บทที่ 3

ปิญชาน์มักจะเริ่มต้นในเช้าวันใหม่ด้วยการรดน้ำต้นไม้ที่เรียงรายอยู่บนระแนงไม้เหนือระเบียง

ชายหนุ่มเพิ่งย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก ตอนแรกก็เกือบจะตัดใจย้ายไปหาที่อื่นอยู่แล้วเพราะขนาดของห้องที่เขาไม่ค่อยพึงใจเท่าไรนัก ปิญชาน์อยากได้ห้องที่กว้างกว่านี้ แม้ห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลางจะไม่ได้เล็กมากเกินไป แต่เขาก็ต้องการขนาดห้องใหญ่ๆ เผื่อไว้เวลาต้องทำงานโปรเจกต์ใหญ่ ห้องของเขาจะได้ไม่เล็กแคบมากเกินไปเมื่อกองอุปกรณ์ประกอบฉากที่สรรสร้างรกเต็มห้องไปหมด

แต่ก็นั่นแหละนะ มีข้อเสียก็ต้องมีข้อดี

เขาติดใจห้องขนาดกลางนี้เพราะทางอพาร์ทเม้นท์ติดตั้งระแนงไม้เป็นแนวยาวเหนือระเบียง ทันทีที่ได้เห็น ความคิดของเขาก็หวนนึกไปถึงความปรารถนาอย่างหนึ่งที่อยากจะทำเมื่อย้ายมาอยู่ที่ใหม่ นั่นคือการปลูกต้นไม้หรือดอกไม้ให้ได้เพิ่มสีสันให้ชีวิตบ้าง แค่ระแนงไม้ยาวเพียงอย่างเดียว ทำให้ปิญชาน์ตัดสินใจเช่าห้องอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ตึกสูงใหญ่ตึกนี้

และก็นั่นแหละ มีทั้งข้อเสีย มีทั้งข้อดี และมีทั้งข้อที่ชายหนุ่มไม่สามารถตัดสินใจได้ว่ามันดีหรือไม่

ก็อย่างเช่นเพื่อนบ้านเรือนเคียง...

“โอ๊ย! ไม่ๆๆๆ ไม่น้า~ เผลอหลับได้ไงวะ ซวย ซวยโคตรๆๆ”

โวยวายแต่เช้า...

ดวงตาคู่เรียวเหลียวมองเข้าไปด้านในห้อง อดจะฉงนใจไม่ได้เมื่อพบว่าเสียงโวยวายจากเพื่อนบ้านดังขึ้นในตอนที่เข็มสั้นของนาฬิกาชี้ที่เลขหกเท่านั้น ปิญชาน์ส่ายหน้าอย่างระอิดระอาใจ ยกบัวรดน้ำขึ้นแล้วเริ่มต้นเทน้ำให้ตกกระทบลงบนดอกไม้ดอกเล็กสีสันสดใส กลีบปากหยักบางแย้มยิ้มอ่อนโยน สูดลมหายใจเข้าลึกรับกลิ่นอากาศยามเช้าที่แสนจะสดชื่น ทุกสิ่งนำพาให้เขารู้สึกสงบ และมันอาจจะสงบมากกว่านี้ถ้าหากว่า...

“คุณ เล่นกีตาร์ให้ผมฟังหน่อยสิ!”

หา? เล่นกีตาร์ตอนหกโมงกว่าๆ เนี่ยนะ? “เข้าไปทำงานให้เสร็จก่อนดีไหม?”

ถึงจะต่อต้านนิดๆ ที่ถูกคนเอาแต่ใจบีบบังคับกันกลายๆ ถึงอย่างนั้นปิญชาน์ก็ยังตอบกลับไปด้วยกระแสเสียงทุ้มนุ่มอย่างใจเย็น ชายหนุ่มวางบัวรดน้ำลงกับคานระเบียง หันหน้าไปมองคนข้างห้องที่ยืนอิงแอบแนบชิดกับผนังอิฐก็ให้ได้ยิ้มกว้างอย่างช่วยไม่ได้

ปิญชาน์นึกออกว่าเจ้าของดวงหน้าได้รูปกำลังแสดงสีหน้ายังไง...

“ไม่มีอารมณ์ทำงานแล้ว! นี่คุณรู้ไหม งานมันกำหนดส่งเที่ยงคืนที่ผ่านมา แล้วไง? แล้วผมก็เผลอหลับคาคอมไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกทีคือหกโมงเช้า คุณ! ผม-โคตร-เซ็ง!”

ไม่รู้เมื่อไหร่ที่คนข้างห้องโวยวายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวได้ขนาดนี้...ปิญชาน์ยังจำได้อยู่เลยว่าครั้งเมื่อได้คุยกันช่วงแรกๆ นี่พอจะนับคำได้ แม้ความเอาแต่ใจจะใส่มาเต็มในทุกครั้งที่ได้คุยก็เถอะ แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้ใส่ใจเท่าที่ควรนัก ด้วยเพราะกิริยาของคนข้างห้องที่เขามองว่า...เออ ก็น่ารักดี

“คุณไม่ตั้งนาฬิกาปลุกเอง”

“นี่คุณจะโทษผมรึไง?” อ้าว...ก็มันเป็นอย่างนั้นไม่ใช่รึ? “ไม่รู้ล่ะ คุณเล่นกีตาร์ให้ผมฟังทีสิ ผมอยากคลายเครียดนี่ เนี่ย เสียงกีตาร์ของคุณบำบัดผมได้ดีเลยนะ”

ดูคุณเขาใช้คำเข้า... “ผมรดน้ำต้นไม้อยู่ครับ”

“เดี๋ยวผมจะรดให้ก็ได้ น้า~ ผมเครียดจะตายอยู่แล้ว คุณช่วยไปเอากีตาร์มาเล่นให้ผมฟังทีเถ๊อะ~”

แล้วทำไมปิญชาน์ต้องยอม...เรื่องนี้เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

ชายหนุ่มพรูลมหายใจอย่างไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป แต่สุดท้ายเขาก็เพียงแค่ส่งเสียงรับในลำคอแล้ววางบัวรดน้ำลงบนพื้นก่อนเข้าไปในห้อง แว่วเสียงขอบคุณจากคนข้างห้องที่ดูเหมือนจะดีใจเหลือเกิน แตกต่างจากเขาลิบลับที่ไม่รู้ตัวเลยว่าทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร

เอาเถอะ...อย่างน้อยงานก็อาจจะดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาล่ะมั้ง

ปิญชาน์มองไปยังข้างเตียงที่มีกีตาร์โปร่งตั้งอยู่ ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปหา คว้ากีตาร์คู่ใจมาไว้กับมือแล้วเดินออกมานอกระเบียงอีกหน และทันได้เห็นสายน้ำจากสายยางเส้นเล็กของคนข้างห้องที่พวยพุ่งตรงฉิวไปยังกระถางใบสุดท้าย ก่อนกลุ่มน้ำจะค่อยๆ ลดจังหวะลงมารินรดที่กระถางใบถัดมา ถัดมา ถัดมา จนกระทั่งถึงใบสุดท้ายที่อยู่ติดกับผนังอิฐที่คั่นกลางสองห้องพอดิบพอดี

ชายหนุ่มก้มลงมองพื้นที่เปียกปอนก่อนหย่อนกายลงนั่งยังเก้าอี้ผ้า คิดหาจังหวะเพลงที่น่าจะทำให้คนข้างห้องสบายอกสบายใจขึ้นได้ สักประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นให้คนข้างห้องรุกเร้า ก่อนที่มือกร้านจะแตะลงยังสายกีตาร์และเริ่มดีดให้เป็นทำนองในที่สุด

ดวงหน้าคมคายฉายความอบอุ่นเมื่อเหลียวสายตามองไปยังข้างห้องและได้พบว่าอีกคนกำลังยืนเท้าคางฟังเสียงกีตาร์ของเขาอยู่ริมระเบียง จากนั้นคนที่เริ่มจะเคลิ้มคล้อยไปกับดนตรีสบายๆ ก็ขยับเท้าถอยหลังจนหย่อนกายลงนั่งแหมะกับกรอบประตู ได้ยินเสียงทุ้มร้องคลอตามจังหวะเพลงเบาๆ ก็ให้ได้ยกยิ้ม

ก่อนทุกสิ่งจะเงียบลงเมื่อร่างสูงสันทัดของคนข้างห้องเอนกายลงนอนไปกับกรอบประตูนั้น

อีกแล้ว...

แล้วพอเป็นอย่างนี้ก็โทษเขาตลอดว่าเพราะเสียงกีตาร์ของเขาที่ทำให้ตัวเองเผลอหลับจนเสียการเสียงาน

“ก็เป็นแบบนี้ซะทุกที...”

ปิญชาน์บ่นคล้ายระอาใจ หากดวงหน้าที่ส่ายไปมาช้าๆ ก็ยังแต้มไปด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนเขาจะหัวเราะออกมาแล้วหลับตาลง ปล่อยให้ลมเย็นยามเช้าพัดผ่านร่างกายที่อ่อนล้า ปล่อยให้ห้วงนิทราชักพาให้เขาดิ่งลึก และจมตัวเองอยู่ในความฝันเฉกเช่นเดียวกับคนข้างห้องในที่สุด

*

“อื่อ...”

หลายวันมานี้ลมตีโบกเย็นสบายจนปิญชาน์รักที่จะหลับใหลอีกหนเมื่อรดน้ำต้นไม้เรียบร้อยแล้ว และเขาจะตื่นขึ้นมาอีกหนในช่วงสายของวันเพื่อเริ่มต้นชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง แต่ระยะหลายวันมานี้เช่นเดียวกันที่ปิญชาน์พยายามไม่ออกไปข้างนอกหรือส่งเสียงดังให้เพื่อนบ้านได้ยิน เพราะเขาเชื่อได้เต็มร้อยเลยว่าคนเอาแต่ใจอย่างคนข้างห้องต้องออกมาที่ระเบียงแล้ววอนขอให้เขาเล่นกีตาร์ให้ฟัง

คงจะเครียดกับงานมากจริงๆ แต่เพราะเครียดมากงานก็เลยไม่เดินเสียทีไม่ใช่รึ? ครั้นจะให้เขาดีดกีตาร์ให้ฟังเรื่อยๆ เขาก็ทำได้อยู่หรอก แต่ก็เป็นห่วงคนข้างห้องชอบกล ห่วงว่าที่สุดแล้วงานจะไม่เสร็จสักทีเพราะผล็อยหลับไปซะก่อน

ชายหนุ่มพรูลมหายใจพลางหยัดกายขึ้นนั่ง อ้าปากหาวหวอดใหญ่แล้วค่อยเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์เครื่องสวยที่วางอยู่ข้างหมอน ปลดล็อกหน้าจอแล้วเช็กกำหนดงานของวันนี้ก่อนจะทิ้งมันลงบนผืนเตียงดังเดิม

พลันริมฝีปากหยักบางก็คลายยิ้ม เป็นยิ้มที่เขาเองก็ไม่มั่นใจนักว่าเกิดขึ้นด้วยความยินดีหรืออย่างไรกันแน่

เขาเพียงแต่รู้สึกคล้ายหัวใจจะกระชุ่มกระชวยขึ้นมาเล็กน้อย เมื่ออีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าที่จะต้องออกไปดูงานนั้นจะต้องพบกับใครบางคน น่าแปลกที่ความยินดีนั้นสร้างให้เขาง่วงงุนอีกหน อาจจะเป็นเพราะสายลมอ่อนๆ ของช่วงสายในวันอากาศดีๆ แบบนี้ด้วยก็เป็นได้ เพราะอย่างนั้นแล้วปิญชาน์เลยคิดว่าอาจจะนอนอีกสักงีบ...

ทว่าในขณะที่ทิ้งตัวลงนอนได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

“หืม?”

เสียงทุ้มครางในลำคอด้วยความแปลกใจ เมื่อกระติกน้ำขนาดเล็กสีฟ้าสดใสโดนมือขาวของคนข้างห้องหิ้วมาวางไว้บนคานระเบียงมุมสุดของห้องเขา และชายหนุ่มก็ยังเห็นอีกด้วยว่าคนเอาแต่ใจพยายามจะโผล่หน้ามาทางนี้เสียให้ได้

“โอ๊ย! ยุ่งยาก!”

อืม...พอทำไม่ได้เองแล้วก็โวยวายเอง เสี้ยวหน้าที่โผล่พ้นผนังอิฐมาได้นิดเดียวนั้นเหยเกด้วยคิ้วที่ย่นเข้าหากัน เพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะหลุบกลับหายไปยังห้องของตัวเองอีกหน เป็นอันให้ปิญชาน์ได้รับรู้ว่าคนข้างห้องยอมแพ้ไปแล้ว

ถึงอย่างนั้นมือเรียวก็ยังลอดผ่านมาพร้อมกระดาษแผ่นเล็กที่สอดเข้าใต้กระติกน้ำ ให้เจ้าของดวงหน้าคมคายได้ฉงนใจไม่น้อย เขาหยัดกายขึ้นยืน อิงกายพิงกรอบประตูแล้วจับตามองเงาเลือนรางของคนข้างห้อง จนเมื่อได้ยินเสียงประตูระเบียงที่ปิดลงแล้วนั่นแหละเขาจึงเดินออกไป

น้ำ? น้ำอะไร?

ปิญชาน์ย่นคิ้วแล้วรีบก้าวเข้ามาในห้อง ปิดประตูจนสนิทดีแล้วจึงเดินไปยังโซนทำครัวเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับประตู วางกระติกน้ำที่เขาลองเปิดดูเมื่อครู่แล้วพบว่าเป็นน้ำสีเขียวอื๋อไม่ได้ดูน่าดื่มเลยสักนิด ก่อนชายหนุ่มจะตัดสินใจยกกระดาษที่คีบไว้กับเรียวนิ้วขึ้นมาอ่าน ลายมือหวัดๆ ดูไม่ตั้งใจเขียนนักปรากฏขึ้นให้เขาได้ยกยิ้ม

...แปลกใจล่ะซี่?~~ มันเป็นน้ำสมุนไพรที่คุณแม่เพิ่งส่งมาให้ผม สีของมันอาจจะไม่น่าดื่มเท่าไหร่ แต่รับรองได้เลยว่ารสชาติของมันน่ะ “เยี่ยมยุทธ!!”...

“ขั้นนั้นเลยเชียว?”

ชายหนุ่มว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ ยกกระติกน้ำสีฟ้าขึ้นแล้วสูดกลิ่นน้ำสีเขียวก็ให้ได้ย่นคิ้ว เอาตามจริงหากเป็นคนอื่นการันตีถึงรสชาติเขาก็พอจะเชื่อมั่นอยู่หรอก แต่กับคนข้างห้องที่เคยเปรยกับเขาว่าไม่ชอบน้ำผักเนี่ย...เขาชักไม่มั่นใจเท่าไหร่แล้วว่าน้ำสมุนไพรที่ว่าจะรสชาติดีจริงหรือไม่

แต่ก็ช่างเถอะ...ได้ของตอบแทนพร้อมลายมือหวัดๆ แค่นี้ก็ดีมากพอแล้ว

“...ให้ตายสิ!”

ปิญชาน์สังเกตเห็นร่องรอยของตัวอักษรที่คล้ายจะโดนยางลบลบไป แต่มันก็ยังพอจับเป็นประโยคเลือนรางได้ว่า‘ซะเมื่อไหร่ ขมชะมัดยาด!’

เชื่อเขาเลย!

ชายหนุ่มเผยอกลีบปากแล้วปล่อยเสียงคราง ทั้งไม่รู้ว่าควรจะจิ๊ปากดีรึจะบ่นให้คนข้างห้องดี แต่สุดท้ายก็เพียงแค่ปล่อยลมหายใจ คลายรอยยิ้มที่ทั้งระอิดระอาใจแต่ก็ปนเปด้วยความเอ็นดูเสียมากกว่าหลายส่วน ปิดฝากระติกน้ำสีฟ้าเปิดตู้เย็นเพื่อยัดมันเข้าไปไว้ ปิญชาน์มองกระดาษที่ถือติดไว้ในมืออีกหน ก้าวเดินไปยังโต๊ะทำงานแสนรกแล้วควานหาดินสอดำแล้วฝนลงไปบนพื้นที่ที่มีร่องรอยการลบ

แล้วความระอาใจก็เหือดหายไปจนกลายเป็นความเอ็นดูเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะประโยคอ้อนวอนและสัญลักษณ์ที่ลงท้ายนั่น...

...ช่วยดื่มหน่อยน้าคุณคนใจดี ; __ ; ...

แล้วคุณคนใจดีจะทำอะไรได้เล่านอกจากเก็บกระดาษเข้าลิ้นชัก ส่งเสียงรับคำอ้อนวอนที่แสนจะน่าเห็นใจ(?)นั้นพลางทิ้งกายลงเตียง

...เอาเป็นว่าเขาจะดื่มน้ำสมุนไพรนั่นหากเขาตื่นขึ้นมาแล้วไม่หายง่วงก็แล้วกันTo be continued