จะเป็นยังไงถ้าเราเข้าสู่ยุคที่ทุกคนไม่พูดคุยกัน แต่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ใช้ชีวิตกันบนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค สนทนากันผ่านข้อความมากกว่าเอ่ยปากปิดบังรอยยิ้มและอารมณ์ด้วยอีโมติค่อน[เธอโอเคไหม...][เราโอเค :D]:(

จะเป็นยังไง

ถ้านี่คือยุคที่ไม่มีใครสนใจใคร...ยุคที่คนหลายคนนั่งกดโทรศัพท์แชท โดยไม่รู้ว่าเพื่อนที่กำลังคุยกัน...นั่งอยู่ข้างๆ

[แย่จริง คนที่นั่งข้างๆ ฉันฉีดน้ำหอมกลิ่นแรงชะมัดได้กลิ่นแล้วมึน]

[ยังดีกว่าฉัน ข้างๆ ฉันนี่ตัวเหม็นมาก เหมือนบ้านไม่มีน้ำหอมใช้]

ยุคที่ทุกคนอัพเดตเรื่องราวชีวิตตัวเองแชร์ลงสเตตัสแทบทุกอย่าง

[ดูสิ วันนี้โดนกิ่งไม้เกี่ยว เป็นแผลเลย :(]

[เล็บหัก แย่จริง T-T]

พร้อมรูปประกอบแทบทุกอย่างที่พบเจอ

[ถังขยะนี่เหม็นจัง] [ว้าว! รถสีฟ้า♥] [มีคนทิ้งกระป๋องโคล่าบนพื้นด้วย นิสัยแย่จริงๆ]

ยุคที่ถ้ามีคนลื่นล้มกลางสเวนเซ่น ทุกคนจะหยิบมือถือขึ้นมา แล้วอัพสเตตัส

[วันนี้เห็นคนซุ่มซ่ามลื่นกลางสเวนเซ่นด้วย ตลกจัง :D]

ถ้าเกิดในร้านดันมีเน็ตไอดอลที่มีคนฟอลโลว์เป็นพันล้านนั่งอยู่ แล้วถ่ายรูปไว้พร้อมอัพทวีตอย่างเห็นอกเห็นใจ

[มีคนลื่นล้มด้วย น่าสงสารจัง :(]

คนๆนั้นก็จะกลายเป็นคนที่ลื่นล้มกลางสเวนเซ่นที่ดังที่สุดในโลกทันที

ยุคที่เรารู้จักคนที่อยู่ห่างไกลอีกมุมหนึ่งของโลก มากกว่าคนที่เราเดินสวนกันทุกวัน

ยุคที่เราต่างไม่มองหน้ากัน ไม่มองตา แต่มองกันผ่านตัวหนังสือ ผ่านประโยคคมๆ ผ่านสเตตัสปลอมๆ และคำพูดสวยๆ ผ่านตัวตนที่ 'สร้าง' ขึ้นมาบนโลกจำลอง

[รักษ์โลกนะ อย่ากินผักเลยค่ะ]

ยุคที่ก้าวหน้า แต่ผู้คนล้วนเย็นชา เราแสดงอารมณ์ความอ่อนไหวบนสเตตัสในโซเชี่ยลฯ ให้คนอื่นเห็น

[ดูเด็กคนนั้นสิ น่าสงสารมากๆ ทำไมโลกเราถึงโหดร้ายแบบนี้กัน :'(]

[หน้าหอเรามีขยะเต็มพื้นเลย เดินลำบากมาก รู้ไหมว่าทิ้งขยะไม่เป็นที่มันทำให้โลกสกปรก]

[วันนี้เจอหมาถูกรถชน ขาหักอยู่กลางถนน น่าสงสารมาก ทำไมไม่มีใครช่วยเลยล่ะ ใจร้ายจัง]

แต่ไม่มีใครลงมือทำอะไร ราวกับทุกอย่างที่พบเจอในชีวิต มีค่าเพียงแค่ให้เรามีเรื่องเอามาอัพสเตตัสเท่านั้น

จะเป็นยังไงงั้นเหรอ?

โลกตอนนี้...ก็เป็นอย่างนั้นล่ะ

####

[เป็นฉันนี่แย่จริงๆ 555 ก็ช่วยไม่ได้นะ ฉันมันก็แบบนี้ล่ะ ทนๆ หน่อยละกัน]-Jona Mona Toma-

[มีเด็กวิ่งตัดหน้า! แย่ที่สุดเลย! เพิ่งจะทำเล็บมาแท้ๆ นี่ถ้ามันเลอะนะ เลดี้จะไม่ตามไปตบเด็ก แต่จะแช่งให้สีแม่งติดหน้ามันล้างไม่อออกไปทั้งอาทิตย์! #lady #เพิ่งทำเล็บมา #ก็สวยดีนะ #ห้าร้อยเองชิวๆ]-Lady LP-

[รู้สึกเฟลที่สุด ไม่มีใครสนใจเลยรึไง]-เด็กหญิงกุลสตรี ฆ่าหมีด้วยกรรไกร-

[ง่วง เพลียเออ ทำไมตูไม่นอนวะ 55]-บิลลี่ บิลลี่ บูว-

[เจ้าพวกเด็กน้อยเอ๊ย 5555555 นี่คิดว่าตัวเองเก่งแล้วเหรอ ผมเกลียดเด็กอวดดีแบบนี้ที่สุด 5555555 ถ้ามาอวดดีใส่ผม ผมจะเหยียบมันให้จมดินแล้วซัดด้วยคอมโบใส่เอาให้หน้าหงายไปเลย 55555 #ผมนี่มันผมจริงๆ]-ผมเอง ก็ผมเองไง-

[รถก็ไม่มีขับ โทรศัพท์ก็เสีย ข้อดีคือไม่มีเมีย ข้อเสียคือไม่มีตังค์]-บุกกี้ซ่า ยาคูลซ่า-

………..…….…………

[ที่นี่...มันทำให้ทุกคนสนใจตัวเองมากขึ้น หรือมันทำให้เราสนใจแต่ตัวเอง?]-Eva-

เคยไหม...ที่รู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อเพื่อนที่มาด้วยกัน เอาแต่นั่งเล่นมือถือมากกว่าเงยหน้าคุยกัน

เคยไหม...ที่เกิดเบื่อหน่าย เมื่อแฟนชวนมาทานข้าว แต่เจ้าหล่อนเอาแต่ถ่ายรูปอาหารแชร์ลงอินสตาแกรมแล้วใจดจ่อรอคอมเมนต์มากกว่าสนใจจะ 'กินข้าว' กันจริงๆ

อาหารมื้อเย็นกับครอบครัวอันแสนจืดชืด และเงียบเหงาจนน่าสมเพช เมื่อทุกคนต่างก้มมองโทรศัพท์มือถือ มือตักอาหารเข้าปาก อ่านสเตตัสของใครสักคนที่แสนไกลตัวเล่นเกมโทรศัพท์ที่ยังค้างไว้ จิ้มแอพลิเคชั่นใหม่ที่กำลังฮอตฮิตโดยไม่สนด้วยซ้ำว่าวันนี้แต่ละคนบนโต๊ะไปทำอะไรกันมา

มาด้วยกันแต่เหมือนว่าไม่ได้อยู่ด้วยกัน

แม้นั่งอยู่ข้างกันแต่ก็ราวกับอยู่คนละโลก

เราลืมเลือนการมองตาและส่งยิ้มให้กัน และเรียนรู้แต่การพิมพ์ :) อันจอมปลอมส่งให้กัน

เมื่อคนรอบข้างต่างก้มหน้า หลายคนจึงตัดสินใจก้มหน้าตามเพื่อที่จะไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยว มันจึงกลายเป็นโลกที่ทุกคนต่างก้มหน้าอยู่ในโลกของตัวเอง และคนที่เงยหน้า คือคนที่ถูกทอดทิ้งจากสังคมนี่คือ 'สังคมแห่งการก้มหน้า'

[การเงยหน้ามันหน้าเบื่อขนาดนั้นเลยเหรอ]-Eva-

หากคุณนั่งเฉยๆ อยู่ที่ลานน้ำพุหน้าศูนย์การค้านานพอ คุณจะเห็น เด็กวัยรุ่นเดินตกท่อ ผู้ใหญ่ที่สะดุดขอบกั้นผู้คนเหยียบเท้าและเดินชนกันเป็นเรื่องปกติ

พวกเขาก้มหน้า...เสียบหูฟัง ใจจดจ่ออยู่กับโลกสี่เหลี่ยมในมือ แต่แม้จะชนกันสักกี่ครั้ง ล้มกันสักกี่ครั้งล้มแล้วรู้สึกอับอายราวกับโลกทั้งโลกพร้อมใจกันเงยหน้ามาจ้องกันสักกี่ครั้ง ก็ไม่มีใครฉลาดพอจะเงยหน้าขึ้นมองทาง พวกเขาทำเพียงแค่อัพสเตตัส [วันนี้สะดุดล้ม อายจัง :( 555] แก้เขิน แล้วถ่ายรูปแผลถลอกแชร์ให้เพื่อนร่วมโลกร่วมแสดงความเห็นใจ

ทำไมกัน...

ทำไมถึงไม่มีสักคนที่จะยอมวางมือถือในมือลง พักแชทไว้สักสองสามนาที แล้วตั้งใจมองตรงไปข้างหน้าบ้าง...

"บางทีเพราะรอบข้างไม่มีอะไรน่าสนใจ พวกเขาถึงชอบก้มหน้ามากกว่าจะมองไปข้างหน้า"

เด็กสาวไม่มีความเห็นกับประโยคนั้น ตาสีฟ้ากระจ่างที่เขียนขอบตาและสโมกกี้อายส์เข้มจัดราวกับเธอไม่เคยได้นอนเต็มตานับแต่เกิดมากวาดมองผู้คนที่เดินขวักไขว่อย่างเฉยชาที่สุด

ท่ามกลางผู้คนที่ล้วนเดินก้มหน้า ไม่สบตา สนใจเพียงแต่จอเล็กๆ ในมือ สนใจแต่สิ่งที่มันอัพเดต และสนใจจะอัพเดตมันกับคนที่อยู่ห่างไกลมากกว่าคนที่อยู่ด้วยกัน มีเพียงสองคนบนม้านั่งสาธารณะที่เชิดหน้าขึ้นมอง ราวกับว่าทั้งสองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกอันเย็นชาเหล่านี้

บู๊ทหนังสีดำประดับหมุดเงินของเด็กสาวเคาะกับพื้นหินอ่อนสีส้มของลานน้ำพุหน้าศูนย์กลางค้าชื่อดังมือเรียวที่สวมแหวนเงินข้างละหลายวงเคาะกับแผ่นไม้ที่นั่งดังกึก กึก

แม้เสียงมันจะกวนประสาทแค่ไหน แต่เพื่อนร่วมโลกผู้แชร์พื้นที่บนม้านั่งร่วมกันกับเธอดูจะไม่เดือดร้อนกับเสียงเคาะนั่นนัก

"คิดว่าถ้ามีอะไรที่น่าสนใจกว่า คนพวกนี้จะเงยหน้าขึ้นมองไหมครับ"

น้ำเสียงที่ติดจะขบขันเล็กน้อยทำให้เด็กสาวละสายตาจากผู้คนหันมาเหลือบมองคนถาม

อีกฝ่ายกำลังเหยีดยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่มั่นใจและกึ่งๆ ถือดีจนน่าตบ ดูจากภายนอกแล้วอายุน่าจะวัยเดียวกันกับเธอ แต่สิ่งที่โดดเด่นนอกจากแว่นกันแดดกรอบฟ้าเขียวที่อำพรางดวงตาแล้ว คือผมสีทองประกายที่โผล่มานอกฮู้ด

เธอกับเขาไม่รู้จักกัน นอกจากบังเอิญนั่งบนม้านั่งเดียวกันมาได้เกือบสิบนาที และชั่วชีวิตนี้เอวาเจลีนมั่นใจว่าไม่เคยเจออีกฝ่ายมาก่อนแน่ๆ

สมัยนี้ คนที่ไม่ถือในโทรศัพท์ในมือก็ว่าหายากแล้ว แต่คนที่ใส่ใจจะชวนคนอื่นคุยแบบเจ้าหมอนี่เข้าขั้นเกือบสูญพันธุ์

บางทีเธอก็จำแทบไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่มีคนมาชวนเธอคุยมันนานแค่ไหนเกือบลืมไปด้วยซ้ำว่าการ 'คุย' กับใครสักคนโดยที่มืออีกฝ่ายไม่ได้ถือโทรศัพท์ในมือและพยายามจะแบ่งสมาธิมาขยับปากเท่าๆ กับพิมพ์ข้อความมันเป็นยังไง

"ต่อให้มีขบวนพาเหรดจากนอกโลกมาเดินบนนี้ พวกเขาก็คงหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายแล้วก้มหน้าทวีตว่าเจอของแปลก"ปากที่ทาลิปติกสีแดงสดเหยียดยิ้มหยัน "แต่ฉันว่า ไม่ใช่เพราะรอบข้างไม่น่าสนใจพอหรอก พวกเขาแค่ทนอยู่กับตัวเองเฉยๆสักนาทีไม่ได้มากกว่า"

ทุกคนทำราวกับว่า การหยุดนิ่ง เดินเงียบๆ ใช้เวลากับตัวเองสักนาทีนั่นคือการเสียเวลาอันมีค่าอย่างร้ายแรง พวกเขาคงทนความคิดในสมองตัวเองไม่ได้ เลยต้องพยายามหาอะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจ

บางที นอกจากจะไม่มีเวลาให้คนอื่นแล้ว พวกเขาเองก็ไม่มีแม้แต่เวลาให้ตัวเองเหมือนกัน

จอโทรทัศน์ขนาดใหญ่บนห้างสรรพสินค้าที่กำลังโฆษณาน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่งถูกตัดเป็นจอสีขาว มีข้อความสีแดงเขียนว่า 'Watch Out' เด่นอยู่กลางจอ และค้างอยู่อย่างนั้นเกือบนาที

เพราะมันช่างทื่อตรง และมึนงง ไม่เหมือนกับโฆษณาอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยลูกเล่นละการล่อลวงให้คนยอมเสียเวลาเงยหน้ามอง ตาของเธอจึงสะดุดที่มันเป็นพิเศษ แต่คนรอบข้างยังไม่มีใครสนใจจะเงยหน้ามองมัน

"เคยคิดอยากทำอะไรบางอย่างให้คนพวกนี้เงยหน้าขึ้นมาบ้างไหมครับ"

คำถามที่เรียกให้เอวาเจลีนเลิกคิ้ว ละความสนใจจอโทรทัศน์แล้วเมื่ออีกฝ่ายดึงมือที่สอดในแจ็กเก็ตขึ้นดันแว่นกรอบมิ้นต์ลง เธอจึงเห็นตาสีฟ้าสีเดียวกับเธอที่กำลังเปล่งประกายวาวโรจน์ กับรอยยิ้มขบขัน

"ผมเคยคิด"

ประกายอันแรงกล้า มุ่งมั่ง ที่มีความสนุกสนานปนอยู่ยามเอ่ยคำนั้นพอๆ กับความถือดีที่อัดแน่นในดวงตา

เธอถูกสายตานั้นตรึงไว้กับเก้าอี้

อีกฝ่ายลุกขึ้น จัดแจ็กเก็ตดำแถบสีฟ้ามิ้นต์โทนเดียวกับกรอบแว่น แล้วทิ้งมือตบบนไหล่ของเธอ

ไออุ่นจากมือเขาแผ่ซ่านลงบนไหล่ ที่รอบนิ้วโป้งเขาพันพลาสเตอร์สีฟ้ามิ้นต์

เขาต้องชอบสีนี้มากจริงๆ

"ตรงนี้ไกลจากอาคาร แต่ก็ระวังตัวไว้นะครับ"

มือถูกถอนออกไป แล้วสายตาที่ราวกับมนตร์สะกดนั้นก็ถูกบดบังด้วยเลนส์กันแดดสีดำ

ภวังค์ทั้งหมดก็จางหายเมื่อเสียงกัมปนาทกระชากทุกสายตาไปยังทิศที่มันดังขึ้นมา

ตูม!!

ควันและเปลวเพลิงสีส้มปะทุขึ้นจากชั้นสองของห้างสรรพสินค้า กระจกรอบตัวอาคารถูกแรงสะเทือนจนแตกร้าวกระจาย คมแก้วที่สะท้อนแสงอาทิตย์พุ่งเข้าใส่ผู้คนที่สัญจรเบื้องล่าง ปักลงฉึกยังเนื้อ ทิ่มแทงผ่านเสื้อผ้าบางๆ ของเหล่าคนที่ไม่เคยเงยหน้า จนลานหน้าศูนยการค้าที่เต็มไปด้วยฝูงชนเริ่มย้อมด้วยสีแดงฉาน

เกิดเสียงระเบิดจากจุดเดิมซ้ำ เอวาเจลีนแทบจำไม่ได้ว่ากี่ครั้ง แต่เกิดเพลิงประทุจนคานน้ำหนักของอาคารพังทลาย คานเหล็กชิ้นใหญ่ถูกแรงระเบิดดีดกระเด็นออกมา กวาดฟาดผู้คนที่อยู่ในทิศของมันจนแทบได้ยินเสียงกร็อบของกระดูกสันหลัง

ผู้คนกรีดร้องอลหม่าน คนที่วิ่งได้ก็วิ่ง คนที่ไม่อาจวิ่งก็ทำได้เพียงออกแรงคลานเฮือกสุดท้าย ตัวอาคารเริ่มพังลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็เหลือเพียงควันและประกายไฟที่ยังลุกโชติ

เศษปูนชิ้นเล็กกระดอนปลิวตามแรงลมมาชนกับรองเท้าบู๊ทสีดำ เจ้าของที่บัดนี้ยืนนิ่งค้างถึงกับลืมหายใจ เพราะจากจุดที่เธออยู่เพียงไม่ถึงสิบเมตร คือโศกนาฏกรรมที่ย้อมด้วยทะเลเลือดและเปลวเพลิง

ประโยคของเด็กหนุ่มปริศนาคนนั้นยังก้องกังวานในหัวเธอ

'เคยคิดอยากทำอะไรบางอย่างให้คนพวกนี้เงยหน้าขึ้นมาบ้างไหมครับ'

####

'เกิดเหตุระเบิดที่ศูนย์การค้าชื่อดัง โดยคนร้ายติดตั้งระเบิดไว้ที่ห้องน้ำหญิงชั้นสองจำนวนหกลูก มีผู้บาดเจ็บห้าสิบสองราย ผู้เสียชีวิตอีกยี่สิบกว่าราย โดยก่อนหน้าการระเบิดห้านาที ได้มีการแทรกแทรงสัญญาณไปยังจอโทรทัศน์โฆษณาขนาดใหญ่ที่อยู่หน้าห้าง เป็นข้อความสีแดงว่า 'Watch Out' ตอนนี้ทางตำรวจกำเร่งสืบสวน...'

[น่ากลัวจัง TT_TT #โลกเรามันอยู่ยากขึ้นทุกวัน #แย่จัง #ไปทำไกลๆหน่อยก็ไม่ได้ #ดีแล้วที่วันนี้ไม่ได้ไป #งี้จะไปเดินเที่ยวที่ไหนดี]

[พี่สาวฉันอยู่ที่นั่นด้วยเห็นระเบิดเต็มๆ ตาเลย! น่ากลัวมากกกก!]

[ดูสิ กระจกกระเด็นบาดแขน เป็นแผลเลย เจ็บมากๆ]

[ขอห้ายทุกโคนปรอดพัยนร๊ะคร๊ะ]

[น่าจะมาระเบิดโรงเรียนเราหน่อยนะ ขี้เกียจไปเรียนมาก #ผิด #อัลไลคือความดีงาม]

[ตอนนั้นเดินเล่นอยู่แถวนั้นพอดี ตอนระเบิดตกใจมาก ยังดีที่เราอยู่พ้นรัศมี เลยถ่ายรูปมาให้ดูได้ คนที่ลานหน้าห้างโดนกระจกปลิวบาดเต็มเลย น่ากลัวจัง #ระเบิด #ก่อการร้าย]

ทั่วโซเชี่ยลต่างอัพเดตสถานะเกี่ยวกับข่าวนี้

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างฟุ้งฝอย อวดรอยแผล โชว์รูปที่ถ่ายมาได้ หลายคนมาเป็นคลิป ราวกับภาคภูมิใจที่สุดที่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น

สิบปีก่อนเกิดระเบิด ทุกคนตื่นตระหนก

สิบปีผ่านมา มีคนวางระเบิด สิ่งแรกที่ควรทำ คือหยิบมือถือขึ้นถ่ายคลิป

น้ำจากผมสีดำที่ยังเปียกชื้นหยดแหมะลงบนจอของสมาร์ทโฟนรุ่นที่เพิ่งตกรุ่นไปเมื่อสองวันหมาดๆ เพราะบริษัทโทรศัพท์พากันปล่อยตัวใหม่ที่ฟังก์ชั่นเยี่ยมกว่าออกมาดึงดูดลูกค้า

เอวาเจลีนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใช้มือขยี้ผม น้ำอีกสองสามหยดแหมะลงบนจอ แต่เธอไม่สนใจใช้อีกมือสไลด์กวาดน้ำพวกนั้นไป เลื่อนผ่านบรรสถานะไร้สาระ จนสะดุดกับภาพถ่ายหน้าของใครสักคนที่กำลังน้ำตาไหลแต่หันหน้าเข้ากล้องได้ทำมุมได้เป๊ะยิ่งกว่านางเอกละครหลังข่าว

[เห็นข่าวแล้วน้ำตาไหลเลยค่ะ น่าสงสารคนที่ไปเที่ยวห้างนั้นจังเลย TwT]

อา...ช่างเสียใจจนมีอารมณ์มาเลือกมุมกล้อง เอารูปมาเข้าโฟโต้ช็อปรีทัชหน้าเด้ง แก้มเรียว ตาโต คิ้วเป๊ะ แล้วโพสลงเฟสบุ๊คพร้อมคำบรรยายได้อีกต่างหากนะคะ

เอวาเจลีนอดไมได้จะเหลือบมองคอมเมนต์ที่เข้ามาปลอบอกปลอบใจแม่สาวจิตใจดีงามปานนางงามจักรวาล แค่อ่านข่าวก็น้ำตาซึม แต่น้ำตาคุณเธอไมได้ช่วยบ้าอะไรกับเหตุการณ์นี้เลยนอกจากเรียกยอดไลค์

เพราะระบบจีพีเอสของโทรศัพท์เช็คอินเธอที่ศูนย์การค้าในเวลาเกิดเหตุ และเธอยังไม่มาอัพเดตว่าปลอดภัย ดังนั้นบนกระดานไทม์ไลน์ส่วนตัวของเธอจึงมีแต่คนมาระดมถามว่าเป็นไงบ้าง สบายดีไหม

เด็กสาวมองบรรดาคำถามเป็นห่วงนั้นด้วยสายตาเบื่อหน่าย แล้วโยนโทรศัพท์ไปที่เตียง

พวกเขาเพียงแค่คลิกเข้ามาโพสถามตามมารยาท จากนั้นก็กดออกไปสนใจข่าวอื่นๆ บนเพจ ไม่มีสักคนหรอกที่เป็นห่วงจริงจัง ไม่มีค่าให้ตอบกลับไป

เธอยังนึกถึงเหตการณ์เมื่อกลางวัน เด็กหนุ่มชุดสีฟ้ามิ้นต์กับตาสีฟ้า และคำถามที่ยังวนก้องในหัวเธอนับจากวินาทีที่ระเบิดคำราม

'เคยคิดอยากทำอะไรบางอย่างให้คนพวกนี้เงยหน้าขึ้นมาบ้างไหมครับ'

'ผมเคยคิด'

ภาพการระเบิดยังคงติดตาเศษกระจกจากตัวอาคารกระเด็นออกมายังลาน ทิ่มแทงใส่ผู้คนที่เดินอยู่หน้าอาคาร แต่ม้านั่งที่เธอนั่งอยู่นั้นไกลพอจะพ้นจากรัศมี มีเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ เท่านั้นที่กระเด็นรอดมาตกอยู่แทบเท้า

'ตรงนี้ไกลจากอาคาร แต่ก็ระวังตัวไว้นะครับ'

ดูเหมือนเธอจะมีบุญได้เจอกับผู้ก่อการร้ายวางระเบิดแล้วล่ะ

บางทีเธอควรแจ้งตำรวจ เล่าทุกอย่างให้เค้าฟัง ช่วยบอกรูปพรรณสัณฐาน เผื่อว่ากล้องตัวใดในบริเวณนั้นจะจับภาพเขาได้ จะได้สามารถตามตัวมาดำเนินคดีได้ และการก่อการร้ายที่บ้าคลั่งนี้จะได้ยุติลงโดยที่ไม่มีใครเจ็บตัว

....ไม่ก็อัพสเตตัสเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญว่าเพิ่งได้สนทนากับผู้ร้ายวางระเบิดสดๆ ร้อนๆ โม้อย่างเมามันส์ว่าเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์แบบกระชั้นชิดโดยไม่มีแผลกลับมาสักแผล

ไม่ก็...นั่งเฉยๆ

แล้วรอดูว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป...

[โลกนี้น่าจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นบ้าง... #ก็แค่เบื่อ]

- Eva -


ใครที่อยากอ่านบทต่อไปไวๆ

อย่าลืมกดแชร์ & คอมเม้นท์ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ