สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ชาวซิส มีใครในนี้ชอบดื่มน้ำหวานกันไหมเอ่ย ยิ่งอากาศร้อน ๆ อารมน์นอยด์ ๆ แบบนี้ได้ดื่มน้ำหวานสักแก้ว สองแก้ว ก็คงสดชื่นกันไม่เบาใช่ไหมล่ะคะ แต่ แต่ แต่ CutenessCorner เชื่อว่ามีเพื่อน ๆ หลายคนสงสัยว่าตัวเอง ดื่มน้ำหวานทุกวัน อันตรายไหม? ขอบอกว่าในบทความนี้มีคำตอบ ก่อนอื่นเลยเรามาสังเกตตัวเองกันดีกว่าว่าเราเป็นคนที่ติดหวานกันไหม แล้วการดื่มน้ำหวานเนี่ยมีข้อดีและข้อเสียยังไง แล้วถ้าหากเราติดไปแล้วเราจะมีวิธีการแก้ไขยังไง มาดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ


เช็กลิสต์ พฤติกรรมชี้ว่าเราติดหวาน

  1. อยากรับประทานของหวานบ่อย ๆ หากเพื่อน ๆ คนไหนมักจะเลือกรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสหวานเป็นอันดับแรกนี่ก็เริ่มใช่แล้วค่ะ ยิ่งเวลาที่รู้สึกเครียด เหนื่อย หงุดหงิด หรือเศร้า ก็มีความรู้สึกที่อยากรับประทานของหวานเพื่อช่วยบรรเทาอาการเหล่านั้น แถมมรู้สึกอยากรับประทานของหวานหลังอาหารทุกมื้อ เช่น ขนมหวาน ไอศกรีม เค้ก ถ้าหากไม่ได้ทานก็จะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป ถ้าเป็นแบบนี้ให้ทดไว้ในใจเลยค่ะว่าเราเริ่มติดหวานเข้าแล้ว
  2. อยากรับประทานของหวานมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากรับประทานของหวานไปแล้ว หากเพื่อน ๆ รู้สึกอยากรับประทานของหวานขึ้นมาอีก ถ้าไม่ได้รับประทานจะรู้สึกหงุดหงิด วีน เหวี่ยง รวมถึงรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรงและรู้สึกอ่อนเพลีย ต้องรับประทานของหวานในปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้อนี้เริ่มชี้ว่าเราติดของหวานอย่างหนักแล้วนะคะซิส
  3. เติมน้ำตาลในอาหารเยอะมาก เพื่อน ๆ คนไหนชอลเติมน้ำตาลในอาหารคาวเกือบทุกจาน เช่น ก๋วยเตี๋ยว ผัดซีอิ๊ว หรืออาหารคาวอื่น ๆ รวมถึงใส่ซอสต่าง ๆ เช่น ซอสพริกหวาน ซอสมะเขือเทศ นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมที่ดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน ชา กาแฟ ที่ใส่ครีมหรือน้ำตาลที่มีปริมาณมาก นี่ก็เป็นหนึ่งในพฤติกรรมติดหวานแบบไม่อาจปฏิเสธได้เลยค่ะ

รูปภาพ:

ข้อดีของการดื่มน้ำหวาน

  • ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย เวลารู้สึกล้า ๆ ได้ดื่มน้ำหวาน ๆ แล้วสดชื่นขึ้นใช่ไหมคะ นั่นเป็นเพราะว่าน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย เมื่อเรารับประทานน้ำตาลเข้าไป ร่างกายของเราก็จะเปลี่ยนจากน้ำตาลเป็นกลูโคส โดยกลูโคสจะถูกนำไปใช้เป็นพลังงานสำหรับเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งกลูโคสก็มีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง กล้ามเนื้อ รวมถึงอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายของเราด้วยค่ะ
  • บรรเทาความเครียด ใครเครียด ๆ นี่ น้ำหวานช่วยได้จริง! เพราะเมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลเข้าไป จะหลั่งฮอร์โมนโดปามีน ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย มีความสุข และช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียด ทำให้ช่วยลดความเครียดได้ และนอนหลับได้ง่ายขึ้น รวมถึงมีการหลั่งสารเคมีในสมอง โดยรสหวานที่ลิ้นจะช่วยกระตุ้นให้หลั่งสารเคมีในสมอง เช่น สารเอนดอร์ฟิน และเซโรโทนิน ซึ่งช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การทานน้ำหวานเพื่อคลายความเครียดเป็นการแก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นนะคะ และอาจส่งผลต่อการเสพติดรสชาติหวานได้ หากไม่ควบคุมปริมาณการรับประทานอย่างเหมาะสมค่ะซิส
  • เพิ่มประสิทธภาพในการทำงานของสมอง สมองของเราจะใช้กลูโคสเป็นแหล่งพลังงานหลัก การดื่มน้ำหวานในปริมาณที่พอดีและพอเหมาะ จะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมอง เช่น ช่วยในเรื่องของความจำ การเรียนรู้ และช่วยให้มีสมาธิมากขึ้นค่ะ

รูปภาพ:

ดื่มน้ำหวานทุกวันอันตรายไหม?

และแล้วก็ถึงเวลาคลายข้อสงสัยของเพื่อน ๆ แล้วค่ะ แม้ว่าการดื่มน้ำหวานบ่อย ๆ จะช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกายและบรรเทาความเครียด แต่ถ้าดื่มเป็นประจำทุกวันแล้วล่ะก็ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพแน่นอนค่ะ เพราะในน้ำหวานมีปริมาณน้ำตาลสูงมาก ๆ อยากให้เพื่อน ๆ ตามมาดูไปพร้อมกันค่ะว่าดื่มน้ำหวานทุกวันอันตรายอย่างไร

  1. เสี่ยงเป็นโรคอ้วน น้ำตาลในน้ำหวานให้พลังงานสูง และเป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายเผาผลาญได้ง่าย แต่ถ้าหากรับประทานมากจนเกินไป ก็จะกลายเป็นพลังงานส่วนเกิน และอาจทำให้เผาผลาญได้ไม่หมดค่ะ หากร่างกายเผาผลาญไม่หมด พลังงานเหล่านี้ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมัน สะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย นำไปสู่ภาวะน้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วน โดยเฉพาะอ้วนลงพุงค่ะ
  2. เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน เวลาเราดื่มน้ำหวานลงไป ร่างกายจะมีการหลั่งอินซูลินเพื่อนำน้ำตาลเข้าเซลล์ ยิ่งดื่มน้ำหวานมาก ร่างกายจะต้องผลิตอินซูลินมากขึ้นเป็นเวลานาน ส่งผลต่อภาวะดื้อต่ออินซูลิน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานนั่นเองค่ะ
  3. เสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด น้ำตาลในน้ำหวานที่เราดื่มไปทุกวัน จะเป็นตัวที่เพิ่มไตรกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งเป็นไขมันร้ายชนิดหนึ่งในร่างกาย แถมยังลดคอลเลสเตอรอล HDL (High Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นคอลเลสเตอรอลชนิดดี จึงส่งผลให้เกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ไม่เพียงเท่านี้น้ำตาลยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ นิ่วในไต โรคเกาต์ และโรคมะเร็งบางชนิดอีกด้วยค่ะ
  4. เสี่ยงเป็นฟันผุ อย่างที่เรารู้กันว่าในปากของมนุษย์จะมีแบคทีเรียอยู่ ซึ่งแบคทีเรียชอบน้ำตาลเป็นอาหารค่ะ เมื่อเราดื่มน้ำหวานเข้าไป เจ้าตัวแบคทีเรียเหล่านี้จะย่อยสลายน้ำตาลและเปลี่ยนเป็นกรด โดยกรดที่เกิดขึ้นก็จะไปกัดกร่อน “เคลือบฟัน” ของเราที่เปรียบเสมือนกำแพงป้องกันชั้นแรกของฟัน เมื่อเคลือบฟันถูกทำลาย กรดจะแทรกซึมเข้าสู่เนื้อฟัน ทำให้ฟันของเราอ่อนแอ และเกิดเป็นฟันผุในที่สุดนั่นเองค่ะ

รูปภาพ:

ทริคเลือกติดหวานแบบไม่ทรมานใจ แถมช่วยลดโรคได้

อย่างที่ได้บอกไปนะคะว่าการดื่มน้ำหวานทุกวันส่งผลเสียต่อสุขภาพหลายอย่าง ดังนั้น ลดได้ลด งดได้งด เลิกได้เลิกค่ะ สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่ไม่รู้ว่าจะเลิกพฤติกรรมติดหวานแบบไม่ทรมานใจอย่างไร ให้ลองทำตามทริคต่อไปนี้ดูค่ะ รับรองว่าเพื่อน ๆ จะสามารถลดความอยากของหวาน และสามารถปรับพฤติกรรมการกินหวานให้น้อยลงได้

  1. ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เพื่อน ๆ ควรรับประทานอาหารให้ตรงเวลา เพราะการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา หรือรับประทานอาหารไม่ครบมื้อจะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ ส่งผลต่ออารมณ์และทำให้รู้สึกอยากทานของหวานมากขึ้น นอกจากนี้ยังควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะการที่เราได้รับสารอาหารครบถ้วนจะช่วยให้อิ่มท้องนาน และลดความอยากกินของหวานของเราได้ค่ะ รวมถึงควรลดการรับประทานอาหารแปรรูป เพราะในอาหารแปรรูปนั้นมีน้ำตาล เกลือ และไขมันสูง ควรเลือกทานอาหารที่สดใหม่และปรุงเองจะดีที่สุดค่ะ เมื่อใดก็ตามที่เพื่อน ๆ รู้สึกอยากของหวานให้เลือกทานของว่างที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผลไม้ ธัญพืช ถั่วหรือโยเกิร์ตแทน ที่สำคัญเลยคือดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะการดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้อิ่มท้อง ลดความอยากกินของหวาน และช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
  2. ค่อย ๆ ปรับลดความหวานลง การลดหวานแบบหักดิบเลย อาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทันได้ค่ะ ให้ลองค่อย ๆ ลดปริมาณน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มลง โดยเริ่มจากการสังเกตปริมาณน้ำตาลที่เราทานในแต่ละวัน เลือกดื่มเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล เช่น น้ำเปล่า ชาสมุนไพร กาแฟดำ โซดา น้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาล หรือเป็นน้ำผลไม้คั้นสดแบบไม่ใส่น้ำตาลแทน และให้ปรุงอาหารเอง เพื่อที่จะได้ควบคุมปริมาณน้ำตาลเองได้ค่ะ
  3. หาแรงบันดาลใจ ให้เพื่อน ๆ ลองนึกถึงผลกระทบของน้ำตาลที่มีต่อสุขภาพ ทั้งโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ นอกจากนี้การลดน้ำตาลจะช่วยให้เราควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น ลองนึกถึงรูปร่างที่เราอยากมี และใช้เป็นแรงผลักดันให้เลิกติดหวานค่ะ หรืออาจหาแรงบันดาลใจอื่น ๆ อาจจะเป็นเรื่องการประหยัดเงิน เพราะขนมและเครื่องดื่มหวาน ๆ มักมีราคาแพง ถ้าไม่ซื้อก็มีเงินเก็บเยอะขึ้นด้วย
  4. ตั้งเป้าหมาย พยายามอย่าตั้งเป้าหมายกว้าง ๆ เช่น ฉันจะเลิกกินหวาน แต่ให้ตั้งเป้าหมายแบบจาะจงไปเลย เช่น ฉันจะลดการดื่มน้ำหวานจากวันละ 2 แก้ว เหลือวันละ 1 แก้ว หรือ ฉันจะไม่กินขนมหวานหลังอาหารเย็น ค่ะ
  5. ให้รางวัลตัวเอง เมื่อเราทำตามเป้าหมายได้สำเร็จในแต่ละขั้น อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยสิ่งที่เราชอบนะคะ เช่น การดูหนัง ฟังเพลง หรือไปเที่ยว อาจเป็นรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ได้ เช่น การซื้อเสื้อผ้าใหม่ หรือเข้าคลินิกเสริมความงาม โดยการให้รางวัลตัวเองจะช่วยให้เรามีกำลังใจในการทำตามเป้าหมายต่อไป และจะช่วยให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น

สรุปส่งท้าย

เป็นอย่างไรบ้างคะ พอจะคลายข้อสงสัยของเพื่อน ๆ ที่ว่าการ ดื่มน้ำหวานทุกวัน อันตรายไหม แล้วใช่ไหมเอ่ย เพื่อน ๆ จะเห็นว่าการดื่มน้ำหวานมีข้อเสียมากมายเลยใช่ไหมล่ะคะ แต่กลับกันถ้าเราดื่มในปริมาณที่พอดี ไม่ดื่มบ่อยจนเกินไป ก็ถือว่าเป็นข้อดีได้เหมือนกัน ส่วนสำหรับใครที่มีพฤติกรรมติดของหวานแล้วอยากลดและปรับพฤติกรรมของตัวเอง ทาง CutenessCorner ก็ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ ไม่มีอะไรเกินความสามารถของเราค่ะ สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่บทความหน้าน้า อันยอง!


บทความแนะนำ