Missing Pieces


บทที่ 3 - The First Harmony

พวกเขาไปถึงห้องชมรมดนตรีอีกฟากหนึ่งของโรงเรียน ซึ่งแน่นอนว่ามีหลายวงรอซ้อมอยู่ตามคิวที่จัดไว้ ส่วนวันนี้คินเพียงขอซ้อมสั้น ๆ แค่เพลงสองเพลงเพื่อทำความรู้จักกันเท่านั้น

ไม่มีใครใช้เครื่องดนตรีของตัวเอง คินกับอัญเอากีตาร์โปร่งมาเพราะอาจได้เล่นด้วยกันนอกห้องซ้อม หลังจากเซตเครื่องดนตรีและทุกคนต่างอยู่ประจำที่ วรินที่เป็นนักร้องนำก็เอ่ยขึ้น

“เพลงฤดูร้อนนะ ทุกคนลองเล่นมาแล้วใช่ป้ะ พร้อม”นัทกำรอบไม้กลองแน่น เงื้อมือขึ้นอย่างเตรียมพร้อม ฟรองซ์กำรอบคอเบสพร้อมรอยยิ้ม คินกวาดตามองทุกคน ขณะที่อัญมองมาที่เขา

“พี่คินเริ่มนะ เดี๋ยวอัญตาม”อัญขยับยิ้ม ทั้งที่ยืนอยู่คนละฝั่งของวง แต่คินรู้สึกเหมือนเธออยู่ข้าง ๆ แล้ววางมือบนบ่าอย่างให้กำลังใจ“เจ้อัญ”วรินเรียก มือกีตาร์สาวพยักหน้าคราหนึ่ง พวกเธอคงตกลงอะไรกันมาบ้างแล้ว

คินก้มมองกีตาร์ก่อนขยับปลายนิ้วเริ่มบรรเลง ทำนองหม่นเศร้าเชื่องช้ากว่าเพลงต้นฉบับดังออกจากลำโพงแอมป์มีเสียงความถี่ต่ำแทรกออกมา ยิ่งทำให้ดูหม่นลงกว่าเดิม เหมือนเสียงฟ้าร้องท่ามกลางเมฆมืดครึ้ม เม็ดฝนเริ่มโปรยปราย เช่นเดียวกับเมโลดี้ที่ลื่นไหล ผ่านไปสองห้องดนตรี อัญก็ดีดคอร์ดหนึ่งครั้งต่อห้อง เพียงการเล่นง่าย ๆ ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนเธอกำลังถมที่ว่างในใจอย่างช้า ๆ

“บ่อยครั้งที่ใจ...”เสียงติดจะแหบทว่านุ่มนวลทรงพลังดังออกมาจากเด็กสาวตัวเล็กผู้ยืนอยู่ด้านหน้าสุดบริเวณกึ่งกลางวง ทั้ง ๆ ที่เป็นเพลงเศร้า และวรินถ่ายทอดอารมณ์นั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่ากลับมีความสง่างามที่น่าหลงใหลเจืออยู่ในแววตา ราวกับแสงจางที่แทรกผ่านเมฆหม่นให้เห็นอย่างเลือนราง“เดินออกไปไม่มองข้างทาง หยดน้ำตาอยู่กับการไม่มีค่า...”

“นัท!”อัญตะโกนพลางสไลด์สายกีตาร์แล้วดีดคอร์ดระรัว นัทฟาดไม้กลองลงในการดีดครั้งสุดท้ายของห้องนั้น

ราวกับสายฟ้าฟาดลงมา ส่งเสียงกึกก้อง ส่องแสงสว่างวาบไปทั่วฟ้า สายฝนยิ่งกระหน่ำ ทว่าเมฆเทาค่อย ๆ เลือนหายและถูกแสงสายฟ้าสีทองที่ฟาดลงเป็นระยะยึดครองน่านฟ้า

ทั้งกลอง เบส และกีตาร์ของอัญเริ่มเล่นระรัวในจังหวะนั้น ความเชื่องช้าหม่นเศร้าก่อนหน้าถูกพัดพาไปหมดแล้ว คินเล่นเมโลดี้ที่ไล่สลับสูงต่ำ ทว่าถึงอย่างไรก็ยังติดโทนหม่น ท่ามกลางทำนองที่ร้อนแรงขึ้น เขารู้สึกแปลกแยกออกมา

แม้จะยังไม่ลงตัวนัก แต่การประสานของกันและกันก็ทำให้ใจเขาเต้นรัว กระทั่งหลังท่อนฮุคแรก ทุกคนเริ่มทดลองการเล่นแปลกใหม่โดยเฉพาะมือกลอง ราวกับสงครามแห่งความบ้าคลั่งได้เกิดขึ้นท่ามกลางฝนห่าใหญ่ที่ยังไม่ซาไปไหน จนคินรู้สึกเหมือนยืนหลงทางกลางกลุ่มคนที่วิ่งผ่านไป บางจังหวะก็ได้เพียงนิ่งฟัง เฝ้ามองหาคนทั้งสี่ที่วิ่งไปข้างหน้าแล้วออกไล่ตาม

ดนตรีท่อนสุดท้ายของบทเพลง ทุกอย่างชะลอช้าลงสู่สภาพปกติ เหมือนทุกคนต่างอ่อนล้า และท้ายที่สุดก็หยุดนิ่ง บทเพลงจบลงด้วยการดีดสุดท้ายของอัญที่กรีดผ่านสายกีตาร์ช้า ๆ จนได้ยินเสียงตัวโน้ตในคอร์ดไล่เรียงเด่นชัด ทุกเสียงก้องอยู่ชั่วขณะหนึ่งแม้ทุกคนจะหยุดมือแล้ว เหมือนไอน้ำที่ลอยอ้อยอิ่งแล้วจึงเลือนหายไปในความว่างเปล่า

นัทเคาะไม้กลองเข้าด้วยกันแทนการปรบมือ ฟรองซ์ยกหลังมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากบนใบหน้ายังมีรอยยิ้มประดับ คินยืนนิ่งเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย อัญกับวรินยิ้มสบตากันครู่หนึ่ง“ดีมากสำหรับครั้งแรก”แม้จะพูดเช่นนั้น แต่เขารู้ได้ว่าสายตาคมกริบของเธอกำลังประเมินการเล่นที่ผ่านมาและสรุปอยู่ในใจ

ไม่ทันได้พูดอะไรกันมากไปกว่านั้น พวกเขาก็ต้องรีบย้ายสถานที่เพื่อให้วงอื่นที่รออยู่ได้ซ้อม


“ก็ดีแหละ ทุกคนก็คงรู้นะว่าต้องปรับอะไรตรงไหน ก็ไปปรับ ๆ มานะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้มาเล่นกัน”นักร้องนำสบตาทีละคนพร้อมรอยยิ้ม คินเดาได้ไม่ยากว่าการไม่วิจารณ์ออกมาตรง ๆ คงมีเพียงวันแรกนี้เท่านั้น “มาเลือกเพลงที่จะใช้ออดิชั่นจริง ๆ แล้วก็ เรื่องสำคัญมาก...“

เธอจงใจเว้นระยะ ท่ามกลางสายตาเพื่อนร่วมวงที่จ้องมองอย่างรอคอย“ชื่อวง”“บิวตี้ฟูลทีม”นัทโพล่งพลางยกมือขวาสุดแขน“ไม่ผ่าน / ก็แย่ละ / ขอบาย”สามเสียงประสานจากทุกคนที่ทำสีหน้าเอือมระอา ขณะที่คินไม่ได้พูดอะไร สำหรับเขาจะชื่อไหนก็ไม่ได้แตกต่าง

“ต้องเป็นอะไรที่มันอิมแพค ฟังแล้วมันปัง! แบบ เย้ นี่ละใช่เลย”ฟรองซ์ว่า แล้วทั้งวงก็ตกอยู่ในความเงียบ หากไม่เสนออะไรแล้วถูกค้านไปก็กลับมาสู่ความเงียบ วนเวียนเช่นนั้นอยู่นาน

กระทั่งวรินพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ แล้วยื่นหน้าจอให้ทุกคนดูD’artificeแล้วทุกคนก็พูดขึ้นมาพร้อมกันด้วยประโยคที่ต่างกันออกไป“ดาร์ติฟิเซ่?”ฟรองซ์อ่านด้วยสำเนียงที่แทบไม่ผิดจากเจ้าของภาษา“พลุ...?”คินพูดก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย“ดิ อาร์ทติฟิส?”นัทเลิกคิ้วขึ้นสูง“เพราะดี ชอบ ๆ”อัญชูนิ้วโป้งทั้งสองข้าง“ใช่ อ่านแบบฝรั่งเศสพี่ฟรองซ์อ่านถูกแล้วแปลว่าพลุ ถ้าจะอ่านแบบอังกฤษแบบนัทก็แปลว่าทักษะหรือมายา ตกลงเอาชื่อนี้นะ”แล้ว d’artifice ก็ตั้งขึ้นโดยสมบูรณ์ในเย็นวันนั้นคินสงสัยว่าความเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของแต่ละคนนั้น จะปรับเข้าหากันจริง ๆ ได้อย่างไร จะลงเอยด้วยท่วงทำนองแบบไหน แล้วเขาควรจะยืนอยู่ที่แห่งใด ท่ามกลางแสงสีของทุกคนที่ทอประกายเจิดจ้า ตัวเขายังมีเพียงความว่างเปล่าทว่าชิ้นส่วนหนึ่งของเขาอยู่ตรงนั้น มือกีตาร์สาวที่เล่นดนตรีเกื้อหนุนกันและกัน แม้จะยังไม่อาจเอื้อมมือสัมผัส แต่เพียงเฝ้ามองแสงนั้นแปรเปลี่ยนวูบไหวท่ามกลางเสียงเพลงที่สร้างร่วมกันเล่นบรรเลงก็ทำให้เขาอยากยืดเวลานั้นออกไปไม่รู้จบคนที่ได้รับความอบอุ่นจากแสงงดงามที่ส่องลงมากลางทุ่งหิมะว่างเปล่าแล้วครั้งหนึ่ง คงไม่มีทางละจากมันได้โดยง่ายทุกคนแยกย้ายกันแล้ว ท้องฟ้ามืดลงกว่าเดิมตามเวลาที่เลยผ่าน เมื่อผู้ครอบครองแสงสีเจิดจ้าคุกคามจากไปมุมหนึ่งของใจก็พลันรู้สึกโล่ง ทว่ารอบตัวที่กลับมามีเพียงความเงียบ ก็ราวกับจะตอกย้ำความว่างเปล่าในใจให้ยิ่งเด่นชัดในมือของคินถือกีตาร์ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะเล่นเพลงแบบไหนออกมาเงาของใครคนหนึ่งพลันทาบทับ บดบังแสงสีส้มของยามเย็นที่เคยฉายอาบตัวเขาที่นั่งอยู่ เรียกให้คินเงยหน้าขึ้น เด็กสาวร่างสูงยืนอยู่ตรงนั้น ในมือถือกีตาร์โปร่งสีน้ำตาลเหลือง“พี่คิน กลับกี่โมง”“คงอีกสักพัก แล้วอัญล่ะ”“ไม่รู้สิ ก็เรื่อย ๆ ”คนเป็นรุ่นน้องนั่งลงข้าง ๆ ที่มุมนัยน์ตาสีดำสะท้อนจุดแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ “มาเล่นด้วยกันเถอะพี่คิน”“เพลงอะไรดี”คินขยับนิ้วเตรียมดีดคอร์ดอย่างเตรียมพร้อม“มาอิมโพรไวส์(การเล่นสดโดยไม่ได้คิดเมโลดี้มาก่อน)กันมั้ย”อัญยิ้ม ดวงตาสีดำฉายความสนุกระคนท้าทาย “พี่คินเล่นโซโล่นะ เดี๋ยวอัญจะเป็นคอร์ดให้ คีย์ซีนะ”“ได้”มือกีตาร์หนุ่มยิ้มรับ แม้ร่างกายจะเริ่มเกร็งขึ้นมาเพราะกลัวว่าจะเล่นได้ไม่ดี เสียงดนตรีคือสิ่งที่สะท้อนตัวตนของคนเล่นออกมาทั้งหมด เขากลัวว่าเมโลดี้หม่นของตัวเองจะทำลายท่วงทำนองของอีกฝ่ายไปอัญเริ่มดีดจากคอร์ดซีด้วยจังหวะสี่ เธอมองคนข้างกายด้วยสายตาที่ราวกับจะเชื้อเชิญให้เดินตามมา คินเริ่มดีดโน้ตตัวแรก ปล่อยให้เสียงดังดังวานเหมือนย่างเท้าไปก้าวหนึ่งแต่ลังเลที่จะออกเดินต่อ ทว่าเมื่อสบตากับเธอตรงหน้า ก็เหมือนมีแรงผลักดันให้ตัวโน้ตต่อไปไหลลื่นออกมาเป็นเพียงท่วงทำนองเรียบง่ายจากทั้งสองคน แทบไม่ได้ใส่เทคนิคใดลงไปเลย ทว่าเสียงจากคอร์ดของเธอที่เสมือนกับมือเล็ก ๆ ที่ออกแรงดันหลังเขาแผ่วเบาให้เดินก้าวต่อ ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอบอุ่น และอยากให้เพลงนี้ทอดยาวออกไปไม่รู้จบทว่าเด็กสาวรุ่นน้องกลับหยุดมือลงก่อนวางกีตาร์ลงข้างกาย เพลงทำนองที่จบลงอย่างกะทันหันทำให้เขายังตั้งตัวไม่ติด อัญยกสองมือวางบนบ่าเขาอย่างนุ่มนวล แม้จะมีกีตาร์คั่นกลางระหว่างพวกเขา ทว่าระยะห่างที่ลดน้อยลงมาก็ทำให้คินชะงักไป“พี่คิน”อัญยิ้มน้อย ๆ แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมายังคงหนักแน่นจริงจัง “กลัวอะไรเหรอ เกร็งเกินไปแล้ว เล่นตามที่อยากเล่นสิ อัญเล่นตามพี่ได้หมดแหละ”“ขอโทษ...”คินเอ่ยเสียงแผ่ว“ขอโทษอะไรล่ะ นี่แค่เล่นกันเฉย ๆ ไม่เห็นต้องซีเรียสเลย”เธอพูดเสียงดังขึ้น หยิบกีตาร์ขึ้นมาอีกครั้ง “มา เอาใหม่นะ”ท่วงทำนองจากทั้งสองดังขึ้นใหม่อีกครั้ง คินไม่ลังเลในตัวโน้ตที่ดีดบรรเลงอีกแล้ว หรือหากมีเสียงไหนสะดุดไป เด็กสาวตรงหน้าก็จะพยักหน้าให้เป็นเชิงบอกให้เล่นต่อ เมื่อไหร่ที่เขาเร่งความเร็วหรือเล่นด้วยเสียงสูงหรือทุ้มต่ำ เธอก็จะเล่นได้สอดรับเหมาะสมเสมอ เหมือนทุกครั้งที่คินวิ่งนำไป อัญก็จะวิ่งตามมาอยู่ข้าง ๆ ได้ทุกครั้ง กระทั่งเธอเปลี่ยนมาฟังฝ่ายนำบ้าง คินหยุดนิ่งรับฟังจังหวะคอร์ดที่ส่งมาแล้วเป็นฝ่ายตามไป รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของทั้งคู่แม้ไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรกัน แต่ราวกับว่าพวกเขาได้บอกเล่าเรื่องราวนับร้อย ผ่านเสียงดนตรีที่บรรเลงออกมาเสียงเพลงยังคงดังก้อง ท่ามกลางฟ้าที่มืดลงจนแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ทั้งสองเริ่มอ่อนล้า หยดเหงื่อเกาะทั้งใบหน้าและลำคอ“สุดท้ายแล้วนะพี่คิน”อัญว่าพลางดีดรัวแล้วหยุดนิ่งเป็นจังหวะส่ง คินขยับนิ้วเร่งความเร็ว เธอกลับมาเล่นอีกครั้งในตัวโน้ตที่ประสานกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจางหายไป“เล่นเก่งนะ”“ขอบคุณ”คนเป็นรุ่นน้องยิ้มรับพลางเก็บกีตาร์ลงกระเป๋าคินรู้สึกว่าช่องว่างในใจถูกถมเต็มด้วยเสียงดนตรีของเธอที่ประสานกัน เขาตามหาใครสักคนที่จะเล่นได้เข้ากันแบบนี้มานานแสนนาน แล้วเธอก็มาปรากฏตรงหน้า บอกกับเขาว่าจะเป็นคอร์ดของเขาที่คอยหนุนหลังอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองแบบไหนเขาอยากอยู่ข้าง ๆ เธอบนเวที อยากชนะไปด้วยกัน อยากเล่นเพลงของเขากับเธอให้ทุกคนได้ฟัง ไม่ใช่ว่าอยากชนะกับใครก็ได้ แต่ต้องเป็นเธอ เธอเท่านั้นภายใต้ท้องฟ้าราตรี แสงสีแดงหม่นของเธอยิ่งส่องประกายงดงามอัญหันกลับมาพร้อมหยุดยืนรอให้เขาไปอยู่ข้าง ๆคินฝันถึงท่วงทำนองที่พวกเขาจะร่วมสร้างในวันอื่น ๆ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่านี่อาจเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ระหว่างเขากับอัญเล่นประสานกันได้ดีที่สุด