บทที่ 1


ถนนคอนกรีตเส้นเล็กที่ลากยาวของหมู่บ้านในวันนี้ค่อนข้างทำให้คนที่กำลังเดินอย่างระมัดระวังไม่พึงใจเล็กน้อย ด้วยเพราะบ้านหลังหนึ่งมีงานสังสรรค์ที่กินเนื้อที่บริเวณออกมานอกเขตรั้ว ทำให้เพื่อนบ้านหรือแม้กระทั่งชายหนุ่มร่างสูงสันทัดคนหนึ่งที่อยู่ในชุดสบายๆ เผลอสะดุดถุงขยะจนเกือบล้มเมื่อเดินผ่าน ใบหน้าเรียวได้รูปหากก็คมคายตามช่วงอายุนั้นแต้มเจือให้ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน แต่สุดท้ายก็ยังคลายมันให้จางลงแล้วก้าวเดินต่อไปได้อยู่ดี

มือข้างขวาของชายหนุ่มกระชับสายจูงที่ยาวพอประมาณ แน่นอนว่าเบื้องหน้าของเขามีสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์สีน้ำตาลอ่อนตัวใหญ่ที่กำลังเดินอย่างไม่รีบเร่งเช่นเดียวกับเจ้าของ ก่อนจะได้หยุดยืนอยู่กับที่เพราะมือของเขาที่กระตุกให้หยุดนิ่งพร้อมเสียงของใครบางคนที่ดังขึ้น“นัท ออกมาเดินเล่นหรือจ๊ะ?”

มนัสหันไปตามต้นเสียงก่อนจะยกยิ้ม พยักหน้าเล็กน้อยแล้วตอบกลับอย่างสุภาพ “ครับคุณน้า วันนี้อากาศดีนะครับ”“ถึงจะมีลมก็เถอะ แต่แดดก็แรงใช่เล่นอยู่นา รีบกลับเข้าบ้านก็ดีนะน้าว่า”

ชายหนุ่มหัวเราะแผ่วเบาเป็นการตอบรับคำนั้น ก่อนจะค้อมกายเล็กน้อยแล้วทิ้งมือเรียวเคลื่อนลูบที่หัวของสุนัขคู่ใจ ก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วก้าวเดินอีกครั้ง

กลีบปากอิ่มเอิบสีเรื่อยังคงแย้มยิ้มไม่เจือจาง แม้จะไม่ได้มีบทสนทนากับเพื่อนบ้านแล้วก็ตาม ทว่าสายลมโชยเอื่อยที่พัดผ่านเรือนกายและดวงหน้าของเขา ก็ยังสร้างความแช่มชื่นสดใสให้เจ้าตัวได้อารมณ์ดี มนัสจะรู้สึกได้ว่าแดดที่แผดแสงลงมาจากดวงอาทิตย์นั้นจะแรงไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับลมเอื่อยๆ นั่นน่ะ อุณหภูมิของแสงแดดก็หาได้เป็นอุปสรรคของเขาในการเดินเล่นแต่อย่างไร เขาพึงใจที่จะเดินเล่นอยู่เช่นนี้ จนกว่าจะรู้สึกเหนื่อยนั่นแหละ เมื่อนั้นเขาถึงจะกลับเข้าบ้านเอง

เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นที่ด้านหลัง ให้มนัสตัดสินใจเดินเลียบชิดกับริมทางเดินให้ได้มากที่สุดด้วยไม่ต้องการจะกีดขวางทางใคร ชายหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองน่ะเดินช้ามากแค่ไหน แล้วถนนที่เดินอยู่นี่ก็เล็กเพียงแค่ให้รถขับผ่านได้เลนส์เดียวเท่านั้นเอง

แต่ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของมนัสจะผิดไปด้วยเพราะเหตุใดไม่ทราบ แต่ในขณะที่ก้าวเท้าด้วยจังหวะมั่นคงอยู่นั้น ร่างของใครบางคนก็กลับเดินปัดผ่านให้ไหล่ของทั้งสองคนชนกัน และอาจจะด้วยเพราะอารามตกใจด้วยกระมัง ที่ทำให้มนัสเผลอปล่อยสายจูงสุนัขหลุดมือจนเขาอุทานเสียงเบา“อ๊ะ ขอโทษนะครับ”

ใครบางคนเอ่ยขอโทษในทันทีพร้อมกับหันตัวกลับมาหาคนที่เขาเพิ่งเดินชนเมื่อวินาทีที่ผ่านพ้น ก่อนเรียวคิ้วโค้งจะย่นเข้าหากันนิดหน่อยเมื่อบุคคลตรงหน้าเพียงส่งยิ้มให้ ก่อนที่จะค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งยองๆ พลางกวาดมือไปกับพื้น แล้วก็ได้เผยอกลีบปากปล่อยเสียงหัวเราะให้เล็ดลอดออกมาเมื่อสุนัขขนสีน้ำตาลตัวใหญ่วิ่งเข้ามาหาพร้อมคาบสายจูงไว้ที่ปาก“ตกใจหมดเลย ลัคกี้เด็กดี~”

ว่าอย่างนั้นแล้วก็ลูบหัวของมันแทนของรางวัลที่ไม่มีให้ในตอนนี้ โน้มหน้าลงอีกนิดแล้ววางคางตัวเองลงบนหัวสีน้ำตาลอ่อนนั่น ไถคางไปมาเบาๆ แล้วจึงผละออกห่าง กระชับสายจูงให้แน่นมากขึ้นก่อนจะหยัดกายขึ้นยืน“เอ่อ...”“ผมไม่เป็นไรครับ”

ถ้อยคำนั้นเอ่ยขึ้นด้วยกระแสเสียงแสนจริงใจ ให้คนที่จับจ้องดวงหน้านั้นยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมรอบบริเวณ ให้ได้ยินเพียงเสียงลมและเครื่องยนต์ที่ดังแว่วมาจากถนนใหญ่ที่ห่างไกลออกไป

ก่อนสุดท้ายมนัสจะเป็นฝ่ายออกเดินอีกหน ให้อีกคนที่หลุบตาลงมองมือที่จับสายจูงนั่นได้มองเห็นสายที่พันรอบข้อมือขาวจนขึ้นสีแดง เขาไล่สายตามองคนแปลกหน้าตรงหน้าด้วยแปลกใจเล็กน้อย ผิวขาวของคนที่เขาเพิ่งชนแดงเรื่อขึ้นตามข้อต่อของร่างกาย ให้ได้รู้ว่าผิวนั้นขาวธรรมชาติและสีแดงนั่นก็เรื่อบริสุทธิ์ หาได้เพราะมีสิ่งใดกระทบกระทั่งหรืออย่างไร แต่มันก็อดจะทำให้เขากังวลไม่น้อย เช่นนั้นแล้วแทนที่จะเดินตรงไปยังเบื้องหน้าตามเป้าหมาย ก็กลับหมุนตัวแล้วเดินตามคนที่เดินห่างออกไปเพื่อสังเกตการเคลื่อนไหว

ดวงตาคู่คมมองแผ่นหลังของผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าเขานิดหน่อย เอียงศีรษะเมื่อมือข้างที่ไม่ได้จับสายจูงขยับขึ้นแตะกับรั้วบ้านไม้สีน้ำตาลของบ้านหลังหนึ่ง คล้ายกำลังค้นหาบางสิ่ง ทว่าใบหน้านั้นกลับยังหันตรงไปยังถนนเบื้องหน้าดังเดิม ก่อนที่ร่างนั้นจะกระตุกสายจูงพร้อมหยุดเดินเมื่อถึงประตูรั้วบ้านไม้ หันทั้งตัวและวงหน้าให้ไปทางประตูนั้นแล้วโค้งกายลงให้เขาได้หันมองตาม เห็นคนในบ้านหลังนั้นขยับปากทักทายกับคนที่ยิ้มอย่างสุภาพ เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่ชายคนนั้นจะออกเดินอีกหน“...”

ไม่รู้ว่าตัวเองอุทานออกไปแบบไหนตอนเห็นร่างของใครคนนั้นสะดุดเข้ากับอิฐบล็อกจนเผลอปล่อยสายจูงอีกรอบ และรอบนี้แม้สายจูงจะยังอยู่ในมือของเจ้าตัว แต่เพราะสะดุดกับสิ่งไม่พึงประสงค์เข้าอย่างจังจนร่างทั้งร่างเซแล้วล้มลงเข่าชนพื้น เพราะอย่างนั้นแล้วคนที่เฝ้ามองอยู่ทางด้านหลังจึงรีบสาวเท้าก้าวเดินเข้าไปหา หยุดยืนข้างๆ แล้วก้มตัวลงเล็กน้อยหมายจะช่วยพยุงขึ้น ทว่าใบหน้าของคนที่ล้มลงก็กลับเงยขึ้นแล้วเผยอกลีบปาก เอียงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลงไปอีกหน พยุงกายให้หยัดยืนแล้วถอนหายใจ“ฮะ?”

กลีบปากนั้นขยับเป็นพยางค์เพียงหนึ่งคำ ให้คนที่คว้ามือเปื้อนฝุ่นดินไว้ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยถ้อยความออกไป “ผมว่าคุณจับสายจูงไว้ไม่ดีนะ เกิดหลุดขึ้นมาอีกล่ะยุ่งเลย”

มนัสเอียงศีรษะเล็กน้อยเมื่อคนแปลกหน้าที่ฉุดมือเขาไว้เอ่ยขึ้นด้วยสำเนียงแปลกแปร่ง กระนั้นเขาก็ยังก้มหน้าลงเมื่อรู้สึกได้ว่าข้อมือของเขากำลังได้รับการห้อมล้อมไว้ด้วยสายจูงที่ใครอีกคนแย่งชิงไปเมื่อวินาทีที่แล้ว พันอยู่หลายทบก่อนที่ห่วงสายจูงจะสอดเข้ากับมือของเขา“แบบนี้ดีกว่านะครับ ถึงจะทำให้สายสั้นไปหน่อย แต่มันก็น่าจะไม่หลุดมือคุณถ้าคุณสะดุดล้ม”

“...ขอบคุณนะครับ” ประโยคชัดถ้อยชัดคำส่งผ่านกลีบปากสีเรื่อที่ยกยิ้มแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ ให้อีกคนได้ยกยิ้มเช่นเดียวกันก่อนปล่อยมือของมนัสให้เป็นอิสระ “ผมไม่คุ้นเสียงคุณเลย...”

กำลังคิดจะเอ่ยถามชื่อ ทว่าเสียงฝีเท้านั้นกลับขยับย่ำคล้ายกำลังเดินออกไป ให้ชายหนุ่มได้ส่งเสียงอ้าวแล้วเหลียวหันไปทางด้านหลัง เผยอกลีบปากคล้ายจะพูดอะไรสักอย่างออกมา พอดีกับอีกคนที่เดินไปทางเดิมแล้วหันกลับมาอีกรอบอย่างนึกเอะใจ แล้วก็ให้ได้เดินกลับมาหาคนที่จูงสุนัขก่อนส่งเสียง“ขอโทษนะครับ เมื่อกี้คุณจะพูดอะไร?”

“ผมนึกว่าคุณไปแล้วซะอีก...” มนัสเปรยเสียงแผ่วหากก็ยกยิ้ม “คือผมไม่คุ้นเสียงคุณเลย คุณไม่ใช่คนแถวนี้หรือครับ?”แทนที่จะพูดคำว่าไม่คุ้นหน้า แต่มนัสกลับเลือกใช้คำที่แปลกออกไปจากคนอื่นให้อีกฝ่ายได้เลิกคิ้ว ก่อนจะปะติดปะต่อความเข้าใจที่คลางแคลงเมื่อครู่ได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นแล้วแทนที่เขาจะพยักหน้ารับคำถามนั้น ชายหนุ่มกลับส่งเสียงในลำคอแล้วตอบกลับให้อีกคนได้รับรู้“ผมกำลังย้ายมาอยู่แถวนี้น่ะครับ กำลังตามหาบ้านอยู่เลย”“อ๋อ...อ่า...”“ชเยศครับ เรียกเชนก็ได้ ว่าแต่บ้านคุณก็อยู่แถวนี้ใช่ไหม?”“ใช่ครับ”มนัสตอบกลับแล้วยกมือขึ้นเอื้อมไปยังเบื้องหน้า ก่อนจะแตะปลายนิ้วลงที่ท่อนแขนนั้น แล้วจึงค่อยไล่ลงกระทั่งถึงมือกว้างที่คล้ายจะกร้านนิดหน่อย ซึ่งมนัสก็เดาเอาว่าคงเพราะทำงานหนักระดับหนึ่งกระมัง ริมฝีปากอิ่มตึงคลี่ยิ้ม เอ่ยถ้อยความด้วยกระแสเสียงร่าเริงเป็นมิตร “ขอบคุณที่ช่วยผม ให้ผมช่วยอะไรคุณกลับได้ไหมครับ?”คล้ายคนตรงหน้าจะเงียบไปเพียงชั่วครู่ ก่อนมือกว้างที่มนัสจับเอาไว้จะกระชับแน่นจังหวะหนึ่งแล้วคลายออก “ไม่เป็นไรครับ ผมคิดว่าผมเจอแล้วล่ะ คุณล่ะ...เดินกลับบ้านได้ใช่ไหม? จะไม่เป็นอันตรายใช่รึเปล่า?”มนัสคลายกลีบปากกว้างมากกว่าเดิมแล้วปล่อยเสียงหัวเราะ ส่ายหน้าไปมาแทนคำปฏิเสธคำถามนั้นแล้วปล่อยมือออกจากมือของผู้ชายที่ชื่อเชน ผงกศีรษะให้เป็นการบอกลาแล้วหันหน้ากลับไปทางเดิมอีกครั้ง ชเยศได้แต่ยืนนิ่งแล้วมองตามคนที่เดินไปกับสุนัขตัวใหญ่ จนแน่ใจดีแล้วว่าคงไม่มีอันตรายอะไรจึงหันกลับไปทางของตัวเองแล้วออกเดินเช่นเดียวกันไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าคนที่เดินไปไกลแล้วหันกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับตะโกนด้วยเสียงที่ดังพอจะให้คนที่ไม่น่าเดินไปไกลนักได้ยิน“คุณชเยศ ยังไงคุณก็เป็นเพื่อนบ้านใหม่ ไว้ว่างๆ มาทานของว่างที่บ้านผมได้นะครับ!”ทว่ามนัสกลับไม่ได้รับการตอบรับใดจากเสียงของเพื่อนบ้านใหม่ หากเขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร ชายหนุ่มเพียงแค่หมุนตัวแล้วออกเดินเท่านั้นเองเช่นเดียวกับอีกคนหนึ่งที่ก้าวเท้าเป็นจังหวะสบายๆ ไปตามถนนเส้นเล็ก กระชับกระเป๋าเดินทางใบโตที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ที่ทำให้หนักหลังไม่น้อย และนั่นแหละ...เขาไม่ได้ยินว่ามนัสส่งเสียงบอกกล่าวเขาว่าอย่างไร เพราะเมื่อครู่ที่บทสนทนาทุกถ้อยประโยคไหลผ่านกลีบปากของเขาเพื่อตอบโต้อีกคน เป็นเพราะเขาอ่านคำจากกลีบปากนั่นล้วนๆ โดยไม่พึ่งเสียงใดใช่...เขาไม่พึ่งเสียงใดให้รบกวนโสตหู หรือจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายก็คือ...ชเยศหูหนวกเช่นเดียวกับอีกคนที่จูงสุนัขขนสีน้ำตาลอ่อนเดินเล่นอย่างอารมณ์ดีในตอนนี้ เขาใช้ความคุ้นเคยและการนำทางของสุนัขตัวใหญ่ประกอบกัน และถึงแม้จะบอกว่าเดินเล่นในหมู่บ้าน ถึงอย่างนั้นมนัสก็รับรู้ได้เพียงแค่สายลมเอื่อยและไอแดดที่แผดกระทบลงมายังผิวของเขาเพราะมนัสใช้หัวใจในการเดินทาง และใช่...หากจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายล่ะก็ เพราะมนัสน่ะ...ตาบอดยังไงล่ะ