เคยมั้ย... ที่รู้สึกว่าตัวเองสู้ใครไม่ได้

ทำไมเพื่อนร่วมงานได้รับคำชม ก้าวหน้าเอาๆ แต่เรายังไม่ไปไหนอยู่ที่เดิม หรือความคิดที่ว่า

เราก็มีความสามารถเหมือนกันนะ แต่ทำไมถึงไม่มีใครมองเห็นซะที


ถ้าหากคุณกำลังจมอยู่ในวังวนแบบนี้ล่ะก็

คุณอาจเข้าข่ายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก

หรือมีความลังเล กังวลอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งแน่นอนว่าความไม่กล้าย่อม

เป็นการปิดกั้นความสามารถของตัวเอง

อย่างแน่นอน

ซึ่งความไม่มั่นใจในตัวเองนั้น ไม่ได้เกิดจากนิสัยอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากความคิดบางอย่าง

ที่ทำให้เราเกิดนิสัยแบบนี้ ถ้าหากคุณอยากเปลี่ยนนิสัยล่ะก็

ควรเริ่มจากการเปลี่ยน 5 ความคิดนี้ก่อน ลองไปเช็คดูกันได้เลยจ้า


5 ความคิด ที่ต้อง "เลิกคิดไปเอง" แล้วชีวิตจะไปไกลขึ้นเยอะ!


1. อย่าคิดไปเองว่า เวลาคนอื่นเสนอไอเดีย เพราะไม่เปิดรับความเห็นคนอื่น

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/48/87/ee/4887ee6d0955ad255f620145521eca1c.jpg

คิดว่าข้อนี้ ใครที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองจะต้องเป็นกันหลายคนเลย กับอาการหวาดกลัวที่จะแสดงความคิดเห็นหรือนำเสนอไอเดียของตัวเองให้คนอื่นรู้

ยกตัวอย่างเช่นหัวหน้าส่งรูปภาพโฆษณาบ้านมาให้เราดู แล้วบอกเราว่า เขาชอบบ้านสีแบบนี้ซึ่งในความเห็นเราอาจจะคิดว่ามันก็โอเค ดูดี หัวหน้าอาจจะชอบสีสไตล์นี้ ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่ใจของเราสรุปเอาเองจากคำพูดของหัวหน้าเพราะแค่เขาเอาสีมาให้ดู ก็ไม่ได้หมายความว่า เราหมดสิทธิ์ที่จะทดลองใช้สีอื่นๆ ที่อาจจะดีกว่านะจ๊ะ

เวลาที่เราเห็นคนระบุไอเดียของตัวเองขึ้นมาก่อนเรามักจะคิดไปเองว่าเขาน่าจะไม่ได้ต้องการความเห็นจากเราหรืออีกนัยหนึ่งคือเราไม่ควรออกจากกรอบที่เขาวางไว้

การที่คิดแบบนี้ อาจจะทำให้งานเราจบง่ายๆ ก็จริง แต่ไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะมันเป็นการขัดขวางความพยายาม และการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง แถมยังไปกดให้ตัวเองอยู่ในกรอบความคิดที่คนอื่นวางไว้

ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากเลย เพราะว่าเรากลัวไปก่อน ทั้งที่ไม่มีใครห้ามเราให้ออกไอเดีย มีแต่เราที่ห้ามตัวเราเองหลังจากนี้ไปหากเรามีไอเดียอะไรดีๆ นำเสนอได้เลยเพราะหัวหน้าที่อยากได้งานดี ย่อมเปิดรับฟังอะไรที่สดใหม่และอยากจะฟังไอเดียใหม่ๆและเขาจะเอา หรือปัดตก เราก็ไม่ต้องเสียใจ แค่อย่าหยุดที่จะกล้าแสดงความเห็นก็พอ


2. อย่าคิดไปเองว่า ที่คนทำให้เราเฟล เพราะเราไม่มีค่าพอ

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/7b/d9/d7/7bd9d74835c2e4ed2d546683e35123a9.jpg

ในยุคปัจจุบันที่สังคมสับสนวุ่นวาย

ทำให้การใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันของเรา เป็นไปได้ยากมากขึ้น

ถ้าหากคนที่คุณให้ความสนใจ

เขามีท่าทีที่ดูไม่แยแสคุณ หรือทำให้คุณเฟล

ในความเป็นจริงแล้ว

เขาอาจไม่ได้ไม่แคร์คุณจริงๆ หรอกนะ

แต่อาจเป็นเพราะ

เขากำลังจมกับตัวเองในบางเรื่อง

หรือมีเรื่องต้องให้จัดการ หรือเขา

อาจจะเพิ่งเผชิญกับความกดดัน

อะไรบางอย่างที่คุณก็ยังไม่รู้

คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยบอกตรงๆ ว่าตัวเองเป็นอะไร

คิดอะไรอยู่ และสิ่งที่ตามมาก็คือ ความผิดพลาดทางการสื่อสาร

ทำให้เกิดการไม่เข้าใจกัน

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามให้รู้ไว้ว่า เร

ายังไม่ควรตัดสินอะไรไปเอง

อย่าเพิ่งคิดน้อยใจไปเลยนะเธอ


3. อย่าคิดไปเองว่า เรื่องโน้นเล็ก หรือใหญ่สำหรับคนอื่น

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/43/1c/a6/431ca6cea6550d2a39ea66e2f9fd94f7.jpg

อันนี้เข้าข่ายอาการคิดมาก ขี้กังวล

ซึ่งมากเกินไปจนทำให้เรากลายเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง คนที่เข้าข่ายนี้

มักจะมีอาการเครียดเป็นอย่างมาก ถ้าต้องเปลี่ยนแผนการใดๆ หรือเกิดเปลี่ยนใจอะไรขึ้นมา และเริ่มจะคิดไปเองแล้วว่า ถ้าบอกเรื่องนี้กับคนอื่น ทุกคนจะต้องหงุดหงิด

และโกรธเราอะไรยังไงมั้ย  จริงๆ แล้วมันคือการคิดให้เครียดเปล่าๆ เลย ต่อให้พยายามคิดไปเองยังไง เราก็ไม่สามารถเดาได้ถูกต้องอยู่ดีอะจริงมะ

และบางครั้งอาจจะมีความคิดประมาณว่า

เราจะทำให้คนอื่นรำคาญมั้ย หรือเขาจะไม่ได้สนใจอะไรเลย หรือเราจะทำให้คนอื่นรำคาญโดยไม่รู้ตัวกันนะ ซึ่งบอกเลยว่ามีสิทธิ์เป็นไปได้หมด

เพราะแม้แต่

เราเองก็เคยรู้สึกกับคนอื่นแบบนี้มาทุกแบบแล้วเหมือนกัน

ฉะนั้นจำไว้อย่างเดียวว่า

อย่าพยายามไปเดาใจใครเลย ไม่ว่าใครก็ต้องเคยมีเรื่องให้เปลี่ยนใจทั้งนั้นแหล

ะ และถ้ามัวต้องมานั่งคิดเครียดอะไรแบบนี้ จะยิ่งเป็นการเสียเวลาชีวิต และเสียบุคลิกเราซะเปล่าๆ

มั่นใจในตัวเองเข้าไว้ เลือกทางที่ดีที่สุด ถ้าแผนการจะต้องเปลี่ยน ก็เปลี่ยน แค่ไม่ทำเรื่องให้เดือดร้อนเรา และคนอื่นก็พอแล้ว ยิ่งเราไม่ลังเล คนอื่นสิจะยิ่งชอบนะจ๊ะ


4. อย่าคิดไปเองเรื่องความสนิทของเรา ในสายตาของคนอื่น

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/cb/6b/ad/cb6badf9db5558ad164c99e2bb242882.jpg

เคยมั้ยเวลาเรานึกถึงใครสักคนที่เราสนิทด้วย อาจจะเป็นเรื่องราวเก่าๆ หรือเพื่อนที่เราคบหากันอยู่ในปัจจุบัน ว่าเขา

เคยนึกถึงเราเหมือนที่เรานึกถึงมั้ย หรือเขาสนิทกับเราเหมือนที่เราคิดรึเปล่า

อย่างเราอาจจะมี

เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยที่ทำงานด้วยกัน, เพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างสนิท ไปไหนมาไหนด้วยกันได้ หรือแม้แต่พนักงานในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ทักกันบ่อยๆ

หลายครั้งเราอาจจะรู้สึกอยากแสดงให้เขารู้ว่า เรารู้สึกเป็นมิตรกับเขามากแค่ไหน

หรืออยากสนิทกับเขามากขึ้น

แต่ก็คงไม่มีใครกล้าไปถามตรงๆ ฉะนั้นหลายคน

เอาแต่คิด และกังวลไปเองว่าเขาอาจจะไม่ได้สนิทกับเราอย่างที่คิดก็ได้ ทำให้รู้สึกกลายเป็นละล้าละลัง ไม่มั่นใจเข้าไปอีก

ซึ่งจริงๆ แล้วเราสามารถแสดงออกได้เลยไม่ต้องกลัว ( ไม่ใช่ไปพูดตรงๆ จนคนอื่นเหวอนะ ) โดยการ

ทักทายปราศรัย หมั่นสนทนากันบ่อยๆ ความสนิทจะเกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าเราไม่กล้าลุยอะเนาะ


5. อย่าคิดไปเอง ว่าคนอื่นจะรู้ ในสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว

รูปภาพ:https://i.pinimg.com/564x/ad/9a/fe/ad9afe1a1b5b89a09475d2cf29723418.jpg

อันนี้ค่อนข้างเป็นหนึ่งในอาการที่สำคัญ และค่อนข้างเป็นปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการของimposter syndrome  หรือที่เรียกว่า " โรครู้สึกไม่เก่งจริง " คุณจะมีแนวโน้มที่จะคิดเองเออเองว่า ความรู้ที่ตัวเองมีนั้น ไม่ได้พิเศษอะไรไปมากกว่าที่คนอื่นรู้อยู่แล้วและความคิดแบบนี้จะนำไปสู่การไม่กล้า ไม่อยากนำเสนอความเห็นอะไรซึ่งปิดโอกาสพิสูจน์ความสามารถของตัวเองให้คนอื่นทราบโดยสิ้นเชิง

หรืออีกกรณีที่ทำให้เกิดความคิดแบบนี้ อาจเป็นเพราะว่าคุณสื่อสารได้ไม่ค่อยชัดเจน ทำให้คนอื่นไม่เข้าใจ และพลาดประเด็นสำคัญที่อาจมีประโยชน์จากในสิ่งที่คุณต้องการสื่อก็อาจจะต้องฝึกการพูดให้สามารถสื่อสารให้ชัดเจน และเข้าใจมากยิ่งขึ้น

จำไว้เลยว่า หากคุณผุดไอเดียที่คิดว่าดี และน่าจะมีประโยชน์ได้ ก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น นำเสนอไอเดียซะ พูดออกไปเลยคุณไม่จำเป็นต้องชัวร์ 100% ก่อนนำเสนอไอเดียอะไรหรอกแค่ได้ลองพูดในสิ่งที่น่าจะใช้ประโยชน์ได้ ให้คนอื่นได้รู้ก็พอแล้ว


ใครที่คิดว่าตัวเองมีอาการไม่มั่นใจในตัวเองมั่งมั้ย คิดว่า5 ข้อนี้น่าจะมีประโยชน์ และทำให้คุณได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองไม่มั่นใจซึ่งเป็นผลมาจากความคิดเพียงไม่กี่ข้อนี้หากอยากลองเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนความคิดก่อนนะจ๊ะ ^^