บทที่ 8

“อ๊ะ!”

เสียงอุทานดังขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนเสียงแตกละเอียดของภาชนะกระเบื้องจะตามมา ยังผลให้มุ่นที่กำลังไล่เช็กจำนวนเงินที่ได้ในครึ่งแรกของวันหยุดชะงักในทันที ดวงตาเรียวคมเหลียวมองไปทางต้นเสียง ให้ได้เห็นชายหนุ่มร่างสันทัดกำลังเอื้อมมือแตะผนังปูนเปลือย แล้วพาตัวขยับก้าวไปทางด้านขวาอีกเล็กน้อย เมื่อพบกับอ่างล้างแก้ว มือที่คล้ายจะแดงรื้นขึ้นเป็นวงเล็กๆ ก็เอื้อมปัดก๊อกให้น้ำไหลพรู เขารอเวลาอีกนิดหน่อยจึงค่อยลองเอื้อมมือซ้ายที่ยังคงเรียวขาวตามปกติอังน้ำเอาไว้ จากนั้นจึงค่อยยื่นมือขวาที่เกิดรอยแดงให้น้ำอาบชุ่ม ลูบมันซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นแล้วจึงปิดก๊อกลง

แว่วลมหายใจจะทอดถอน ก่อนมนัสจะเดินห่างออกจากเคาน์เตอร์ไปอีกนิดหน่อย แล้วจึงยืนนิ่ง หันตัวกลับมาทางเคาน์เตอร์แล้วเอ่ยขึ้น

“พี่มุ่นครับ ไม้กวาดอยู่ไหน?”

“เดินกลับเข้ามา มันอยู่ข้างๆ อ่างล้างแก้วนั่นล่ะ”

มนัสร้องเบาๆ แล้วหัวเราะในความไม่รู้ของตัวเอง ชายหนุ่มปัดมือไล่ไปตามกำแพงปูน กระทั่งปลายนิ้วสัมผัสกับปลายด้ามไม้กวาดนั่นแหละ เขาจึงกำด้ามมันไว้แล้วกลับมาที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง

เสียงกร็อบดังขึ้นแผ่วเบายามเมื่อรองเท้าผ้าใบเหยียบลงเข้าอย่างจัง มนัสย่อกายลงนั่งยองๆ พลางแตะมือลงกับพื้นอย่างเบามือ เพื่อให้ตนได้รู้ว่าแก้วที่เพิ่งทำตกแตกเมื่อครู่นั้นชิ้นส่วนของมันกระจัดกระจายอยู่ที่ใดบ้าง

“แค่เก็บเศษชิ้นใหญ่ๆ ก็พอแล้วนัท”

ชายหนุ่มเจ้าของร้านได้แต่จับจ้องมนัสด้วยความอาทร จริงอยู่ที่เขาอยากจะเข้าไปช่วยตั้งแต่ที่รับรู้ว่าคงเกิดเหตุบางอย่างขึ้นให้แก้วแตก บางทีมนัสอาจจะกะจังหวะผิดไปให้น้ำร้อนที่ควรจะเติมในแก้วกลับลวกมือตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นมุ่นก็ทำได้แค่มอง จากการที่ทำงานด้วยกันมานานหลายปี นอกจากมนัสจะได้เรียนรู้และจดจำจนเคยชินเกี่ยวกับทุกสิ่งภายในร้านแล้ว ก็เห็นจะเป็นเขาและพนักงานคนอื่นนี่แหละที่ได้เรียนรู้ด้วยเช่นกันว่ามนัสเป็นคนเช่นไร

ต่อให้มองไม่เห็นแม้แต่แสงสว่าง แต่มนัสจะไม่ยอมให้ใครต้องมาเสียเวลาในการช่วยเหลือเขาที่สะเพร่าเอง

มนัสน่ะ...เป็นคนอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ

“แดงมากรึเปล่าไม่รู้นะครับ” ชายหนุ่มเปรยขึ้นว่าอย่างนั้นขณะที่หยิบเศษถ้วยกระเบื้องชิ้นใหญ่ลงถังขยะเล็กที่สอดอยู่ใต้เคาน์เตอร์ ให้มุ่นที่มองจากด้านบนไม่ถนัดนักได้ย่อกายลงนั่งยองๆ ข้างกันแล้วดึงมือข้างขวามาดูให้ชัดเจน

“ก็แดงพอควรนะ แต่ไม่น่าจะพอง ปวดมากรึเปล่าล่ะ?”

ความจริงแล้วเป็นคำถามที่ไม่ควรถามเท่าไรนัก หากมนัสก็ยังส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วตอบกลับด้วยเสียงที่ติดจะกังวลเล็กน้อย “ไม่เท่าไหร่หรอกครับ กลัวแต่ว่าถ้ามันแดงมาก ตอนกลับบ้านไปแล้วคุณแม่จะเห็นเนี่ยสิ”

มุ่นยกยิ้ม เอื้อมมือยีกลุ่มผมของลูกจ้างตนแล้วหยัดกายขึ้นยืน เขาขยับก้าวห่างออกไปเพื่อเว้นพื้นที่ให้มนัสได้เก็บกวาดสะดวกมากขึ้น โดยที่มีพนักงานเสิร์ฟหนุ่มคนหนึ่งซึ่งว่างจากหน้าที่มายืนดูไม่ใกล้ไม่ไกลเช่นเดียวกัน

“บาส ถ้านัทเก็บเศษเรียบร้อยแล้ว นายเข้ามากวาดต่อด้วยนะ”

“ที่จริงผมกวาดเองก็ได้นะครับ”

สองคนที่เหลือมองหน้ากันด้วยระอาระคนเอ็นดู แต่ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่ามนัสไม่ต้องการให้ใครช่วยเหลือ มุ่นก็ยังต้องส่งเสียงเข้มนิดๆ ให้ดูดุขึ้นมาบ้าง

“ถ้านายกวาดเองมีหวังคงเก็บเศษได้ไม่ครบ อยากให้คนในร้านเหยียบโดนเศษแก้วที่นายทำตกรึไง? ถ้าเก็บเสร็จก็ลุกขึ้น อย่ามัวแต่นั่งขวางทาง เอ้า ลุก”

ว่าอย่างนั้นพร้อมกับส่งเท้าไปเตะเบาๆ ที่ก้นของลูกน้อง ส่ายหน้าเนือยๆ แล้วพยักพเยิดให้พนักงานที่ชื่อบาสเข้ามาเก็บกวาดต่อจากนั้น และอาจจะเป็นเพราะมนัสมองไม่เห็นเหมือนใครๆ จึงไม่ได้รู้เลยว่าทั้งนายจ้างและเพื่อนร่วมงานกำลังอมยิ้มให้กับท่าทีของเขา

มนัสน่ะ ถึงปีนี้จะอายุ 26 เข้าไปแล้ว แต่ด้วยกิริยายามเมื่ออยู่กับคนที่วางใจ หรือกระทั่งวงหน้าเรียวมนอ่อนเยาว์ จึงทำให้ดูเด็กและเกิดความเอ็นดูจากคนรอบข้างเลยน่ะสิ

“ขอโทษที่ทำแก้วแตกครับ หักค่าแก้วจากเงินเดือน...”

“มันแน่นอนอยู่แล้ว เอ้า รับออเดอร์ด้วยครับคุณบาริสต้า คาราเมล มัคคิอาโต้ร้อนแก้วนึง”

“ครับ”

มนัสตอบรับอย่างแข็งขัน สูดลมหายใจเข้าลึกและเริ่มลงมือทำตามเมนูที่ได้รับ ช่วงเวลาที่ได้จดจ่อสมาธิอยู่กับวัตถุดิบและเครื่องมือที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มก็คล้ายจะหลุดเข้าไปอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งที่มีเพียงความมุ่งมั่นผสมกลิ่นอายหอมกรุ่นของเครื่องดื่ม ริมฝีปากอิ่มเอิบจะยกเป็นรอยยิ้มที่ให้ดูก็รู้ว่ามีความสุขมากเพียงใด ตราบจนเมื่อเครื่องดื่มหนึ่งแก้วที่เกิดเป็นฝีมือของเขาลุล่วงไปได้ด้วยดี ความอิ่มเอมจะก่อเกิดขึ้นทุกครั้งให้ทุกคนสัมผัสได้

เช่นเดียวกับคนที่เพิ่งก้าวเดินเข้ามาในร้าน ยืนมองบาริสต้าที่มีปัญหาทางดวงตาอย่างเงียบเชียบด้วยความชื่นชม

ชเยศค้อมศีรษะให้เจ้าของร้านที่เงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะปล่อยให้เขายืนมองลูกน้องของตนอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดเอ่ยทักให้เสียบรรยากาศแต่อย่างไร

จากที่มนัสเล่าให้เขาฟังระหว่างทำงานในช่วงวันแรกๆ ที่เริ่มเปิดร้านใหม่ ชเยศคือคนดื้อดึงที่ตามตื๊อและสามารถทำให้มนัสใจอ่อนได้ คราแรกที่ได้ยินก็อดจะแปลกใจไม่น้อย คนที่พิการทางหูคนหนึ่งน่ะหรือปรารถนาจะช่วยคนพิการทางสายตาคนหนึ่ง แม้มุ่นจะไม่ได้แพร่งพรายเรื่องที่เขารู้ถึงความผิดปกติของชเยศให้มนัสได้รับฟัง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคอยสอดส่องดูพฤติกรรมของคนที่มนัสใจอ่อนยอมให้เข้าใกล้ทุกครั้งที่มาหาที่ร้าน

รับรู้ได้ถึงความจริงใจ ความจริงใจที่ไม่มีสิ่งใดแอบแฝง...เป็นเพียงเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่ปรารถนาจะช่วยเหลือกันเท่านั้น

น่าแปลกที่มุ่นรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้...หากนานวันผันไปยังคงไปมาหาสู่มนัสเช่นนี้ ไม่แคล้ว...ดวงตาที่หายไปของมนัสอาจจะกลับมา

ไม่ว่าจะในแง่ไหนก็ตาม

“คาราเมล มัคคิอาโต้ได้แล้วครับ”

“ครับผม”

บาสส่งเสียงขึ้นพลางรับแก้วส่งไอร้อนและหอมจางๆ ไปวางบนถาดไม้ ก่อนจะนำไปเสิร์ฟให้ลูกค้าที่นั่งอ่านหนังสือรออยู่ก่อนแล้ว ในตอนนั้นเองที่คนมาใหม่ถือโอกาสส่งเสียงทักทาย ให้มนัสนิ่งไปเล็กน้อยก่อนพรูลมหายใจ

“เหนื่อยเลยนะครับคุณนัท”

“...คุณอีกแล้ว”

ใช่...มนัสเปิดรับชเยศเข้ามาจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรู้สึกดีที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะเริ่มเข้าใกล้ชีวิตเขามากขึ้นทุกขณะเช่นนี้

มนัสไม่เข้าใจเลยว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีงานมีการทำหรือไรกัน ชเยศมักจะเข้ามาหาเขาที่ร้านไม่เป็นเวลาเท่าไหร่นัก อาจจะช่วงสายๆ ตั้งแต่เริ่มเปิดร้าน หรืออาจจะแวะมาช่วงบ่ายเพื่อจิบกาแฟหลังมื้อรับประทานอาหาร หรือจะเป็นช่วงค่ำที่เขาใกล้เลิกงาน ชเยศก็จะนั่งเตร่อยู่ในนี้แล้วรอกลับบ้านพร้อมกัน

นับวันมนัสยิ่งรู้สึกคล้ายมีตาดวงที่สามและสี่มองความเป็นไปรอบข้างให้เขา มันอาจจะเป็นเรื่องดี แต่เขาก็ไม่ชินมันซะเลย

“ผมมารับคุณกลับบ้าน”

“อีกเดี๋ยวลัคกี้คง...”

“ลัคกี้อยู่ข้างนอกครับ มาพร้อมผม เราจะกลับพร้อมกัน”

มนัสนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่ กระนั้นก็ยังรับรู้ได้ว่าลมหายใจที่พ่นออกไปคงดังมากพอที่จะทำให้ใครอีกคนรับรู้ถึงความเบื่อหน่ายเล็กๆ นี้

ความจริงที่มนัสยังไม่พร้อมจะยอมรับคือการที่ต้องมีใครสักคนคอยช่วยเหลือเขาในเวลาที่จำเป็น ชายหนุ่มอยากจะเดินได้ด้วยตัวเอง เขามั่นใจว่าทุกย่างก้าวตั้งแต่ออกจากประตูที่ทำงานไปจะปลอดภัยด้วยความเคยชินและระมัดระวังของเขา

แต่ชเยศกำลังทำให้ความมั่นใจนั้นหายไป...

“อีกชั่วโมงนึงครับ ถ้าคุณรอได้”

ชายหนุ่มเอ่ยปากว่าเช่นนั้นหมายจะให้ชเยศตัดใจ ทว่าเขากลับเพียงแค่ตอบรับแล้วขยับก้าวถอยห่างจากเคาน์เตอร์ เดินไปนั่งที่มุมหนึ่งของร้านเงียบๆ โดยใช้เพียงสายตาจับจ้องร่างของบาริสต้าที่กลับไปทำงานอย่างขยันขันแข็ง สลับกับอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่จัดวางไว้สำหรับลูกค้าในร้าน

เมื่อเหลียวมองออกไปด้านนอก เจ้าลัคกี้นั่งหลังตรงสงบเสงี่ยมเพื่อรอคอยเวลาที่เจ้านายของมันจะเลิกงานด้วยเช่นกัน ชเยศยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย และมากยิ่งขึ้นในตอนที่มุ่นเดินเข้ามาหาพร้อมแก้วกาแฟร้อนหอมกรุ่น

“บาริสต้าบอกให้เอามาให้ครับ”

ชเยศอ่านปากที่ขยับอย่างตั้งใจ ก่อนจะได้เอื้อมมือดึงจานรองแก้วให้มาตั้งอยู่ตรงหน้า เขายกกาแฟขึ้นจิบเพียงเล็กน้อยในคราวแรก ก่อนจะละเลียดดื่มเอื่อยช้าแต่คงจังหวะและปริมาณอย่างต่อเนื่อง รสกาแฟที่ชงจากฝีมือของมนัสทำให้เขาประหลาดใจได้เสมอ เขาไม่เคยให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าการที่คนเรารักชอบและเคยชินกับอะไรสักอย่าง เมื่อความมืดมิดบดบัง เพราะอะไรที่ทำให้ทำลายความมืดมิดนั้นได้ราวกับมองเห็น

มนัสทำให้เขาครุ่นคิดเช่นนั้นทุกวันตั้งแต่วันนั้นที่ชายหนุ่มชงกาแฟให้ในบ้าน

นอกจากครุ่นคิด...คนที่มีปัญหาทางดวงตาคนนี้ก็ยิ่งทำให้เขาประทับใจ

กาแฟหมดแก้วไปแล้วในตอนที่มนัสพาตัวเข้าไปทางด้านหลังร้าน ชเยศไม่ได้เดินตามเข้าไป เขาเรียนรู้ที่จะนิ่งเฉยในเวลางานของอีกคน การเข้าไปยุ่มย่ามวุ่นวายกับมนัสมากเกินไปจะทำให้เกิดความหงุดหงิดใจ เขาไม่ใคร่จะชอบใบหน้าบูดบึ้งไม่พึงใจของอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก และเขารู้ดีว่าความไม่พอใจนั้น สักวันหนึ่งอาจแปรเปลี่ยนกลายเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นสูงจนไม่มีโอกาสให้เขาได้ก้าวเดินเข้าไปได้อีก

“กลับแล้วนะครับพี่มุ่น”

มนัสเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม ได้รับเป็นฝ่ามือใหญ่ที่วางลงบนศีรษะแล้วผลักเบาๆ เป็นการล่ำลา ก่อนเขาจะค่อยๆ ก้าวเดินอย่างใจเย็นมายังโต๊ะที่ชเยศนั่งอยู่ กวาดมือหาแล้วแตะลงที่แขนของคนที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือให้เงยหน้าขึ้นมอง

ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไรมากไปกว่า “กลับเถอะครับ” แล้วพยักหน้าให้ ซึ่งชเยศก็เก็บหนังสือเข้าชั้นตามเดิมแล้วหยัดกายขึ้นยืน

คนที่ตัวเล็กกว่าเขานิดหน่อยผละมือออกจากแขนที่แตะกันเมื่อครู่ ทว่าวินาทีต่อมาก็กลับต้องเม้มเรียวปากไว้เมื่อมือกว้างที่กรุ่นอุ่นของชเยศคว้าจับมือแล้วรั้งให้ก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน แว่วเสียงทุ้มจะเอ่ยเพียงให้ระมัดระวังด้วยมีลูกค้านั่งอยู่ที่โต๊ะตรงหน้า ให้มนัสขยับเข้าชิดกันมากยิ่งขึ้นแล้วเดินออกมาถึงหน้าประตูร้าน

เสียงของลัคกี้เห่าดังหนึ่งครั้ง ตามด้วยเสียงเล็กที่ส่งจากในลำคอพลางใช้ศีรษะนั้นเข้าไซ้ขาของเจ้าของ มนัสคลายยิ้มอ่อนโยน ย่อกายลงนั่งยองๆ เพื่อให้ลัคกี้ได้เลียใบหน้าเขาด้วยความยินดีที่ได้พบเจอ

“พอแล้วลัคกี้”

มนัสว่าเช่นนั้นพลางหยัดกายขึ้นยืนเต็มความสูง รับสายจูงสุนัขจากชเยศแล้วจึงเริ่มออกเดินต่อจากนั้น ระหว่างทางไม่ได้มีบทสนทนาใดที่ส่งต่อถึงกัน กระนั้นใบหน้าคมคายก็ยังหันมองมนัสอยู่เป็นระยะ และก้มหน้าลงมองสองเท้าที่ก้าวเป็นจังหวะราบเรื่อยไม่ช้าไม่เร็วด้วยระแวงระวัง

“ตรงนั้น”

“ครับ?”

“ก้อนหมากฝรั่งน่ะครับ”

มนัสระบายลมหายใจแล้วคลายยิ้ม บางทีชเยศก็ระวังให้เขามากเกินไปจนไร้เหตุผล ก้อนหมากฝรั่งคือสิ่งที่ชายหนุ่มไม่เคยคิดใส่ใจเลยสักนิด สิ่งที่จะทำให้เขาหวั่นเกรงได้คือหลุมหรือทางต่างระดับของถนนนั่นต่างหากล่ะ

และใช่...โดยที่อีกฝ่ายมัวแต่ระวังกับของที่มนัสคิดว่าไร้สาระ ในตอนที่ลัคกี้เดินเลี้ยวไปอีกทางเพราะเจอสุนัขอีกตัวเดินเตร่อยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มจึงสะดุดกับพื้นต่างระดับจนร่างกายวูบลงราวกับกำลังตกจากที่สูง หากไม่ทันที่เขาจะได้อุทานเลยด้วยซ้ำ ช่วงแขนแข็งแรงของใครบางคนก็เข้าโอบร่างเขาเอาไว้ไม่ให้เข่ากระแทกพื้น มนัสเม้มปากแน่นในขณะที่ทรงตัวยืนเต็มความสูง รับรู้ได้ถึงลมหายใจที่ใกล้กันมากเกินไป มากไป...เกินกว่าที่เขาเคยตั้งกรอบกับอีกคน

“คุณโอเคนะ?”

“ครับ ขอบคุณมาก”

ชเยศคลายยิ้ม แม้จะรู้ก็ตามทีว่ามนัสไม่มีวันมองเห็น แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็ยังเต็มใจที่จะส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอยู่ดี

เพียงแต่มนัสไม่สามารถรับรู้ได้ว่ารอยยิ้มที่เขาส่งให้นั่นน่ะ...อ่อนโยนมากเพียงใดก็เท่านั้นเอง

To be continued