บทที่ 1 : คนดีจากหนึ่งในล้าน

สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเกล อายุ 20 ปีพอดี ตอนนี้กำลังเรียนอยู่มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทย ชีวิตของฉันเกิดมาด้วยความผิดปกติ ผิดปกติขนาดที่มนุษย์ทั่วไปตายแล้วไปเกิดใหม่สามชาติเศษก็ยังไม่ได้เป็นแบบฉัน ซึ่งความผิดปกตินั้นก็คือ

ฉันสามารถอ่านใจทุกคนบนโลกนี้เมื่อเห็นหน้าพวกเขาได้ตั้งแต่อายุหกขวบค่ะ

ใจเย็นๆ นะคะ อย่าเพิ่งอ้าปากเหวอตกใจกับความสามารถนี้ ฉันรู้ว่าทุกคนจะต้องร้องว๊าวแบบพ่อกับแม่ฉันแน่ๆ ท่านทั้งสองบอกว่านี่มันคือของขวัญจากพระเจ้า แต่ฉันกลับคิดว่ามันคือคำสาป!

ยังไงน่ะเหรอคะ

เฮ้อ~ ขอถอนหายใจแป๊บ

ยกตัวอย่างเหตุการณ์ปัจจุบันทันด่วนเลยแล้วกัน ตอนนี้ฉันกำลังอยู่แถวชั้นหนังสือในห้องสมุดในเวลาพักเที่ยง สถานที่ที่มหาวิทยาลัยไม่เคยจะซื้อหนังสือใหม่มาเติมหรือเปลี่ยนคอมพิวเตอร์จากปีมะโว๊เสียที เอ๊ย! เป็นสถานที่ที่ฉันคิดว่าควรจะสงบที่สุดต่างหากล่ะ แฮะๆ

แต่ก็นั่นแหละค่ะ เข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน ฉันเห็นนักศึกษาชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม เขาใส่แว่น หน้าเนิร์ดๆ สิวๆ เขากำลังจ้องมาที่ฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วยิ้มอย่างเขินอาย ดูน่ารักเนอะ แต่สมองของเขากำลังพิจารณาขนาดทรวดทรงองค์เอวของฉันเนี่ยสิ ตั้งแต่หน้าตา หน้าอก เอว สะโพก บั้นท้าย และยังอยากจะพาฉันไป...

กรี๊ดดด! แค่คิดฉันก็อยากจะปรี๊ดแตก แทบจะอวก หูยยยย คิดได้นะว่าหน้าอย่างฉันอยากจะไป...กับแกอ่ะ อี๋ แค่ได้ยินความคิดของเขาแล้ว ฉันก็อยากจะเอาหนังสือทั้งชั้นไปกระแทกแว่นเขาให้แตกสักที

ฉันข่มอารมณ์แล้วหันไปสนใจหนังสือแทน เพื่อพยายามหยุดฟังความคิดอันอัปรีย์ของเขา แต่ก็ทำไม่ได้

ไม่ ไม่ ไม่! เอามันออกไปจากสมองของฉันที นี่เขายังไม่หยุดคิดเลยนะ หรือฉันควรจะขว้างหนังสือใส่ให้เขารู้สึกตัวจริงๆ ดีเนี่ย

“ขอโทษนะคะ ขอทางหน่อยค่ะ” มีผู้หญิงคนนึงทักฉันขณะที่กำลังปรี๊ดแตกอยู่ในใจ เธอเรียกสติให้ฉันหันขวับไปมอง ปรากฎว่าเธอกำลังส่งสายตามาทางฉันประมาณว่า ฉันขวางทางเธออยู่ ใบหน้าของเธอนั้นยิ้มอย่างสุภาพจนฉันต้องยิ้มตอบ ซึ่งดูจากภายนอกแล้วเธอคงจะเป็นคนที่น่ารัก แต่เมื่อฟังความคิดของเธอเท่านั้นแหละ ฉันแทบอยากจะกระแทกหนังสือใส่หน้าเธอไปอีกคน


‘ยืนหลบๆ ซักหน่อยไม่ได้หรือไง หุ่นก็เท่ากุ้งแห้งยังจะยืนขวางทางฉันอีก ยัยหัวหมาพุดเดิ้ล’

ฉันหุบยิ้มทันใด ก่อนจะขบฟันมองเธออย่างหมั่นใส่ โถ ยัยนี่กำลังด่าทรงผมหยักศกที่ฉันเพิ่งดัดเล่นเมื่อเช้าแล้วเหน็บกิ๊บบนกลางหัว

หึ ยัยคนขนาดตัวกว้างเท่าประตูบ้าน รูปร่างของแกประดุจเทพีช้างน้ำ แกยังจะกล้าด่าทรงผมฉันเหรอ แหม ลดข้าวบ้างนะ อาจจะผอมลงก็ได้

ฉันพยายามข่มอารมณ์ตัวเองแล้วพยายามยิ้มตอบเธอ จากนั้นก็หลบทางให้ “อ๋อ โทษทีค่ะ”

เธอเดินยิ้มอ่อนเอาก้นเบียดฉันจนหน้าเกือบกระแทกชั้นหนังสือ ก่อนจะเดินไป

โอ๊ย! เนี่ยแหละค่ะ เพื่อนๆ เห็นสิ่งที่ฉันเกลียดจากความสามารถนี้แล้วหรือยังคะ ถ้ายัง ฉันจะอธิบายให้แบบเข้าใจง่ายๆ เลยนะคะ ว่าความแย่ของมันคือการได้รับรู้ความคิดด้านลบของคนอื่นทั้งๆ ที่เราไม่อยากรู้นั่นแหละ มันอาจจะดูเท่ถ้าเราเป็นจีนในหนังเอ๊กซ์-เม็น (แม้นางจะตายตอนจบของภาคอะไรซักภาคแล้วก็ตามนะ) แต่แท้จริงแล้วมันกลับไม่ได้เท่แบบนั้นน่ะสิ

ยังไงน่ะเหรอคะ เอ่อ... จากสถานการณ์เมื่อกี้เพื่อนๆ คงเห็นแล้วว่า แม้แต่สบตาแรกของใครบางคน พวกเขาก็ไม่ได้คิดดีกับเราหรอกค่ะ ฉันบอกไว้เลย ดู ยู อันเดอร์แสตน?

การอ่านใจคนได้ทำให้ฉันรู้ว่า ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนแต่ทำดีให้ใครบางคนเพื่อหาผลประโยชน์ ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มมักมีมีดซ่อนไว้อยู่ข้างหลังเสมอ โอ โนว ไม่ต้องแปลกใจกับความคิดนี้หรอกค่ะ มันปกติมากๆ เลย ดิฉันคอนเฟิร์ม

อะไรนะคะ จะถามฉันว่าแล้วบนโลกนี้จะมีคนดีๆ บ้างหรือเปล่าน่ะเหรอ

เอ...ถ้าจะให้ตอบแบบนั้นก็น่ายากอยู่ คงเป็นแบบชื่อเพลงของนักร้องต่างชาติคนนึงเลยว่า วัน อิน อะ มิลเลี่ยนค่ะ แหกตาหาเป็นสิบปีก็ไม่เจอหรอกค่ะ

แต่ถ้าจะถามฉันอีกว่า ไม่มีจริงๆ เหรอ เคยเจอบ้างไหมล่ะ


อืม ฉันคงจะตอบแบบคนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งค่ะ ว่าเจอค่ะ เขาคือเพื่อนสนิทของฉันเอง ชื่อไบค์ หนุ่มหล่อลูกครึ่ง ผิวขาวสว่างไสวประหนึ่งติดหลอดไฟมามหาลัย คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโต๊ะใกล้ๆ นี้เอง


เขาเป็นผู้ชายที่แสนดีคนเดียวสำหรับฉันค่ะ จิตใจดี ถือศีลห้า มีความซื่อสัตย์มากจนซื่อบื้อบ้างเป็นบางที และแม้บ้านเขาจะลำบากทางด้านการเงิน เพราะพ่อทิ้งไปตั้งแต่เขายังเด็ก เขาเหลือเพียงแม่คนเดียว แต่เขาก็เป็นคนขยันทำงานค่ะ ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจว่าผู้ชายดีๆ แบบนี้ทำไมไม่มีใครชอบ อ่อ ลืมไป ก็ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ได้มองผู้ชายที่หน้าตานี่นา พวกเธอมองกันที่กระเป๋าตังค์ต่างหาก แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นคนดีที่ฉันแอบหลงชอบมาตั้งแต่เป็นเฟรชชี่เลยนะ


อุ๊ปส์! นี่ฉันเผยความลับให้เพื่อนๆ ฟังเสียแล้ว


ถ้าใครถามต่อว่า อ้าว! เจอคนดีแล้วทำไมไม่คว้าล่ะ


ฉันก็จะตอบแบบคนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง แล้วลืมขึ้นรางวัลค่ะ (ขอร้องไห้ไปอีกสามตลบ) คิดแล้วอยากจะเอาหัวโขกชั้นหนังสือ ก็ฉันไม่ยอมบอกเขาน่ะสิคะว่าฉันชอบเขา จนกระทั้งเขามีแฟนไปเมื่อตอนปีหนึ่งเทอมสอง ตอนนั้นฉันแอบเปิดฝักบัวร้องให้อยู่คนเดียวเป็นเดือนเลยค่ะ แต่จะทำไงได้ล่ะเนอะ ก็ฉันดันพลาดไปแล้วนี่นา จะโทษใครก็ไม่ได้