ตกเป็นเหยื่อของการ Bully แน่นอนว่าได้รับความเจ็บปวด แล้วคนที่มอบความเจ็บ...เขาได้อะไร???

ไม่ได้สวยใช้แอพล้วนๆโพสต์ลอยๆนะไม่ได้เอ่ยชื่อ”


เห้ยแกรรรร....อ้วนขึ้นป้ะเนี้ย”


ข้าวนอกนา...กาคาบพริก


Wanna beจร้า

สวัสดีค่ะสาวๆชาวSistaCafeทกคน ช่วงนี้ไรต์ขอหยิบยกประเด็นฮิตฮอตทีเป็นปัญหาในสังคมมาแล้วอย่างยาวนั้นและในช่วงหลังๆมานี้ สังคมก็เริ่มออกมารณรงค์และให้ความสนใจเกี่ยวกับ การBullyหรือBullyingที่เกิดขึ้นในทุกสังคม ตั้งแต่เด็กยันโตไม่แบ่งช่วงวัย หากแต่ความเข้มข้นของการล้อเลียนนั้น แตกต่างกันออกมากเชื่อว่าไม่น้อยคนต้องเคยได้ยินประโยคเบสิคพื้นฐานข้างต้นทั้งที่เป็นประสบการณ์จากตัวเองจากคนอื่นหรือผ่านทางโซเชียลมีเดียมาบ้าง และเห็นกันจนชินตาและกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ไม่ธรรมดาไปซะแล้ว

รูปภาพ:https://www.img.live/images/2019/12/03/photo-1556159916-26bf2ce06da9.jpg

Bullying(บูลลี่ยิง) ในปัจจุบันกำลังเป็นประเด็นฮิตฮอตที่ใครๆต่างก็พูดถึงและให้ความสนใจมากขึ้นหลังจากที่เมื่อเดือนที่แล้วมีข่าวสะเทือนวงการที่โด่งดังมาไกลถึงบ้านเราดารานักร้องชื่อดังชาวเกาหลีใต้ผู้สวยและมากความสามารถอย่าง ‘ซอลลี่’ เธอตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง ซอลลี่เธอตกเป็นเหยื่อCyberbullyingหรือ 'การระรานทางไซเบอร์' มาตลอดระยะเวลาหลายปีเรื่อยมาโดยเฉพาะใน Instagram ที่มีผู้ติดตามเธอกว่า 5 ล้านคน ‘ซอลลี่’ ถือเป็นบทเรียนหนึ่งของคนทั่วโลกที่ทำให้เราต้องมานั่งตระหนักและคำนึงถึงพฤติกรรมนี้ว่าการบูลลี่ในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ง่ายและเร็วเพียงใด และไม่จำเป็นว่าจะต้องเผชิญหน้ากับบุคคลที่มีข้อพิพาทหรือมีความเห็นที่แตกต่างและขัดแย้งต่อกันแบบซึ่งๆหน้า แต่ในปัจจุบันการบูลลี่สามารถทำได้เลยในทันทีเราสามารถพูดหรือวิพากษ์วิจารณ์บุคคลอื่นได้ในทันทีที่เราอยากจะทำ...ยิ่งบุคคลเรามีคอนแท็กของเขาในFB,IG,Lineetc.ด้วยแล้ว...ก็ยิ่งสามารถส่งความเจ็บปวด...ความอับอาย...ความรู้สึกไร้ค่าต่างๆไปให้เขาได้ทันทีที่เราต้องการ เพียงแสดงความรู้สึกนึคิดของเราขึ้นมาบางอย่างและก็กด‘Post’‘Twit’หรือ‘Comment’ลงไปเท่านั้น...ความเจ็บ...ความอับอาย ก็จะทำหน้าที่ของมันในทันทีทั้งที่เกิดจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจก็สามารถสร้างปมหรือบาดแผลทางใจได้ในทันที

การสร้างบาดแผลทางใจนั้นง่ายนิดเดียว

แต่...ทว่า

กลับไม่มีใครพูดถึงการรักษาหรือเยียวยาความรู้สึกตรงนั้นต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ(Victim)

และบางคนไม่ได้ตระหนักหรือรู้สึกเลยว่ามันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนและไม่ควร


ปมหรือบาดแผลทางใจไม่ได้เกิดขึ้นจากเจ้าของชีวิตหรือร่างกายนั้นๆ แต่เกิดจากสิ่งที่ผู้อื่นชีวิตอื่นติดตราและนิยามบางอย่างลงไปในชีวิตใครบางคน ซึ่งคำพูดเหล่านั้นอาจเกิดขึ้นจากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้...การที่ทักท้วงใครบางคนและให้ฉายากับเขา เช่นอ้วนดำไม่สวยขี้เหร่ wanna beและอื่นๆ ผู้พูดอาจพูดออกไปจากสิ่งที่เห็นที่ตัวเองรู้สึก อาจเป็นสิ่งที่เป็นความจริงและไม่จริงหรือพูดเพื่อสร้างความสนุกในกลุ่มเท่านั้น...แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ตกเป็นเหยื่อนั้นกลับเลวร้ายไม่ใช่น้อย

บางคนเก็บสะสมจนเป็นโรคซึมเศร้าและมีจุดจบไม่ต่างจากซอลลี่เลยถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าผิดหวัง...การกระทำเช่นนี้ไม่ควรได้รับการเพิกเฉยหรือสนับสนุนจากสังคม แต่ควรจะกลับกลายเป็นว่า เราทุกคนควรต้องมานั่งตระหนักถึงผลกระทบเริ่มให้ความรู้ถึงที่เกิดขึ้นกับเหยื่อผู้ถูกกระทำ...และพวกเราต้องมานั่งทำความเข้าใจกับผู้ที่บูลลี่ผู้อื่นหรือแม้กระทั่งตัวเองว่า...พฤติกรรมนี้เกิดจากอะไร

บูลลี่ไปทำไม ทำแล้วอะไร??

รูปภาพ:https://www.img.live/images/2019/12/03/photo-1536960242068-96914a09214c.jpg

ตกเป็นเหยื่อของการบูลลี่แน่นอนว่าได้รับความเจ็บปวด


มีนักวิจัยและนักจิตวิทยาหลายคนนิยามความหมายของคำว่า...Bully...ไว้มากมาย...ริกบี(Rigby. 2001:11)ให้ความหมายว่า...การแสดงออกของพฤติกรรมที่มีความต้องการทำร้ายบุคคลอื่นให้อยู่ภายใต้ความกดดันและมีแนวโน้มของการกระทำพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก

โรเบิร์ต จูเนียร์...(Robert Jr. 2006:13)...ให้ความหมายว่า พฤติกรรมข่มเหงรังแกมีความใกล้เคียงกับพฤติกรรมการยั่วยุ การเยาะเย้ย...การเสียดสี...การกลั่นแกล้ง...การคุกคามแต่การแสดงพฤติกรรมต้องกระทำซ้ำๆอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน


มาสเตอร์(Master.2002:2)ให้ความหมายว่าเป็นการแสดงหรือการกระทำที่ได้คิดไตร่ตรองอันส่งผลต่อผู้อื่นให้ได้รับความเจ็บปวดและมีการเกิดพฤติกรรมดังกล่าวซ้ำๆโดยบุคคลที่ข่มเหงจะใช้พลังที่เหนือกว่า

สรุปได้ว่าBullyหมายถึงการกระทำที่ได้คิดไตร่ตรองหรืออาจจะเกิดจากความเลินเล่อได้ไปทำร้าย...รังแก...ข่มเหง...กลั่นแกล้ง...คุกคาม...กระแหนะกระแหนเพื่อเป็นการเสียดสีเยาะเย้ยให้ผู้ถูกกระทำเกิดความเจ็บปวดทางร่างกาย...จิตใจ...โดยอาจผ่านทางคำพูดหรือการกระทำหรือข้อความต่างๆและการแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ต้องกระทำซ้ำๆอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน และผู้กระทำพฤติกรรมนั้นมีแนวโน้มว่าจะกลับมาทำพฤติกรรมนั้นซ้ำอีกและมากขึ้น

รูปภาพ:https://www.img.live/images/2019/12/03/photo-1482356432770-3a99f07aba35.jpg

หากผู้กระทำพฤติกรรมนั้นทำโดยไม่ได้ตั้งใจ...แน่นอนว่าอาจมีการขอโทษขอโพยกันไปแล้วทุกอย่างก็จบลง...ผิด!! ผิดค่ะ...

การบูลลี่แม้จะเกิดจากการตั้งใจหรือไม่ตั้งใจและจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตามล้วนแล้วแต่สร้างบาดแผลทางใจได้เช่นกัน

...ในสังคมไทยเราอาจมองว่าการบูลลี่เป็นเรื่องขำๆปกติ...ธรรมดาที่ใครๆก็ทำกัน...เฮฮาปาจิงโกะอยู่แล้ว....เราคิดและเข้าใจกันมานานจนกลายเป็นวัฒนธรรมความเคยชินไปว่าเราสามารถแสดงความคิดเห็นของตัวเองที่มีต่อคนอื่นได้อย่างอิสระเสรี....บางคนอ้างความสนิท...ความเป็นเพื่อน...ความเป็นพี่น้อง...ความเป็นผู้ใหญ่หรืออาวุโสกว่าแล้วก็ใช้สิทธิตรงนี้ที่ไม่มีใครมอบให้ทำการบูลลี่คนอื่นลงไปอย่างไม่รู้ตัวด้วยความเคยชิน...หรือบางคนเจาะจงกระทำอย่างตั้งใจเพื่อให้อีกฝ่ายเจ็บปวด....ฉะนั้นแล้ว

ก่อนที่เราจะแสดงความคิดเห็นหรือทัศนะต่อตัวบุคคลอื่นก็ควรตระหนักถึงผลกระทบที่จะตามมาด้วยว่าจะเป็นการสร้างบาดแผลทางใจให้ใครหรือเปล่า

บาดแผลทางใจที่เกิดจากคำพูดล้อเลียนแน่นอนว่าจะทำให้ความรู้สึกอับอาย ไร้ค่า และอาจพัฒนาไปเป็นโรคซึมเศร้า

บัฟฟาโลจัง

เรื่องแค่นี้เองทำไม่ได้หรอ


ถ้าขาวจะสวยกว่านี้นะ...อันนี้ดูตลาดล่างและบ้านมากกกก

บางคนใช้ความหวังดีเป็นเครื่องมือการบูลลี่คนอื่นและไตร่ตรองมันมาแล้วอย่างรอบคอบ...เลือกใช้คำพูดที่จะทิ่มแทง...เพื่อกระแหนะกระแหนทำให้เกิดความเจ็บปวดแก่อีกฝ่าย...ถามว่าคนพวกนี้เขาได้อะไรจากการกระทำนี้...หากเป็นคนที่ทำด้วยอารมณ์โกรธล้วนๆก็คงจะเพื่อความสะใจส่วนตัว...เพื่อแก้แค้น...แต่หากไม่ใช่คนที่บาดหมางต่อกันละทำไปทำไม??

คุณเป็นใคร...หากเราไม่ได้รู้จักกัน...ฉันไม่รู้จักคุณ...แต่คำพูดเหล่านั้นกลับทำฉันสั่นคลอน!!!


เหตุผลอะไรที่ทำให้คนบางคนต้องBullyคนอื่น? เพื่อสะใจที่ต้องการยกตัวเองเป็นใหญ่หรือจริงๆแล้วมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้น...พฤติกรรมการถูกบูลลี่ไม่ได้แตกต่างมากนักจากการถูกนินทาหรือวิพากษ์วิจารณ์ที่ฉุดรั้ง...แต่กลับถูกจัดอยู่ในประเภทที่สามารถสร้างความเจ็บปวดทางใจได้เช่นเดียวกัน...เพียงแต่ว่า“บูลลี่ทำซึ่งหน้า...นินทาพูดลับหลัง”เหล่านี้ต่างจัดเป็นกลไกการปกป้องตนเองทางจิตอย่างหนึ่ง...จะช่วยปกป้องจิตใจให้หลุดพ้นจากความรู้สึกมีปมด้อยและความรู้สึกบางอย่าง

คำวิจารณ์ คำตัดสิน การนินทา ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือหนึ่งของการ Bully ทั้งสิ้น

รูปภาพ:https://www.img.live/images/2019/12/03/photo-1516321497487-e288fb19713f.jpg

จริงๆแล้วคนที่ชอบ Bully คนอื่น เขาเป็นอะไร?

มีปมด้อยรู้สึกด้อยค่าBullyingหรือว่ากล่าวผู้อื่นในทางที่ไม่ดีเป็นการชดเชยความรู้สึกแย่ๆที่มีต่อตัวเองทำให้รู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าคนที่กำลังกล่าวถึง..เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเองบางครั้งคนที่ถูกแกล้งไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนที่แปลกแยกหรือมีจุดเด่นที่เป็นปมด้อยแต่กลับเป็นคนที่ดี...คนที่เพียบพร้อม...เรียนดี...หน้าตาดี...เหตุผลที่เป็นแบบก็เพราะว่าพวกเขาต้องการเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง...พยายามหาข้อเสียของคนๆนั้น...เพื่อที่จะทำให้ตัวเองเหนือกว่าคนอื่น...กลบความรู้สึกในใจที่รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าเค้า...ยกตัวอย่างเช่น..ไปล้อคนอื่นว่า “อ้วนๆ” แต่จริงๆตัวเองก็ไม่ได้ผอมขนาดนั้นแต่ล้อเพราะ“เค้าอ้วนกว่าเรา”เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกว่า“เราผอมกว่านะ

พฤติกรรมก้าวร้าว...มีการวิจัยมาว่าผู้ที่Bullyส่วนใหญ่66%เป็นผู้ชายและมักจะมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวหรือกลั่นแกล้งผู้อื่นเพียงเพราะตัวเองนั้นมีปัญหาแล้วพยายามที่จะทำร้ายความรู้สึกของผู้อื่นเพื่อกลบเรื่องราวที่ตัวเองเผชิญมา...จึงทำให้เกิดการแสดงออกพฤติกรรมที่ก้าวร้าว

แนวโน้มของคนที่Bullyคนอื่นในอนาคตยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคบุคลิกภาพผิดปกติชนิดต่อต้านสังคม(Antisocial Personality Disorder)ซึ่งเป็นโรคที่เกิดมาจากความมีอารมณ์ร้ายพฤติกรรมที่ก้าวร้าวตั้งแต่เด็กชอบความรุนแรง...ส่งผลให้เป็นคนที่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นใจร้อน...ขี้โมโห...ไม่มีการยับยั้งชั่งใจ...เห็นเรื่องความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ...ก่อปัญหาอาชญากรรมได้...การที่จะป้องกันโรคนี้..คือ...การปลูกฝังเรื่องที่ดี...สร้างความมั่นคงทางอารมณ์...การมองโลกในแง่ดี...การเห็นใจผู้อื่น เป็นต้น

ความไม่รู้ ไม่ตั้งใจ...จริงๆแล้วคนเหล่านั้นอาจจะไม่รู้และไม่ได้มีเจตนาเช่นที่พูดออกไป...หลายๆคนอาจสงสัยกันว่าแล้วมันเป็นไปได้หรอ?...แน่นอนว่าเป็นไปได้...เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นหรือพฤติกรรมกลั่นแกล้งนั้นสร้างบาดแผลและความเสียใจให้แก่คนอื่นได้ไม่ได้น้อยไปกว่าความเจ็บปวดทางกายเลย....การไม่ได้รับการปลูกฝังที่ดีจากครอบครัว....เราอาจคิดกันมาว่ามารยาทเป็นสิ่งที่ต้องรู้และเข้าใจกันในทุกครอบครัว...ผิดถนัดค่ะ...มารยาททางสังคม..กฎเกณฑ์และแนวปฎิบัติของแต่ละบ้านแต่ละครอบครัวมีความเข้มข้นและจืดจางแตกต่างกันไปในแต่ละเรื่องไม่ใช่ว่าทุกๆครอบครัวจะได้รับการสั่งสอนแลปลูกฝังมาเหมือนกันทั้งหมดและกรอบของสังคมก็ไม่ได้มีนักตรวจสอบมารยาททางสังคมอย่างเป็นทางการอีกด้วย...ความเข้มข้นจึงแตกต่างกัน

เพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนในกลุ่ม...การBullyจะจำเป็นขึ้นมาทันที หากเราอยู่ในกลุ่มเพื่อน...ยิ่งถ้าเพื่อนมีเรื่องบาดหมางกับใครบางคนแล้วการทำตัวเป็นกองหนุน...ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างยิ่งเพื่อเป็นไปในแนวเดียวกันกับกลุ่ม...เพื่อให้ได้รับการยอมรับและรักษาสัมพันธภาพกับคนอื่นในกลุ่มอีกด้วย“เราคบคนแบบไหนเราก็มักจะมีพฤติกรรมอะไรบางอย่างใกล้เคียงกับคนแบบนั้น”เพื่อที่ทำให้เพื่อนยอมรับเพื่อที่จะทำให้เรายังอยู่ในสังคมและกลุ่มได้

ปลดปล่อยความโกรธหรือความทุกข์ที่มีอยู่ภายในจิตใจ...บางคนไม่เคยรู้เท่าทันอารมณ์ภายใน...ไม่มีทักษะในการจัดการกับอารมณ์ที่เป็นลบ...จึงมักเลือกวิธีการจัดการด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดนั่นคือการพูดระบายออกมา...หากจะระบายเรื่องความทุกข์ใจของตัวเองก็กลัวคนอื่นจะตำหนิ...ยิ่งจะทำให้รู้สึกด้อยค่ามากขึ้น...กระนั้นการพูดระบายในเรื่องของคนอื่นจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

รูปภาพ:https://www.img.live/images/2019/12/03/photo-1520857014576-2c4f4c972b57.jpg

และถ้าหากจะถามว่า คนที่เขาบูลลี่คนอื่นอย่างตั้งใจ เขาได้อะไรจากการกระทำนี้...นอกจากความสะใจ

มันอาจไม่ใช่เพียงแค่ความสะใจเพียงเท่านั้นพฤติกรรมการBullyคนอื่นไม่ว่าจะกระทำทางร่างกาย…จิตใจ…คำพูด...ต่างเกิดจากความเจ็บปวดทางใจของผู้กระทำทั้งสิ้น…ที่เป็นเหมือนวัฏจักรที่ส่งต่อไปยังผู้ถูกกระทำ…วนเวียนอยู่เช่นนั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด…คนที่จะสามารถต่อว่าให้ผู้อื่นได้…หากไม่ใช่เพราะความไม่รู้นั้นก็สามารถตีความไปได้ว่า…มีปัญหากับจิตใจที่ยังมีความเจ็บปวดอยู่ลึกๆจึงพูดบางสิ่งที่เป็นการทำร้ายผู้อื่นออกมาเพื่อกลืนกลบบาดแผลของตัวเอง…เพิ่มปมให้ผู้อื่น

ซึ่งการกระทำนี้จะให้ผู้กระทำนั้นเกิดความรู้สึกเหนือกว่า…เจ๋งกว่าดีกว่าและเกิดความภาคภูมิใจตามมา…ไปชดเชยความเจ็บปวดและบาดแผลของตนเองโดยที่เขานั้นไม่ได้รู้ตัวเลยว่า…แท้จริงแล้วสิ่งที่ทำลงไป…สิ่งที่พูดออกไปแล้วทำให้คนอื่นเจ็บ…ไม่ได้สะท้อนสิ่งที่ผู้ถูกกระทำเป็นแต่สะท้อนความคิดของผู้กระทำเองที่มีต่อผู้อื่น…มันคือการตัดสิน...การวัด...และมาตรวัดของคุณคืออะไร…เราจะบอกว่าใครสูงกว่าหรือเตี้ยกว่าเราได้นั้น…คงไม่มีใครเอามาตรฐานของเพื่อนหรือพี่สาวของตัวเองมาวัดอย่างแน่นอน...จะต้องวัดและเทียบจากตัวเองโดยมีพื้นฐานจากตัวเองเป็นหลัก...จึงจะได้คำตอบว่าเขาเตี้ยหรือสูงกว่าเรา บางสิ่งที่เราพูดออกไปนั้นไม่ได้สะท้อนตัวผู้ฟังแต่กำลังสะท้อนทัศนะคติของผู้พูดเองซะมากกว่า...แท้จริงแล้ว..การวัดคนอื่นนั้นก็เพื่อหาคุณค่าบางอย่างของตนเอง...ว่ามีมากน้อยแค่ไหน...ไม่ใช่การวัดผู้อื่นหรือหาคุณค่าในตัวของผู้อื่น

รูปภาพ:https://www.img.live/images/2019/12/03/photo-1517166985222-323a01efa25f.jpg

อย่างไรก็ตามการBullyที่กระทำด้วยความตั้งใจ....อาจเกิดจากการที่ว่าลึกๆแล้วผู้กระทำขาดความมั่นใจและรู้สึกด้อยค่าในตนเองเป็นหลัก...จึงแสดงออกถึงพฤติกรรมนั้นเพื่อเป็นการกลบเกลื่อน...ปลดปล่อยตนเอง....ให้เกิดความรู้สึกสบายใจโดยที่เขานั้นไม่ได้รู้ตัวว่า...คำพูดหรือการกระทำเหล่านั้นที่เกิดจากการBullyคนอื่นไม่ใช่แต่เพียงผู้ที่ถูกกระทำหรือเหยื่อ(Victim)จะต้องสำรวจตนเองหรือมานั่งเห็นอกเห็นใจตนเองที่ถูกทำร้าย...ถูกสร้างบาดแผล...แต่ก็ควรมานั่งนึกตรึกตรองและคำนึงถึงสาเหตุของพฤติกรรมของผู้ที่กระทำด้วยว่าว่า...แท้จริงแล้ว...การกระทำที่สร้างความเจ็บปวด...อับอาย...ไร้ค่า...ให้กับผู้อื่นมีพื้นฐานมาจากอะไรและเมื่อเราเข้าใจแล้ว....บาดแผลที่เคยเจ็บปวดตรงนั้นอาจบรรเทาลงและจางหายไปด้วยยาที่ชื่อว่า...ความเข้าอกเข้าใจ...เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ควรมั่นสำรวจคำพูดของตัวเองก่อนจะพูดกับใครในเชิงหยอกล้อเล่นกับใครแน่นอนว่าการพูดเล่นเรื่องปกติในสังคมใครๆก็ทำกัน...แต่มันจะไม่ปกติและกลายเป็นคำตัดสินหรือคำวิจารณ์และสร้างความเจ็บปวดใหผู้อื่นได้ในทันทีหากเราพลั้งคำพูดออกไปโดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน

ผู้ที่อ่อนแออาจตกเป็นเหยื่อของการบูลลี่ได้

แต่คนที่บูลลี่ผู้อื่นนั้นไม่ใช่คนที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง

พบกับบทความที่น่าสนใจอีกมากมายที่นี่เลยค่ะPinky_Bonbonsและหากเพื่อนๆคนไหนที่ชื่นชอบบทความแนวนี้กดฟอลโลไว้ได้เลยค่ะ...เพื่อเป็นการที่จะไม่พลาดบทความดีดีแบบนี้อีกที่จะมีมาให้อ่านกันแบบเรื่อยๆ...ก่อนไปไรต์กดหัวใจหรือแชร์บทความเพื่อเป็นกำลังใจให้ไรต์ด้วยเน้อออหรือจะส่งต่อบทความดีดี...นานาไปด้วยสาระความรู้เช่นนี้ไปให้เพื่อนๆหรือคนที่คุณรักก็ดีน้า...ขอบคุณที่ชื่นชอบนะคะ...หากผิดพลาดประการใดไรต์ขอน้อมรับทุกคำติชมและจะพัฒนาฝีมือในการเขียนต่อไปจ้า แล้วพบกันใหม่ในบทความถัดไปจ้า...Byeeee :D

Stop Bullying