1. SistaCafe
  2. เมื่อบ้านไม่ใช่เซฟโซน! 7 วิธีรับมืออย่างสันติกับ 'สมาชิกในบ้านที่ Toxic' ชอบดูถูก ไม่ฟังเหตุผล ชอบใช้อำนาจข่ม

สวัสดีค่า สาวๆSistaCafeที่กำลัง' เหนื่อยใจกับที่บ้าน 'ทุกคนบ้านไม่ใช่ Comfort Zone สำหรับทุกคน เชื่อว่าซิสหลายคนที่กำลังอ่านอยู่เข้าใจประโยคนี้ดี! ในหนังสือเรียน หนังครอบครัวดีๆ เราจะเจอพ่อแม่ที่พร้อมซัพพอร์ต ให้กำลังใจลูก พี่น้องที่ตีกันบ้าง ด่ากันบ้างแต่สุดท้ายก็พร้อมปกป้องเรา แต่ในความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกบ้านจะเป็นแบบนั้นอะค่ะ แหะๆ #ยิ้มแห้งกลับบ้านทีเหมือนเห็นไฟสุมรออยู่ แม่ด่า พ่อเสริม พี่น้องซ้ำเติม เพียงเพราะเราไม่เป้นอย่างที่เขาต้องการ หาเรื่องมาคอยแซะคอยค่อนขอดตลอดเวลา จนบางทีก็อยากจะหายๆ ไปจากโลกนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเรื่องจริงที่น่าเศร้าคือ การบุลลี่ หรือการทำร้ายร่างกาย-จิตใจของเด็กๆ ทั้งทางคำพูดและการกระทำ ไม่ได้มาจากโรงเรียนหรือมหาลัยหรอก แต่เริ่มจากที่บ้านนี่แหละ! ใช้เกราะป้องกันตัวเองว่า ' เป็นห่วง-หวังดี ' แต่ไม่รู้หรอกว่าคำพูดที่โหดร้ายนั้นเหมือนหนามทิ่มแทงจิตใจเราขนาดไหนยิ่งช่วงนี้มีสถานการณ์ที่พ่อแม่อาจแสดงทัศนคติที่ไปคนละทางกับเราอย่างชัดเจน รอยร้าวก็ยิ่งเห็นชัด หาทางออกลำบากเหลือเกิน ในบทความนี้เราจึงมาแนะนำสาวๆ ที่กำลังทรมานกับสถานการณ์นี้ กับ' 7 วิธีรับมือสมาชิกในบ้านที่มีนิสัย Toxic 'ให้ ( พยายาม ) อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขมาค่ะ มาสู้อย่างสันติไปด้วยกัน!


1. คิดหาวิธีรับมือ 'ล่วงหน้า' ก่อนถูกที่บ้านหาเรื่องทะเลาะ

คนที่มักจะถูกดูถูก หรือหาเรื่องแซะจากที่บ้าน มักจะรู้อยู่แล้วว่าสถานการณ์ไหนที่จะโดนว่าอยู่บ่อยๆ เช่น ทำเกรดได้ไม่ดี, สไตล์การแต่งหน้า แต่งตัวไม่เป็นแบบที่เขาชอบ, ทำงานบ้านได้ไม่ถูกใจ ( หรือบางคนนั่งอยู่เฉยๆ ก็โดนด่าเพราะไม่ใช่ลูกคนโปรด อันนั้นคือครอบครัว Toxic ของจริง )

ทางแก้คือคิดคำโต้กลับล่วงหน้าไว้ แบบไม่ใช้คำด่ารุนแรง แต่แฝงนัยยะให้เขาได้คิดในมุมมองตัวเอง ว่าที่มาว่าเธอเนี่ยถูกต้องแล้วรึเปล่า? อย่าคิดตอนโดนด่าสดๆ ร้อนๆ เพราะอารมณ์เศร้าหรือโกรธในตอนนั้นทำให้เราคิดอะไรไม่ออกค่ะ


ยกตัวอย่างเช่น ใกล้ช่วงเลือกแผนกเรียนต่อมอปลาย เธออยากเรียนสายศิลป์ภาษา แต่พ่อแม่อยากให้เรียนสายวิทย์ อยากให้ต่อหมอตามความใฝ่ฝัน ( ของพวกเขาเอง ) ถ้าเขาใช้คำกระแนะกระแหนว่า" เรียนสายนี้ไปก็ไส้แห้ง ไม่มีทางรวยได้หรอก เสียเวลาเปล่า อยากเรียนง่ายๆ ล่ะสิถึงเลือกสายนี้ "ก็ตอบกลับไปว่า" ยุคนี้สายครีเอทีฟมาแรง เด็กสายศิลป์ถ้ารู้จักหาโอกาส ทำพอร์ตงานให้เก่งๆ ก็มีรายได้สูงไม่แพ้สายวิทย์หรอกนะคะ เลือกสายนี้เพราะเรียนแล้วมีความสุขค่ะ และจะไม่เสียใจภายหลังแน่นอน "แม้พวกเขาจะยอมรับเหตุผลไม่ได้ในทันที แต่อย่างน้อยเธอก็ได้บอกจุดยืนของตัวเองแล้ว

2. ค่อยๆ ใช้เหตุผลอธิบาย อย่าใช้อารมณ์เกรี้ยวกราด จะเสียเปรียบทันที

เราเข้าใจนะว่า บางครั้งทำการบ้าน ฟังเพลงในห้องนอนอยู่ดีๆ แล้วโดนพ่อแม่ toxic พรวดพราดเข้ามาในห้อง ขุดเรื่องนั้นเรื่องนี้มาด่า มันก็ทำใจพูดจาดีๆ ด้วยยากเหมือนกัน ยิ่งวัยรุ่นที่ยังอารมณ์พลุ่งพล่าน จะ aggressive ก็เป็นเรื่องธรรมดา

แต่อยากให้มองว่า หากเราเกรี้ยวกราด ตะโกนปรื๊ดแตกใส่ เขาจะยิ่งใช้จุดอ่อนนั้นหาว่าเราไร้เหตุผล ( แม้เขาจะใช้อารมณ์กับเราก่อน ) สุดท้ายเถียงไปเถียงมาเขาก็ขึ้นเสียงหรือร้องไห้ใส่หน้า สรุปเขาก็เป็นฝ่ายชนะอยู่ดี



ใช้สติให้มากที่สุด หากเจออารมณ์โหมกระหน่ำเหมือนพายุเข้ามา ให้สูดหายใจลึกๆ  พูดด้วยเสียงที่นิ่งที่สุดว่า

" ใจเย็นแม่/พ่อ มีอะไรพูดกันดีๆ ก่อน "

อย่าเพิ่งตวาดหรือตะโกนใส่เด็ดขาด เราจะเสียเปรียบทันที หรือในบ้านที่พี่น้องชอบแกล้งแรงๆ หรือล้อด้วยคำที่เธอไม่ชอบ ก็พูดเสียงเรียบๆ ตอบกลับไปว่า

" อ๋อ อืม แล้วไงต่อ "

ให้อีกฝ่ายพูดซ้ำๆ จนเบื่อไปเอง คนที่ชอบบุลลี่จะสะใจ ตื่นเต้นหากเหยื่อเศร้าหรือโกรธแค้น ถ้าเราแสดงให้เห็นว่าไม่ได้สนใจ ไม่ได้เจ็บกับคำพูดเหล่านั้น ไม่ใช่เป้านิ่งที่จะมาแกล้งกันง่ายๆ เขาก็จะเลิกยุ่งกับเราไปเองค่ะ



3. สถานการณ์ไหนเลี่ยงได้ ก็ปลีกตัวออกมา อย่าไปต่อล้อต่อเถียง

ในบางสถานการณ์ที่ค่อนข้างรุนแรง เรียกว่าถ้าเธออยู่ตรงนั้นอีกนาทีเดียว ได้ระเบิดร้องไห้หรือด่ากราดทุกคนแน่นอน เช่น ไปงานรวมญาติแล้วโดนที่บ้านพูดจาดูถูกใส่ต่อหน้าญาติเป็นสิบๆ คน, พูดกับครูที่โรงเรียนว่าเราไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้, นินทาเราให้ป้าข้างบ้านฟัง แทนที่จะปกป้องลูก, โดนตบตี ทำร้ายร่างกาย

ถ้าไม่ไหว เราแนะนำให้รีบปลีกตัวเองออกมาโดยด่วน ถ้ามันเลวร้ายขนาดต้องวิ่งออกจากบ้านก็ต้องทำ เพื่อไม่ให้เรื่องลุกลามไปมากกว่านี้



ไปสถานที่เงียบๆ ไกลหูไกลตาคนที่ไหนก็ได้ ( หรือแค่วิ่งเข้าห้องนอน ห้องน้ำแล้วล็อคประตูก็ได้ ) แล้วระเบิดอารมณ์ที่กักเก็บไว้ออกมาจนพอใจ ไม่ว่าจะตะโกนให้สุดเสียง กรีดร้อง ต่อยกำแพง หรือร้องไห้โฮ เมื่อสงบสติอารมณ์แล้วค่อยออกมาอย่าให้คนเหล่านั้นเห็นความอ่อนแอของเรา อย่าหวังว่าเขาจะช่วยปลอบ เพราะถ้าเป็นคนประเภทชอบดูถูกคนอื่นแล้ว ยิ่งร้องไห้ให้เห็น ยิ่งจะโดนซ้ำกว่าเดิม*หากโดนทำร้ายจนเข้าข่ายทารุณกรรม แต่อายุยังไม่ถึงที่จะหนี อย่ากลัวที่จะบอกผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ ให้ทางการเข้ามาช่วยเหลือนะคะ

4. สร้างขอบเขตป้องกันตัวเอง อย่าทนอยู่กับคำด่าทอตลอดเวลา

การอยู่กับครอบครัวที่พูดแต่เรื่องไม่น่าฟัง วันไหนอารมณ์เสียมาก็ตะโกนคำด่าทอหยาบคายใส่ ไอ้นั่น อีนี่ ถ้าทนฟังเรื่องพวกนี้ซ้ำๆ ทุกวันสุขภาพจิตเสียแน่นอน โดนบุลลี่ที่บ้านแย่ยิ่งกว่าที่โรงเรียนหรือออฟฟิศเสียอีก เลิกงานก็ปิดมือถือทุกอย่างก็จบแต่สมาชิกในบ้านที่เข้าถึงตัวเราได้ทุกที่ทุกเวลา สำหรับบางคนนั่นคือหายนะที่แท้จริง ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างความเป็นส่วนตัวใดๆ ส่งผลให้เป็นโรคหวาดระแวง ความมั่นใจในตัวเองต่ำได้ในระยะยาวค่ะทางแก้ที่อาจไม่แก้ปัญหาได้เยอะ แต่ช่วยหนีจากคำพูด Toxic ได้ระดับหนึ่งคือสร้างขอบเขตของตัวเอง หลังเลิกเรียนเข้าห้องล็อคทันที ถือเป็นเวลาพักผ่อน เปิดเพลงใส่หูฟัง ไม่ต้องสนใจว่าจะโดนด่าอะไรอยู่หน้าประตูมีความสุขในโลกของตัวเองก็พอ อาจจะดูใจร้ายไม่แคร์เวิลด์ แต่เชื่อเถอะว่ากับคนที่ยังย้ายออกไม่ได้ คนที่บ้านก็ไม่มีใครเข้าใจสักคน แบบนี้นี่แหละเซฟสุขภาพจิตที่สุดแล้ว


5. ถ้าครอบครัวเป็นที่พึ่งไม่ได้ ก็หา 'คนอื่น' ที่เชื่อใจได้แทน

อย่างที่บอกว่า บ้านไม่ใช่เซฟโซนสำหรับทุกคน แต่มนุษย์ทุกคนไม่ว่าใครก็ย่อมต้องการที่พึ่ง ในเมื่อครอบครัวเป็นสิ่งนั้นให้ไม่ได้ ก็ลองหาจากสิ่งแวดล้อมรอบข้างแทน คนคนนั้นอาจเป็นใครก็ได้

เช่น

เพื่อนสนิท, ลุงป้าน้าอาที่อยู่กันคนละบ้าน, แฟน, ครูที่โรงเรียน หรือแม้แต่คุณป้าขายขนมใจดีหน้าปากซอย คุณลุงในหมู่บ้านที่ไปนั่งคุยปรึกษาปัญหาชีวิตได้

เราเชื่อว่าทุกคนต้องมีคนคนนั้นอย่างน้อย 1 คนในชีวิต คนที่เป็นที่ปรึกษา ยังเป็นเหตุผลที่เธอยังไม่ฆ่าตัวตาย หรือหนีออกจากบ้านไปซะก่อน



ทั้งนี้ หากคนที่เธอเลือกเป็นญาติในตระกูลเดียวกัน ก็ถือเป็นดาบสองคม ข้อดีคือเขาจะรู้รายละเอียดในครอบครัวเธอได้ลึกกว่าคนอื่น ให้คำแนะนำได้ตรงจุดกว่า แต่ข้อเสียคือทำอะไรรุนแรงไม่ได้เพราะก็ญาติกัน เผลอๆ แตกคอกันขึ้นมาทีหลัง ญาติคนนี้ที่กุมความลับไว้เยอะ อาจเอาเรื่องเธอไปแฉ ทำให้เรื่องในบ้านแย่ลงกว่าเดิมอีก



หากไม่อยากเสี่ยงเอาเรื่องไปเล่ากับคนรู้จัก ทางที่ปลอดภัยที่สุดคือคุยกับนักบำบัด หรือคนที่ครอบครัวเธอไม่รู้จักไปเลย โทรไปตามรายการที่ปรึกษาปัญหาส่วนตัวก็ได้


แม้จะไม่คลี่คลาย 100% แต่อย่างน้อยก็ได้ระบาย ได้รับคำปลอบโยน รู้สึกโล่งและสบายใจขึ้นค่ะ



6. อย่า 'ดราม่า' ทั้งน้ำเสียง สีหน้า แววตาให้พวกเขาเห็น เรื่องจะยากกว่าเดิม!

น่าจะเตือนมาหลายรอบแล้วสำหรับข้อนี้ แต่ก็ขอย้ำชัดๆ อีกรอบว่า " เวลาคุยกับคนพวกนี้ อย่าใช้อารมณ์ " เพราะเวลาเราอยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียว น้ำเสียงสีหน้ามาเต็ม เราจะอ่อนแอลง ปล่อยให้เขาใช้คำพูดโหมแทงเราได้ง่ายกว่าเดิม


ต้องอย่าลืมว่าเขาไม่ใช่มิตรที่จะมากอด ปลอบโยนให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่เขาจะมองด้วยความสมเพชหรือสะใจเสียมากกว่า แม้จะมีบางคนที่แอบรู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเอง ปรับความเข้าใจกันได้ในภายหลังก็เถอะ อย่าร้องไห้เลยแต่แรกจะดีกว่า



การคุยกับคนไม่มีเหตุผล ต้องใช้ตรรกะเข้าสู้เท่านั้น หากคุยรอบแรกไม่เข้าใจก็ย้ำเหตุผลเดิมของเราไปเรื่อยๆ เอาอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด


อย่าทำตัวเป็นดราม่าควีน เข้มแข็ง สตรองเท่านั้นถึงจะชนะค่ะ



7. ยึดมั่นกับหลักการตัวเองไว้ เราไม่ได้ทำอะไรผิด!

แม้จะยากเหลือเกินกับข้อนี้ ยิ่งเป็นเด็กในประเทศแถบเอเชียที่ระบบอาวุโสเข้มข้น ผู้ใหญ่ต้องตามผู้น้อยแบบนี้ แต่เราก็ยังขอต้านกระแสให้สาวๆ ทุกคนมีจุดยืนในตัวเองและมั่นใจในจุดนั้น


ถ้าทบทวนมารอบด้านแล้ว ตัดสินใจดีแล้วและไม่ได้ทำร้ายใคร ก็ทำหูทวนลมกับเสียงก่นด่าซะ แม้จะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตเป็นของเรา เรามีสิทธิ์ 100% ที่จะมุ่งมั่นและทุ่มเทกับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ค่ะ



ไม่ว่าจะเป็นการเรียนต่อ, สถานที่ทำงาน ( เป็นพนักงานเอกชนหรือข้าราชการ ), แต่งงานกับใครสักคน ( เลือกแฟนเองหรือแต่งกับคนที่พ่อแม่เลือกให้ ) ล้วนเป็นก้าวใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตได้ทั้งนั้น

อย่าหวั่นไหวกับการเกลี้ยกล่อมแกมบังคับ พอไม่ได้ดั่งใจก็ใช้คำพูดแย่ๆ มาดูถูกเรา อย่าไปฟัง เพราะเขาไม่ได้มาอยู่แก้ไขปัญหากับเราไปตลอดชีวิต บางบ้านเลือกให้อย่างเดียวแต่ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าหลังจากนั้นเราจะเป็นตายร้ายดียังไง ดังนั้นชีวิตเรา เราต้องเลือกเองค่ะ




------------------------------------


การสู้รบ ( แต่ไม่ฆ่าฟัน ) กับสมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะต้องรับมือกับใครก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะสุดท้ายก็เป็นเลือดเนื้อเดียวกัน ลึกๆ ก็ยังมีความผูกพัน และความรักในฐานะบุพการี หรือพี่น้องที่โตมาด้วยกันอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเขาจะนำข้ออ้างนั้นมาทำร้ายจิตใจเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนทุกคนควรเคารพอีกฝ่ายในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ให้เกียรติและยอมรับการตัดสินใจของเขา ในฐานะพ่อแม่ก็ควรเฝ้าดูลูกเติบโตในแบบที่เขาต้องการ เพราะเขาก็มีชีวิตจิตใจของตัวเองเนอะหากอยู่บ้านแล้วเหนื่อย โดนบั่นทอนทุกวัน ก็พยายามอย่าไปปะทะ ถ้ายังพอจูนกันได้ ก็หาโอกาสคุยปรับความเข้าใจ แต่ถ้าบ้านไหนเกินเยียวยาจริงๆ ก็อดทนใช้ชีวิตจนกว่าจะหาเลี้ยงตัวเองได้ แล้วย้ายออก หาเซฟโซนใหม่เพื่อสร้างความสุขความสบายใจให้ตัวเองนะคะ เป็นกำลังใจให้สาวซิสทุกคนเลย ขอให้เจอทางสายกลางที่แฮปปี้กับทุกฝ่ายค่ะ

(´。• ω •。`) ♡

เว็ปไซต์นี้ใช้คุกกี้

SistaCafe ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา และ นโยบายการใช้คุกกี้

🔮 ดูดวงกับ SistaCafe ผ่าน Line Official !
รูปภาพสำหรับป๊อปอัพลอย:1