บทที่ 14

ความหนักอึ้งเช่นนั้น...สุดท้ายแล้วก็ถูกปลดพันธนาการให้จางเจือไป

แม้มันจะยังไม่จากไปไหน แต่การผ่อนหนักให้เป็นเบา...ก็ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน

‘ก้าวต่อไปข้างหน้าได้แล้วนะเชน ยิ้มสักที ฉันเบื่อแกจะแย่อยู่แล้ว’

รอยยิ้มที่วาดขึ้นบนใบหน้าคมคายดูสดใส ริมฝีปากหยักที่ขยับเอ่ยไม่จริงจังนัก หากชเยศกลับรู้ดี...เขารู้ดีว่าถ้อยความนั้นหมายผลักไสกันให้ออกห่างไป ขับไล่ไสส่งให้เขาก้าวพ้นจากจุดที่หยุดยืน ที่ที่เขายืนนิ่งมาเป็นระยะเวลากว่าหกปี การยืนอยู่กับที่ที่แสนปวดร้าวทรมาน

ชเยศมองรอยยิ้มของพี่ชาย ที่สุดปลายสายทางของกรอบห้องสี่เหลี่ยมชนัตยังยืนอยู่ตรงนั้น แต่การยืนของเขาคล้ายคนที่พร้อมจะจากไปได้ทุกเมื่อ แต่จะเป็นใครเล่าที่ตัดสินใจเดินถอยห่างจากไปก่อน ชเยศไม่รู้...แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจ ตัดสินใจที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเริ่มต้นก้าวถอยหลังขณะทอดสายตาสบจ้องกับดวงตาคู่เรียวที่แทบไม่ต่างกันเลยสักนิดเดียว

นัยน์ตาคู่นั้นเป็นประกายของความสุขใจ ราวกับยินดีหนักหนาหากเขาจะถอยหลังแล้วจากไปสักที

ก้อนหินก้อนใหญ่กักกั้นลำคอของเขา ชายหนุ่มไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แต่อยู่ๆ การถอยหลังของเขาก็หยุดลง หยุดที่เส้นแบ่งเขตของกรอบห้องที่จะทำให้เขาหลุดออกไป

“....ช้าง.........”

แต่พี่ชายของเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น

ชนัตถอยหลังไปบ้างแล้ว หากรอยยิ้มและดวงตาก็ยังส่งมอบมาให้เขาเฉกเช่นเดิม ระยะห่างระหว่างคนสองคนเริ่มไกลกันออกไป ไกลมากขึ้น ไกล...จนเรือนกายสูงโปร่งของพี่ชายเริ่มเลือนราง

และเลือนหายไป...

มันเป็นจังหวะเดียวกับที่ชเยศก้าวถอยหลังพร้อมหยดน้ำตา หากนั่นกลับไม่ใช่เพราะความเศร้าโศกเสียใจอีกต่อไปแล้ว เขารู้สึกคล้ายตัวเบาโหวง ทุกอย่างเบาบางจนแทบกลายเป็นอากาศ

เบา...ราวกับถูกโอบอุ้มไว้ด้วยความสบายใจ

นัยน์ตาคู่คมเปิดขึ้น ฉายแววระริกไหวยามเมื่อจับจ้องเพดาน

รับรู้ได้ถึงหยาดน้ำที่ทาบคลุมดวงตาของเขาจนพร่าไหว เลือนรางพร่ามัวไร้โฟกัสใด ก่อนที่มันจะหยดลงจากปลายหางตา ลู่ร่วงกระทบใบหมอนอย่างเงียบงัน

ชเยศถอนหายใจลากยาว ยกมือขึ้นปัดไล่หยาดน้ำใสที่ทำให้ดูเหมือนไม่เป็นเขาเลยสักนิดให้แห้งเหือดไป เป็นจังหวะเดียวกับที่มีใครบางคนเปิดประตูเดินเข้ามา ชายหนุ่มขยับกายลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือหยิบหูฟังที่ถอดวางไว้ข้างฟูกนอนก่อนจะสวมด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย กดปุ่มเปิดใช้งานในทันทีที่ริมฝีปากอิ่มเอิบของคนที่ก้าวเข้ามาในเขตความเป็นส่วนตัวของเขาขยับเอ่ย

ถอนหายใจอย่างโล่งอก...เกือบไปแล้วไหมล่ะ เกือบจะกดปุ่มไม่ทันแล้ว

“ยังไม่ตื่นหรือครับ?”

“ตื่นแล้วครับ เมื่อกี้นี้เอง”

มนัสคลายยิ้มเจือจาง เป็นรูปหน้าที่บางครั้งชเยศก็อยากจะยื่นมือออกไปแตะสัมผัสบ้าง หากสิ่งที่ชายหนุ่มทำกลับมีเพียงการนั่งนิ่งเพื่อให้อีกฝ่ายเอ่ยจุดประสงค์ที่ชัดเจน แต่ดูเหมือนมนัสกำลังอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิดบางสิ่งซะมากกว่า ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงใช้เวลาที่มีด้วยการหันไปพับผ้าห่มและจัดหมอน ก่อนจะได้สะดุดลงเมื่อมือเรียวขาวเอื้อมมาข้างหน้าแล้วแตะแขนของเขา

“ยังฝันร้ายอยู่หรือครับ”

คราวนี้จึงเป็นชเยศที่คลายยิ้มบ้าง ชายหนุ่มกลับมานั่งที่ตรงหน้ามนัสตามเดิม ถือวิสาสะจับมือที่แตะแขนเขาเมื่อครู่มากุมไว้ นวดคลึงเบาๆ ราวกับปรารถนาให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย “น่าจะฝันดีมากกว่าครับ”

“แต่เสียงของคุณ...”

ฟังดูอู้อี้นิดหน่อย แถมยังติดสั่นนิดๆ ที่ปลายเสียง แล้วเขาก็ยังได้ยินเสียงสูดลมหายใจเบาๆ ด้วย

“เพราะฝันดีก็เลยเป็นแบบนี้ไง” ชเยศเอ่ยขึ้นแทบจะในทันทีที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่เชื่อถือกัน เขาปล่อยมือมนัสให้เป็นอิสระแล้วถามออกไปบ้าง “ว่าแต่วันนี้มาหาแต่เช้า มีอะไรรึเปล่าครับคุณนัท”

“ผมแค่จะบอกคุณว่าไม่ต้องไปส่งผมที่ทำงาน”

“แต่...”

“แต่ช่วยไปรับผมตอนเย็นด้วยนะครับ ไม่ได้พาลัคกี้เดินเล่นตอนเย็นนานแล้ว ถ้ามีคุณเดินด้วย...ก็น่าจะดี”

ชเยศตอบรับด้วยความยินดี ก่อนจะได้ทำตาละห้อยเมื่ออีกคนหยัดกายลุกขึ้นยืนในทันทีที่เอ่ยตามจุดประสงค์จบ ดูเหมือนมนัสจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นักว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อจากนี้ เขาก็แค่เข้ามาบอกตามที่ตั้งใจไว้ เสร็จแล้วก็ต้องถึงเวลาไป ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าความอาลัยอาวรณ์สายหนึ่งปรากฏขึ้นบนกระแสสายตาของอีกคน

ความรู้สึกที่ว่า...เสียดายกับเวลาอันน้อยนิดที่จะได้ต่อประโยคกัน

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่รู้สึกว่าอยากมองหน้าคนๆ นี้ทุกวินาที

แล้วก็ความรู้สึกแบบนี้น่ะ...ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“ให้ผมไปส่งคุณไม่ดีกว่าหรือครับ?”

ได้รับเป็นเรียวคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากัน ติดจะไม่พึงใจเล็กน้อยที่ชเยศดื้อดึงในการตัดสินใจของเขา ให้ชายหนุ่มได้หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วขอโทษขอโพยอย่างยอมแพ้ ก่อนจะปล่อยให้มนัสเดินออกจากบ้านไปในที่สุด

แต่ถึงอย่างนั้นทุกการก้าวเดินของมนัสกับลัคกี้ก็ยังอยู่ในสายตาของเขาจนกระทั่งเลี้ยวออกจากทางหน้าซอยไป ชเยศจึงค่อยหันตัวเดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง ทิ้งกายลงนั่งบนโซฟาขณะที่รับฟังลูกพี่ลูกน้องคนสวยร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีขณะทำอาหารเช้า เสียงที่ไม่ได้ไพเราะเพราะพริ้ง แต่เมื่อได้ยินแล้ว...ก็ให้ชายหนุ่มมีความสุขยังไงชอบกล

“มากินข้าว”

“ครับๆ”

ชเยศตอบรับอย่างว่าง่าย เขาอยู่กับชญาภาแล้วเหมือนตัวเองลดอายุลงไปสักสิบปี การที่ชญาภาใส่ใจดูแลเขาในทุกๆ ด้าน เริ่มแรกอาจจะเป็นเพราะสงสารเห็นใจในปัญหาทางการได้ยินของเขา แต่เมื่อนานวันผันไปชเยศก็ได้รู้...ว่าพี่สาวน่ะใส่ใจเขาจากใจจริง ไอ้เรื่องสงสารเห็นใจอะไรนั่นคงเป็นเรื่องจิ๊บจ้อยไปเลยล่ะ

“ได้คุยกับที่บ้านบ้างรึยังเชน”

“ก็คุยบ้าง แต่ไม่มากนักหรอก”

ชญาภาพยักหน้ารับรู้ บางทีเธออาจจะเคยชินกับการที่ต้องค่อยๆ พูดจา ต้องคอยส่งสัญญาณเวลาที่มีเรื่องจะสนทนา พอไม่ต้องมาทำอะไรอย่างนั้นเหมือนอย่างเคย แม้จะทำให้สบายใจมากขึ้น แต่บางทีมันก็เก้ๆ กังๆ ไปบ้างเหมือนกัน

หากนั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอจะมานั่งคิดในตอนนี้ สิ่งที่เธอได้รับจากทางญาติที่อยู่กรุงเทพคือการใช้ชีวิตต่อไปของชเยศนั่นต่างหาก และนั่นก็เป็นสิ่งที่เธอไม่ใคร่อยากจะถามหรือติดต่ออะไรให้ เพราะเพียงแค่ขยับปากพูดออกไปก็ยังยากเต็มทีเลย

แต่ดูเหมือนชเยศจะสัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วนใจนั้น นัยน์ตาคู่คมช้อนขึ้นมองพี่สาวแล้วจับจ้อง เลิกคิ้วเล็กน้อยให้ได้รู้ว่ากำลังรอคอย

“จากนี้ไป...จะเอายังไง?”

ดวงตาคู่สวยสบมองน้องชายนิ่ง หากในประกายสายตานั้นกลับเต็มไปด้วยแววระริกไหวที่ดูคล้ายจะไม่มั่นใจในสิ่งที่เอ่ยเสียมากกว่า ซึ่งชเยศเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนลมหายใจแล้วส่ายหน้า ก้มหน้าก้มตากินข้าวราวกับไม่มีคำถามเมื่อครู่ให้ได้ยิน

“ชเยศ นายจะกลับไปอยู่กรุงเทพรึเปล่า?”

“พี่ไม่อยากให้ผมอยู่ด้วยแล้วหรือ?”

เขาสวนกลับชญาภาในทันที พยายามอย่างยิ่งที่จะคุมโทนเสียงตัวเองไม่ให้แข็งกร้าวหรือไม่พอใจมากเกินไป สิ่งที่ทำให้ชเยศไม่พอใจไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนถาม แต่เขารู้ดีว่าคำถามแบบนี้เกิดขึ้นเพราะคนที่บ้านของเขาที่สั่งมาต่างหาก ชญาภาทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก จนสุดท้ายก็พ่นลมหายใจแล้วก้มหน้าลงกินข้าวส่วนของตัวเองบ้าง

เงียบงันกันไปนานหลายนาที ชญาภาก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งแล้วเอ่ยต่อให้จบ

“ที่นายมาอยู่ที่นี่ก็เพราะหนีความจริงอยู่ไม่ใช่รึไง ตอนนี้ยอมรับมันได้แล้ว...นายจะไม่กลับไปอยู่กับครอบครัวนายอย่างนั้นน่ะหรือ?”

“พี่ก็เป็นคนหนึ่งในครอบครัวผม”

“เชน...”

เสียงนั้นอ่อนอกอ่อนใจเต็มที ให้ชเยศที่ซดต้มจืดให้ชุ่มคอได้ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม มันไม่ใช่ยิ้มของความอารมณ์ดี ไม่ใช่ยิ้มที่ดูอ่อนโยนใจดี แต่ก็ไม่ได้เป็นยิ้มที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดร้ายแรงอะไร ก็แค่ยิ้มไปอย่างนั้นเอง

“ขอผมอยู่ที่นี่เถอะครับ กลับไปผมก็คงเห็นแต่ภาพของพี่ช้าง ถึงคุณนัทจะทำให้ผมปล่อยวางมันได้...แต่พี่คิดจริงๆ น่ะหรือพี่ฟ้า ว่าผมจะทนอยู่ในที่ที่เมื่อก่อนก็เห็นพี่ชายเต็มไปหมดได้”

“หมายความว่านายจะหนีต่อไปเรื่อยๆ น่ะนะ?”

“ไม่ใช่หรอกน่า” ชเยศปฏิเสธพลางส่ายหน้า วางช้อนยาวลงแล้วมองหน้าพี่สาวนิ่ง “ผมก็แค่...อยู่ตรงนี้ก็มีความสุขดี”

ใบหน้าที่จริงจังติดแววเคร่งขรึมทำให้ชญาภาถอนหายใจ เธอยอมยกธงขาวเพื่อไม่ต่อบทสนทนาใดๆ อีก ได้แต่เก็บจานชามแล้วลุกจากโต๊ะไปยังอ่างล้างเพื่อทำความสะอาดมัน ปล่อยให้น้องชายนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหาร ทอดมองแผ่นหลังเล็กของเธอที่ไม่มีทีท่าจะหันกลับมามองกันอีก

ดังนั้นแล้วชญาภาจึงไม่ได้เห็นเลยว่าแววตาของชเยศเป็นเช่นไร

มันคล้ายจะแฝงไว้ด้วยความหมองเศร้า แต่ก็คล้ายจะเป็นความยินดีสายหนึ่งที่เข้ามาโอบล้อมกอดรัดหัวใจ

“ช้างจะอยู่ในที่ที่มีความสุขรึเปล่านะ...”

ชายหนุ่มพึมพำ หากก็ยังทำให้คนที่กำลังสะบัดมือไล่น้ำได้ยินเสียง ชญาภาเดินกลับมานั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วมองมายังน้องชาย คลี่ยิ้มบางที่ทำให้ชเยศต้องยิ้มตอบกลับ ก่อนเอ่ยออกไป...ให้น้องชายของเธอได้ปิดเปลือกตาลง “ถ้านายปล่อยวางได้แล้วไม่โทษตัวเอง ฉันว่าช้างมันคงดีใจ”

ลมหายใจกรุ่นร้อนระบายยาว แล้วจึงเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งเพื่อเผยให้เห็นแววระริกไหววูบหนึ่ง ก่อนที่สุดแล้วริมฝีปากหยักบางจะค่อยๆ คลี่ยิ้ม เขาส่ายหน้าไปมาเชื่องช้า หลบพ้นกระแสสายตาของพี่สาวที่จ้องมองมาด้วยการเสมองไปทางอื่น

“มันยาก...พี่รู้ใช่ไหมพี่ฟ้า มันยากมากนะที่ผมจะไม่โทษตัวเอง”

“เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น อย่างน้อยตอนนี้ก็เบาลงไปมากแล้วใช่รึเปล่าล่ะ?”

นั่นสินะ...

สิ่งที่ยากยิ่งกว่าจะยอมรับความเป็นจริง ก็คือการยอมรับและเปิดใจให้ใครบางคนก้าวเข้ามา ปลดล็อกตุ้มเหล็กที่ติดแน่นในใจแล้วสละมันทิ้งไป ตลอดหกปีที่ผ่านมาชายหนุ่มไม่คิดว่าจะมีใครทำได้ แต่แล้วในวันนี้ใครบางคนกลับทำให้เขารู้...ว่าหากจะเข้ามาแล้วทำลายสิ่งที่รัดแน่นให้เจือไป มันช่างเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน

หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาคนนั้นที่ทำให้มันง่าย...

รอยยิ้มอย่างนั้น...ที่ทำให้ชเยศรู้สึกสดใสขึ้นตามไปด้วยทุกครั้งที่ได้เห็น

เรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นอย่างนั้น...ที่ทำให้ชเยศรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้มอง

เพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นกระมังที่ทำให้เขาเปิดใจ

“เชน”

“หืม?”

ชญาภาเคาะนิ้วลงกับโต๊ะเป็นจังหวะราบเรื่อย เธอแลบลิ้นเลียกลีบปากตัวเองขณะครุ่นคิด กิริยาอย่างนั้นทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นและปิดปากเงียบเพื่อรอคอย ใช้นัยน์ตาคมกริบจับจ้องจนเธอรู้สึกกระดากที่จะเอ่ยออกมาเสียอย่างนั้น แต่ชญาภาก็ได้แต่กะพริบตาสองหนแล้วเม้มปากแน่น ผ่อนคลายตัวเองด้วยการระบายลมหายใจ แล้วถามคำที่ทำให้น้องชายนิ่งงัน

“เคยอยากรู้บ้างรึเปล่าว่าทำไมนัทถึง...ตาบอด”

คราวนี้จึงเป็นชเยศบ้างที่เคาะนิ้วลงกับโต๊ะ ทั้งๆ ที่ยังสบสายตากับชญาภาอยู่อย่างนั้น แต่เขากลับกำลังครุ่นคิดถึงคำถาม ผ่านไปเกือบครึ่งนาทีกว่าจะส่ายหน้า “จำเป็นต้องรู้ด้วยหรือ?”

“...มันอาจจะจำเป็นก็ได้ ใครจะรู้ล่ะ”

ชญาภาตัดบทสนทนาด้วยการบอกว่าจะเริ่มต้นทำงานแล้ว เธอหยัดกายขึ้นยืนแล้วเดินไปประจำที่โต๊ะทำงานโดยไม่คิดต่อบทกับน้องชายอีก เช่นเดียวกับชเยศที่ถอนหายใจยาวแล้วปลดหูฟังออกจากใบหู ให้มีเพียงความเงียบงันครอบคลุมโอบล้อมเขาไว้เท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังครุ่นคิด...ว่าตัวเขาเอง มีค่าพอและมีสิทธิ์ที่จะรู้อย่างนั้นหรือ...ว่าอดีตมนัสเป็นอย่างไร

อยู่ๆ หัวใจก็กระตุกไหว พร้อมกับคำตอบที่ว่า ‘ไม่’ อย่างชัดเจน

To be continued