" โอย! ไม่น่าไปแกะสิวเลย รอยเต็มหน้า แต่งหน้าก็ไม่เนียน ทำยังไงดีเนี่ย " เราเชื่อว่าสาวๆ ซิสต้าหลายคนต้องเคยเจอปัญหานี้ ก็วัยรุ่นนี่เนอะ ทุกคนก็ต้องเคยมีสิวกันทั้งนั้น ( ฮอร์โมนอาละวาด ) แต่บางคนก็มือไม้อยู่ไม่สุข ขอให้ได้แกะ ได้เค้น ให้สิวยุบลงสักหน่อยก็ดีใจแล้ว แต่ผลกรรมที่ตามมานี่สิ...รอยแผลเป็นที่แท้จริง! ( รักษายากมากเสียด้วยสิ T T )

หยุดคร่ำครวญเถิด.... เรื่องเกิดขึ้นแล้วก็ต้องแก้ไขกันไป มีรอยสิวแล้วก็ต้องรักษาไปตามอาการค่ะ *-* การรักษารอยแผลเป็นจากสิวนั้นมีหลากหลายวิธี มีทั้งแบบธรรมชาติบ้านๆ และที่ต้องพึ่งพานวัตกรรมทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์และฟิลเลอร์ ( แล้วแต่ทุนทรัพย์และความพอใจส่วนบุคคล... ) ถ้าอยากรู้ว่าวิธีไหนเหมาะกับเธอ อ่านบทความนี้ช่วยในการตัดสินใจได้เลยค่ะ

✮ ✯ เลื่อนลงมาอ่านกันเล้ย ✮ ✯


ครีมลดเลือนริ้วรอย " คอร์ติโซน "

รูปภาพ:http://ecx.images-amazon.com/images/I/51GFyOlJbdL.jpgรูปภาพ:http://www.cortizone10.com/img/products-hydratensive-anti-itch-lotions.jpg

ถ้าเธอมีรอยแผลเป็นสีแดง หรือมีอาการบวมตุ่ยๆ ลองใช้ " คอร์ติโซนครีม ( cortisone cream ) " เพื่อบรรเทารอยแดงให้จางลง เพราะเซลล์ผิวหนังจะดูดซับ " คอร์ติโซน " และลดอาการอักเสบ คอร์ติโซนครีมเป็นครีมบำรุงผิวหนังทั่วไป ซื้อได้กับเภสัชกรที่ร้านโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาแต่อย่างใด

หลังจากลดรอยแดงแล้ว ถ้าเธออยากทำให้รอยดำจากสิวดูจาง สว่างสดใสขึ้น ต้องหลีกเลี่ยงใช้ยาที่มีส่วนประกอบจากสาร " ไฮโดรควิโนน " ค่ะ

ไฮโดรควิโนน เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่นำมาใช้เป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมหลายชนิด ในวงการแพทย์ได้นำมาทำเป็นยารักษาสิวฝ้าให้ขาวใสขึ้น เพราะมันมีสรรพคุณช่วยรักษาความผิดปกติของผิวหนัง โดยจะไปยับยั้งกระบวนการทางเคมีของเซลล์สร้างเม็ดสี ทำให้การก่อตัวของเม็ดสีลดลง

แต่ผลข้างเคียงก็มีเยอะ เช่น เกิดตุ่มแดง รู้สึกแสบร้อน หรือทำให้ผิวบริเวณนั้นคล้ำลงกว่าเดิม จึงจัดเป็นยาอันตรายและต้องใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจส่งผลเสียได้ในระยะยาว

ตัวอย่างครีมลดรอยสิวอื่นๆ ที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งยาก็มี เช่น กรดโคจิก Kojic acid ( สารที่สร้างจากเชื้อราในเห็ด ), อาร์บูติน Arbutin ( หรือสารสกัดจากต้นแบเบอร์รี่ ) และวิตามินซี ( กรดแอสคอร์บิก ) สามารถใช้เป็นเวชสำอางรักษารอยแผลเป็นจากสิวและฝ้าได้ค่ะ


การรักษาด้วย " ฟิลเลอร์ " และ " เลเซอร์ "

รูปภาพ:http://scar.center/wp-content/uploads/2014/11/laser-treatment-for-scars-2.jpg

หากทาครีมแล้วไม่ได้ผล อาจจำเป็นต้องพึ่งนวัตกรรมทางการแพทย์! รอยสิวส่วนใหญ่มักหายยาก กว่าจะจางก็นาน ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและได้ผลจริง ต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญค่ะ ไม่ทำเลเซอร์ก็ทำฟิลเลอร์ *-*การรักษารอยแผลเป็นด้วยวิธีนี้ จะช่วยผลัดเซลล์ผิวจากเทคโนโลยี fractionated laser ทำให้ผิวหน้าเนียนเรียบเสมอกัน ช่วยการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวขึ้นมาใหม่ คอลลาเจนคือโปรตีนที่ช่วยสร้างเกราะป้องกันผิวหน้า ช่วยเติมเต็มรอยสิวให้ดูตื้นขึ้น จางลงเลเซอร์แบบ Ablative ( ทำให้ผิวหน้าถลอก ตกสะเก็ด เพราะใช้รังสีเข้มข้น ) จะช่วย " ละลาย " รอยสิวให้ดูจางลง หน้าเนียน, หากเป็นแบบ Non-ablative ( ความเข้นข้นจางลง ไม่เกิดแผลหลังทำ ) จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนโดยไม่ทำร้ายผิวหน้า แต่ข้อเสียคือ ไม่สามารถแก้ปัญหาในผิวหนังชั้นลึกได้ค่ะ

รูปภาพ:http://www.youmeunity.org.au/wp-content/uploads/2015/06/surgery_cover_1al87t3-1al8808-742x495.jpg

อีกวิธีหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ " ฟิลเลอร์ " ซึ่งคือการฉีดสารเติมเต็มข้อบกพร่องในชั้นผิวหนัง / ใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่ใช้แก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกที่เกิดในบริเวณต่างๆ ของใบหน้า เช่น หน้าผาก มุมปาก เติมริมฝีปาก ร่องแก้ม ( เป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ที่เริ่มมีอายุ! ) แต่ข้อดีของการทำฟิลเลอร์อีกอย่างอีก ช่วยเติมเต็มรอยแผลเป็นลึกๆ จากสิวด้วย

ข้อเสียของวิธีนี้คือต้องคอยมาทำซ้ำทุกๆ 4-6 เดือน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เข้าสู่ผิวหนัง เพราะการฉีดฟิลเลอร์จะสลายไปตามกาลเวลาค่ะ


รักษาด้วย " ระยะเวลา " ( ต้องอดทน! )

รูปภาพ:http://a2.files.xovain.com/image/upload/c_fit,cs_srgb,dpr_1.0,q_80,w_620/MTE5NDg0MDUyNzg5NjkxOTE5.jpg

ข้อนี้ไม่ต้องเสียเงิน เป็นธรรมชาติที่สุด แต่เสียเวลา เหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีความอดทน! หลังจากเธอไปบีบ แคะ แกะ เกาใบหน้าจนเกิดรอยสิวแล้ว เส้นเลือดใหม่ๆ จะไหลเวียนบริเวณที่เกิดรอยแผลเพื่อรักษาผิวหนัง จึงทำให้รอยสิวที่เกิดขึ้นใหม่ๆ มักมีสีแดงอมชมพูหลายเดือนต่อมา จะเกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เพื่อเติมเต็มรอยสิวลึกๆ ในผิวหนัง เพราะสิวบางชนิด เช่น สิวหัวช้างจะทำลายผิวหนังและไขมันบนผิวหนัง กว่ารอยจะหาย บางครั้งอาจใช้เวลาเป็นปีเลยล่ะค่ะ T T


วิธีหลีกเลี่ยงการเกิดและรักษา " รอยแผลเป็นจากสิว "

หลีกเลี่ยงแสงแดด

รูปภาพ:http://i.huffpost.com/gen/1902696/images/o-SUNBURN-facebook.jpg

วิธีที่ง่ายและสำคัญที่สุด อย่าให้แสงแดดจัดๆ กระทบผิวหน้าเป็นอันขาด โดยเฉพาะบริเวณที่มีรอยแผลเป็นจากสิว! เพราะจะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นคล้ำลงและหายช้าขึ้น นั่นก็เพราะรังสีอัลตร้่าไวโอเล็ตกระตุ้น " เมลาโนไซต์ " ( เซลล์ที่มีหน้าที่สร้างพิกเมนต์ ) ให้ทำงานมากขึ้น ทำให้ผิวยิ่งด่างดำเข้าไปใหญ่ก่อนออกไปข้างนอก อย่าลืมทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ ( 30 ขึ้นไป ) ช่วยป้องกันทั้งยูวีเอ ( คลื่นยาว ) และยูวีบี ( คลื่นสั้น ) มีส่วนผสมทั้ง benzophenones , cinnamates, salicylates, titanium dioxide, zinc oxide, avobenzone, และ ecamsule ทาอีกครั้งหลังว่ายน้ำ เหงื่อออก หรือหลังเจอแดดไปแล้ว 2 ชั่วโมงจำกัดเวลาอยู่กลางแจ้ง โดยเฉพาะช่วง 10 โมงเช้า - บ่าย 2 โมง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แดดจัดที่สุดของวัน ใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด แขนขายาว ที่สำคัญอย่าลืม " หมวกปีกกว้าง " เพื่อปกป้องผิวหน้าไม่ให้แดดเผานะคะ

อย่าแคะ แกะ เการอยสิว

รูปภาพ:http://img.aws.livestrongcdn.com/ls-1200x630/cme/cme_public_images/www_livestrong_com/photos.demandstudios.com/getty/article/240/178/510996267_XS.jpg

รู้ว่าสาวๆ หลายคนคันไม้คันมือ เห็นสิวแล้วอยากไปบีบ ไปแคะให้สะใจ แต่เราขอสั่งห้ามเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้หน้าพัง! รอยสิวมักเกิดจากคอลลาเจนในร่างกายที่ซ่อมแซมตัวเอง ที่รอยสิวมักมีรูปทรงเว้าแหว่ง เพราะขาดคอลลาเจนจากการอักเสบของผิวหนังนั่นเองการแคะ แกะเกาสิว ยิ่งทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบมากขึ้น ทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอและเกิดรอยแผลเป็น ยิ่งถ้าไปบีบเค้นหนักๆ ให้สิวหัวขาวพุ่งปรื๊ด! มือที่สกปรก ติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้คอลลาเจนในผิวหนังสูญเสียเพิ่มขึ้นอีกค่ะ

อย่าใช้ยาที่มีส่วนผสมของ " วิตามินอี " กับรอยสิว

รูปภาพ:http://www.pharmacyonline.com.au/media/catalog/product/cache/6/image/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/5/8/582743.jpg

อาจดูแปลกๆ ผิดความเชื่อที่เคยได้ยิน เพราะสาวๆ บางคนเชื่อว่า ถ้าทายา / เจลที่มีส่วนผสมของ " วิตามินอี " บนรอยแผลเป็น จะทำให้หายไวขึ้น แต่จากงานศึกษาวิจัยจากต่างประเทศค้นพบว่า การทาวิตามินบนรอยแผลเป็นโดยตรงจะทำให้แผลหายช้าลงเสียมากกว่า!

ในงานวิจัย วิตามินอีทำให้รอยแผลเป็นของผู้ทดลองถึง 90% แย่ลง และ 33% ในนั้น ผิวหนังอักเสบด้วยล่ะค่ะ! ( น่ากลัวนะเนี่ย.... )


===========================

ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนล้อว่า " หน้าปรุ " อีกต่อไป เพราะการรักษารอยแผลเป็นจากสิวมีอยู่ แค่ต้องใช้ทุนทรัพย์ ( บ้าง...ในบางวิธีที่ต้องการผลลัพธ์เร็วๆ ), ความอดทน ( ที่จะไม่แกะ บีบ เค้นสิว ) , ความมีวินัยสม่ำเสมอในการทายา เป็นต้น

แต่ทางที่ดีที่สุดคือ อย่าให้เกิดสิว! เธอควรมีพฤติกรรมที่ดีในการรักษา ดูแลผิวหน้า เช่น ไม่กินอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เพราะจะกระตุ้นให้ผิวหนังเกิดสิว อ้อ อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดด้วยนะคะ ^^

ขอให้สาวซิสต้าใบหน้าสวย เนียนใสกิ๊งไร้สิวกันทุกคน บ๊ายบาย แล้วพบกันใหม่คราวหน้าค่ะ ^^

===========================


บทความที่เกี่ยวข้อง