าไม่ใช่ที่หนึ่งก็จะไม่มีวันสำเร็จ

ฉะนั้นคำสอนที่หลายๆ ครอบครัวจะสอนลูกก็คือ ต้องเป็นที่หนึ่งเท่านั้น จึงจะได้รับการยอมรับ

ฉะนั้นจึงทำให้พ่อแม่หลายคน กวดขันลูกๆ ให้มีความโดดเด่นในแง่ความสามารถ

โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ และนิสัยของลูก

การมีสังคมที่ดี จะทำให้เรามีสุขภาพดี มีความสุข และทำให้อายุยืนยาวขึ้นด้วย!

การมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้คน เป็นปัจจัยสำคัญต่อการมีชีวิตที่ดี

ซึ่งมีอิทธิพลต่อความสามารถในแง่สติปัญญา และความสำเร็จในชีวิตได้ด้วย

และยิ่งไปกว่านั้นการเป็นคนที่น่าคบนี่แหละ ถือเป็นความสามารถที่แกร่งที่สุด ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตยิ่งถ้าคุณมีความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก คนรอบข้าง ก็จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่สนับสนุนซึ่งกันและกันแทนที่จะให้ความสำคัญกับตัวเองอย่างเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิตได้ในระยะยาวได้ด้วย( แต่ไม่ใช่ปล่อยให้คนมาเอาเปรียบเรานะ )

ปกติแล้วเด็กจะมีจิตใจที่อ่อนโยน และขี้สงสารอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่นักจิตวิทยากล่าวไว้ว่า เด็กๆ จะเริ่มพัฒนาทางด้านจิตใจได้ด้วยตัวเองซึ่งการอบรมให้เด็กมีสัญชาตญาณเห็นอกเห็นใจผู้อื่นจึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆ

ถึงแม้ว่าประโยคที่ว่า "โลกนี้มันอยู่ยาก" จะเป็นเรื่องจริงก็ตาม แต่ถ้าหากคนหลายๆ คนรู้จักเห็นอกเห็นใจกัน คำว่า "โลกนี้อยู่ง่าย" ก็สามารถเป็นจริงได้เหมือนกันนะ


พ่อแม่คือผู้ที่หวังดีต่อลูกที่สุดและแน่นอนว่าต้องการสอนให้ลูกสามารถเอาชีวิตรอดให้ได้ด้วยตัวเอง ตามสัญชาตญาณสิ่งมีชีวิตแต่คำสอนบางครั้งก็อาจจะลืมนึกถึงผลกระทบในแง่ลบไป จึงทำให้อาจกลายเป็นการตั้งระเบิดเวลาให้ลูกโดยไม่รู้ตัว

ปัญหาบางอย่างสามารถแก้ได้ด้วยวิธีที่อ้อมๆ แต่กลับได้ผลตรงจุดมากกว่า

หวังว่าสาวๆ หนุ่มๆ ที่ได้เข้ามาอ่านบทความนี้จะเข้าใจ และ

ได้ความรู้ในการสอนเด็กๆ ในอนาคต โดยไม่ต้องเผลอทำร้ายลูกหลานทางอ้อมกันนะจ๊ะ