รูปภาพ:

ถึงแม้เพื่อนๆ จะเห็นเราลองเล่นผลิตภัณฑ์หลายตัวอย่างต่อเนื่องแบบ Non-Stop แต่จริงๆ แล้วเราก็จะเป็น Main Skincare ที่เราจะกลับมาใช้อยู่เสมอๆ ในแต่ละช่วง ซึ่งสาเหตุนึงที่เราไม่ค่อยได้ทำ Skincare Routine ออกมาก็เพราะว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มักจะมีความวนเวียน หน้าตาเดิมๆ บางตัวก็จะอยู่ในชีวิตเราประมาณ 3-5 เดือนก็มี

ด้วยความที่เรามานั่งมอง Skincare ที่ใช้ในช่วงนี้จึงคิดได้ว่า...เรามีการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ไปเยอะทีเดียว เลยขอหยิบผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ตอนนี้มาทำเป็น Mini-Review ให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ซึ่งต้องบอกก่อนว่า เรามีสภาพผิวผสม-มัน สิวเสี้ยนขึ้นง่ายบริเวณจมูก รูขุมขนกว้างบริเวณจมูก รวมถึงมีรอยแดงจากสิว และมีกระบ้างประปราย เอาเป็นว่าใครที่มีสภาพผิวใกล้ๆ กับเราก็ลองเก็บข้อมูล แล้วเอาไปปรับใช้กันดูเน้อ

Makeup Remover & Cleanser

รูปภาพ:

มาเริ่มกันที่ผลิตภัณฑ์กลุ่มทำความสะอาดกันก่อนเลย โดยเราจะทำความสะอาด 3 Step เฉพาะในวันที่เราแต่งหน้า หรือทากันแดดที่ติดทนหน่อย โดยจะเริ่มด้วย :

รูปภาพ:

BIODERMA Hydrabio H2O + DECORTE Facial Pure Cotton :ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เราผ่านวิกฤตช่วงที่สิวขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งถึงแม้จะเริ่มดีขึ้นแต่ก็ยังคงมีอาการแห้ง ลอก จากผลิตภัณฑ์รักษาสิวบางตัวให้เห็นอยู่ เราจึงหยิบ Cleansing Water ของ BIODERMA สูตร Hydrabio H2O ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้น มาใช้ร่วมกับสำลีจากแบรนด์ DECORTE ที่เป็นสำลีที่ดีที่สุดตั้งแต่เราได้ลองใช้มาเลยหละ ซึ่งพอจับคู่กันเราว่าเค้าช่วยลดการระคายเคืองจากพื้นผิวของสำลีได้ดี อีกทั้งยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวไม่แห้งตึงได้อีกต่างหาก

รูปภาพ:

THREE Balancing Cleansing Oil :เป็นออยล์ที่เราใช้มาต่อเนื่องนี่น่าจะเข้าขวดที่ 5 ได้แล้ว สิ่งที่เราชอบที่สุดคงเป็นกลิ่นของ Essential Oil ที่หอมและให้ความรู้สึกผ่อนคลายแบบสุดๆ แถมยังดึงคราบเมคอัพที่เราใช้ออกหมดไม่เหลือเลยหละ ไม่ว่าจะเป็นกันแดด เมคอัพเบส รองพื้น รวมถึงแป้งฝุ่น ที่สำคัญคือล้างออกง่าย ไม่เหนอะหน้าเหมือนออยล์บางแบรนด์

รูปภาพ:

LA ROCHE-POSAY EFFACLAR PURIFYING FOAMING GEL :เจลล้างหน้าที่ค่อนข้างอ่อนโยนอีกหนึ่งตัวที่เราแนะนำว่ามนุษย์ผิวผสม-มัน และเป็นสิวควรมีติดบ้านไว้ ด้วยความที่เค้าช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้ดี หลังล้างไม่แห้งตึง และไม่ดึงความชุ่มชื้นบนผิวออกไปจนหมด แนะนำให้ไปลองเด้อ!

Exfoliating

รูปภาพ:

Zelens PHA+ Bio Peel Resurfacing Facial Pads :

ต้องบอกว่า Peeling Pads เป็นไอเทมที่คนอื่นๆ ใช้กันมานานแล้ว แต่เราเพิ่งก้าวเข้ามาลองเล่นได้ไม่นาน แต่ความพิเศษของ Pads ตัวนี้ คือ การ Combine กันของ AHA+BHA+PHA ในอัตราส่วนที่ Dr.Lens คิดมาแล้วว่าไม่ระคายเคืองผิว ซึ่งจากที่เราลองใช้ในช่วงที่ผ่านมาน้องคนนี้ก็สามารถผลัดเซลล์ผิวได้ดี และไม่ก่อให้เกิดการะคายเคืองผิว ผิวโดยรวมดูเรียบเนียน และสม่ำเสมอมากขึ้น

Pre-Serum

รูปภาพ:

อันที่จริงเซรั่มทั้ง 2 ขวดนี้ไม่เชิงว่าเป็น Pre-Serum หรอกครับ แต่ด้วยส่วนตัวแล้วเรามองว่าทั้ง 2 ช่วยเรื่อง Skin Barrier (เพิ่มปราการผิว) ได้ดี รวมถึงมีเนื้อสัมผัสที่เบาสบาย เราจึงใช้เป็น Pre-Serum ไปโดยปริยาย โดยทั้ง 2 ไอเทมต่างมีข้อดีที่ไม่เหมือนกันดังนี้ :

รูปภาพ:

dermArtlogy Ageless Barrier Rejuvenating Serum :เซรั่มขวดนี้เรายกให้เป็น The Best Skin Barrier Serum ของเราในตอนนี้เลย เพราะด้วยเทคโนโลยี MLE (Multi-lamella emulsion) ซึ่งทางผู้ผลิตเคลมว่าสามารถเพิ่มการนำส่งสารเข้าสู่ผิว อีกทั้งสามารถลดและป้องกันผลเสียของสเตียรอยด์ในการทำให้เกิดอาการผิวบางได้ นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมอีกหลายตัวที่ช่วยลดการอักเสบ การระคายเคืองของผิว ช่วยเพิ่มปราการผิวได้เป็นอย่างดี เราสังเกตว่าช่วยที่เราใช้น้องคนนี้อาการอักเสบ ระคายเคืองดูเหมือนจะไม่ลุกลามไปมากขึ้น ในทางกลับกันเหมือนจะดูเบาลงอีกด้วยหละฮะ

รูปภาพ:

Lancome Adcanced Genifique Serum(สูตรใหม่): ตั้งแต่เปิดตัวมาเราใช้น้องคนนี้อย่างต่อเนื่อง หมดแล้วก็ซื้อซ้ำมาโดยตลอด ซึ่งเอาจริงๆ ในวันที่เราได้ลองบนหน้าครั้งแรกเราไม่ได้สนใจเรื่องส่วนผสมอะไรเลยนะ แต่ที่พีคที่สุดคือเราดันลองทาแค่ครึ่งหน้าเพื่อจะถ่ายว่าก่อน-หลังทา ผลิตภัณฑ์ซึมเข้าผิวได้ดีไหม แต่ปรากฏว่าหลังผ่านไปราวๆ 5 นาทีใบหน้าด้านที่ทากลับดูอิ่มฟูขึ้น ดูกระชับขึ้นแบบรู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด จนเรายังแอบประหลายใจมาจนถึงทุกวันนี้ แต่หากจะพูดถึงในแง่ของผลลัพธ์ระยะยาวที่เราได้ลองใช้มา 3 ขวด(115ml. 1 ขวด และ 30ml. 2 ขวด) แล้วหละก็เซรั่มขวดนี้ช่วยให้ผิวเราสมดุล และแข็งแรงขึ้นได้ดีมากๆ ทำให้สภาพอากาศที่ย่ำแย่ในช่วงนี้ส่งผลกระทบกับผิวหน้าเราน้อยมากเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้ใช้

Booster

รูปภาพ:

เชื่อว่าหลายคนกำลังทำหน้าสงสัยว่า Booster ต่างกับ Serum ยังไง ส่วนตัวแล้วเรามองว่า Booster นั้นมีความเข้มข้นที่มากกว่า และสามารถผสมรวมกับผลิตภัณฑ์บางตัว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นอย่างเจ้าบูสเตอร์ 2 ตัวนี้

รูปภาพ:

SKIN ACTIVES ANTIOXIDANT SERUM :เซรั่มขวดนี้ถึงแม้กลิ่นจะไม่ได้น่ารื่นรมเท่าไหร่นัก แต่กลับมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังมาก ด้วยการใส่ Antioxidant Enzyme อย่าง SOD + Catalyst + Redox Enzymes GRX ที่ออกฤทธ์ลดผลเสียจากอนุมูลที่รอดมาทันที แถมยังมี Antioxidant ตัวปกติที่ช่วยกรองและช่วยระยะยาวอย่าง Glutathione + Magnesium Ascorbyl Phosphate + Camellia Sinensis(Green Tea) Epigallocatechin Gallate + Astaxanthin + Lycopene เรียกว่าเป็นการรวมตัวกันของ Antioxidant ที่สุดจัดปลัดบอกจริงๆ แหละฮะ เราจึงให้น้องคนนี้อยู่ในตำแหน่งบูสเตอร์ ที่ช่วยบูสต์ประสิทธิภาพของ Antioxidant รวมถึงช่วยลดผลกระทบจากรังสี UV ได้ดีมากอีกตัวนึง

รูปภาพ:

Paula's Choice Peptide Booster :บูสเตอร์ขวดนี้เป็นหนึ่งในบูสเตอร์ที่มี Peptide ถึง 8 ชนิดเรียกว่ามากเป็นลำดับต้นๆ ในท้องตลาดเลยก็ว่าได้ ซึ่งทางผู้ผลิตสารเค้าเคลมว่า Peptide นั้นช่วยในเรื่อง Anti-Aging ได้ดี แต่ต้องยอมรับว่าส่วนตัวแล้วเรายังไม่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยมากเท่าไหร่นัก เราจึงยังตอบไม่ได้ว่าผลลัพธ์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร แต่หากมองว่าส่วนผสมและงานวิจัยก็ต้องยอมรับว่าที่คือ Anti-Aging Booster ที่ทรงประสิทธิภาพตัวนึงเลยล่ะฮะ

Serum

รูปภาพ:

และแล้วก็มาถึงกลุ่ม Serum กันบ้าง อันที่จริงเรามีเซรั่มที่เปิดใช้อยู่หลายตัว แต่ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เรามีสิวอักเสบ และอาการระคายเคือง ดังนั้น Serum หลักที่เราใช้ในช่วงนี้จะเป็น....

รูปภาพ:

BIOTHERM LIFE PLANKTON ELIXIR

เป็นหลักซึ่งช่วยในเรื่องการลดการอักเสบ ระคายเคืองได้ดี ด้วยสารที่เป็นเอกสิทธิเฉพาะอย่าง LIFE PLANKTON ที่ใส่มาถึง 5% นอกจากนี้ยังมี Vitamin C,Hyaluronic Acid, Adenosine และ Faex Extract ที่ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นได้ดี อีกทั้งยังช่วยเรื่องความกระจ่างใสได้อีก เรียกว่าเป็น All in one Serum ที่เราชอบที่สุดตัวนึงเลยหละ

รูปภาพ:

แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเรามีโอกาสได้ไปร่วมงานกับทาง Sulwhasoo และได้รับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่อย่าง

Sulwhasoo Bloomstay Vitalizing Serum

มาลองใช้ ซึ่งจากที่เราได้พลัง Presentation และได้ดูส่วนผสมแล้วนับว่าน่าสนใจที่เดียว โดยเซรั่มขวดนี้จะเล่นในเรื่อง Anti-Pollution, Glycation และ Antioxidant เป็นหลัก แต่ที่เราชอบมากที่สุดคงไม่พ้นเรื่องกลิ่นที่หอมละมุนละไมสุดๆ และยังมีเนื้อสัมผัสที่ดีจนสามารถใช้แทน Moisturizer ไปได้เลยทีเดียว

Ampoules

รูปภาพ:

นี่คือหมวดหมู่ไอเทมที่ค่อนข้างใหม่สำหรับเราพอสมควร เรียกว่าเราเป็นน้องใหม่แห่งวงการ Ampoules เลยก็ว่าได้ ซึ่งแน่นอนว่าการที่เราเลือก 2 ไอเทมนี้มามันต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน เพราะหากเพื่อนๆ มองดีๆ จะเห็นว่าตั้งแต่เริ่มมาเรายังไม่ได้แตะ Vitamin C อย่างเป็นจริงเป็นจังเลยนั่นก็เพราะเราปรับมาใช้ในรูปแบบ ampoules แบบนี้แทน ซึ่งทั้ง 2 ตัวก็มีข้อดีที่แตกต่างกัน :

mesoestetic proteoglycans ampoules :นอกจากแอมพลูขวดนี้จะอัดแน่นไปด้วย Vitamin C ในฟอร์ม L-Ascorbic Acid แล้วยังมี Proteoglycans ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิวได้ดี อีกทั้งยังใส่ Soy extract ที่ช่วยลดและยับยั้งผลกระทบที่เกิดจากรังสียูวีได้อีกด้วย ซึ่งเรามักจะใช้เค้าในช่วงกลางวัน เพื่อช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีที่ทะลุทะลวงยิ่งกว่าสว่านไฟฟ้าMARTIDERM Skin Complex +(Black Diamond) :Ampoules ขวดนี้เราจะใช้ในช่วงกลางคืนด้วยเหตุว่าเค้ามีส่วนผสมอย่าง Vitamin C & A ที่ค่อนข้างเข้มข้น ซึ่งง่ายต่อการทำให้ผิวระคายเคืองเมื่อเจอแสงแดด ด้วยความที่แอปพลูขวดนี้ก็ถือว่าเข้มข้นมาก ถ้าบำรุงมาไม่ดีหรือผิวไม่แข็งแรงแล้วหละก็อาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่ายพอสมควร เราจึงใช้เฉพาะในตอนกลางคืนเพื่อที่จะได้บำรุงแบบจัดหนักจัดเต็ม และหลีกเลี่ยงรังสี UV ไปในตัว และเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในตอนกลางคืนได้ดีทีเดียวฮะ!ซึ่งต้องบอกว่า ampoules ทั้ง 2 แบรนด์นี้ช่วยกู้ผิวเราให้กลับมากระจ่างใส ยืดหยุ่น และมีส่วนทำให้รอยแดงจากสิวจากลงได้ไวทีเดียวหละฮะ

Whitening

รูปภาพ:

และแล้วก็มาถึงอีกหนึ่งไอเทมที่เป็นไอเทมยอดฮิตของคนไทยอย่างผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Whitening นั่นคือ ALLIANCE Bio-Taches Serum ซึ่งตัวนี้เราได้รับการป้ายยามาจากเพจ มาดามเกรียนผู้เลอโฉม ด้วยความที่มี

รูปภาพ:

- Vitamin B3 และอนุพันธ์วิตามินซีอย่าง Sodium Ascorbyl Phosphate(SAP) ทำให้เซรั่มขวดนี้จึงเหมาะกับการเป็นไวท์เท็นนิ่งในช่วงที่เรามีปัญหาสิวม๊ากถึงมากที่สุด เพราะสารทั้ง 2 นั้นช่วยในเรื่องลดสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ และให้ผิวกระจ่างใส ลดจุดด่างดำ

- แถมยังใส Arbutin และ Sepiwhite ที่ช่วยลดฝ้า และกระแดดตื้นๆ

- นอกจากนี้ยังมี retinol ในเปอร์เซ็นต์ต่ำๆ ใส่มาด้วย เพื่อผลัดผิวแบบอ่อนโยน ไม่รุ่นแรง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ประมาณนึง

เรียกว่าเป็นตัวเด็ดอีกตัวที่เราชอบตั้งแต่ส่วนผสม เนื้อสัมผัส บรรจุภัณฑ์ และราคาจึงไม่แปลกใจที่มาดามจะยกให้เป็น Best of Whitening Serum ปลายปี 2019

Eye Serum

รูปภาพ:

ต้องออกตัวก่อนว่าปกติแล้วเราไม่ซีเรียสกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้เลยจริงๆ เรามองว่าผลิตภัณฑ์ที่เราใช้อยู่ถ้าไม่มีน้ำหอม หรือไม่มีสารที่ก่อการระคายเคืองมากเกินไป เราสามารถหยิบมาทารอบดวงตาได้หมดเลย แต่ด้วยความที่

Institut Esthederm Intensive Hyaluronic Eye Serum

หลอดนี้เค้ามี Applicator ติดมาด้วยแบบนี้...

รูปภาพ:

เมื่อเราหยิบออกมาจากตู้เย็นแล้วมานวดที่ใต้ตาเบาๆ พบว่าเค้าช่วยในเรื่องอาการบวมได้ดีทีเดียว นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมอย่าง Hyaluronic Acid และ Caffeine ที่ช่วยเรื่องริ้วรอยล่องตื้น และอาการคล้ำใต้ตาได้ แต่ทั้งนี้ ก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า Eye Serum ไม่ใช่ Photoshop ที่จะทำให้ริ้วรอยและความคล้ำใต้ตาหายวับไปกับตา เพราะนอกจากจะต้องให้เวลาในการฟื้นฟูผิวแล้ว คุณยังจะต้องปรับไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสม รวมถึงหากคุณมีปัจจัยอื่นๆ เช่น โรคภูมิแพ้ กรรมพันธ์แล้วหละก็ ต่อให้ใช้อภิมหา Eye Serum ก็ไม่ได้แก้ปัญหานั้นได้นะค๊าบ

Moisturizer

รูปภาพ:

เราไม่อยากจะพูดแบบนี้เลย แต่LANCOME ABSOLUE SOFT CREAMคือ มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ให้ความรู้สึกดีที่สุดตัวนึงตั้งแต่เราเคยได้ลองมา ด้วยความเบาสบายของ Texture แต่ในขณะเดียวกันกลับมอบความชุ่มชื้นได้ยาวนาน

นอกจากนี้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกุหลาบซึ่งส่วนตัวแล้วเราไม่ชอบนะ แต่กลิ่นของLANCOME ABSOLUE SOFT CREAMนี่มันช่างหอม ผ่อนคลาย ชวนให้นอนหลับฝันดีซะจริงๆ แถมหลังตื่นนอนเรารู้สึกได้ถึงความนุ่ม และความยืดหยุ่นของผิวทุกครั้งที่หยิบน้องคนนี้มาใช้ เรียกว่าเป็นไอเทมที่คุ้มค่าแก่การลงทุนทีเดียวล่ะ

Oil

รูปภาพ:

ในช่วงปีที่ผ่านมาเราเปิดในลองใช้ Oil มาขึ้น ซึ่งเอาจริงๆ เรามีออยล์ที่ชอบอยู่หลายขวดด้วยกันไม่ว่าจะเป็น THREE, Clarins หรือ LHAMOUR แต่เหตุผลที่เราหยิบPANPURI REVIVE ArunaYouth Complex Bakuchiol Age Delay Night Oilมาใช้ในช่วงนี้บ่อยที่สุดก็เพราะเนื้อสัมผัสที่เบาที่สุดจากออยล์ทั้งหมดที่เรามี ซึ่งนอกจากจะซึมไว ไม่เหนอะหนะผิวแล้วยังไม่รบกวนกับผลิตภัณฑ์ก่อนหน้านี้ที่เราลงไปอีกด้วย

ที่สำคัญคือเค้ามีสารที่เราชอบอย่างBakuchiolที่ว่ากันว่ามีประสิทธิภาพในการชะลอการเกิดริ้วรอย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้น ใกล้เคียงกับ Retinol แต่ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสการระคายเคืองที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งถือว่าเป็นสารอีกตัวที่น่าสนใจทีเดียว แต่ออยล์ขวดนี้เราจะไม่ได้ใช้ทุกวันเนื่องจากผลิตภัณฑ์บางตัวของเรามี Retinol เป็นส่วนประกอบอยู่แล้วเพื่อลดการระคายเคืองที่อาจจะเกิดขึ้นได้นั่นเองฮะ

Sunscreen

รูปภาพ:

และแล้วก็เดินทางมาถึงไอเทมสุดท้ายกันแล้ว ต้องบอกว่านี่คือไอเทมที่จำเป็นที่สุดอันนึงก็ว่าได้ นั่นคือกันแดด โดยกันแดดที่เรามักจะหยิบมาใช้บ่อยๆ ในวันที่ต้องออกแดดจัดๆ ในช่วงนี้นั่นคือultrasun FACE SPF50+ซึ่งนอกจากจะกันรังสี UVA และ UVB ได้ครบและค่อนข้างเสถียรแล้ว กันแดดขวดนี้ยังมี

- GSP-T : ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงอินฟราเรด และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยปัองกันความเครียดจากอนุมูลอิสระ- Ectoin : ที่ช่วยปรับระดับความชื้นให้เหมาะสม และลดริ้วรอยจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รูปภาพ:

เอาหละก็จบไปแล้วกับการอัพเดท Skincare Routine ของเรา ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางให้กับเพื่อนๆ ที่มีสภาพผิว หรือปัญหาผิวคล้ายๆ กันกับเราได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ และอย่างที่เราบอกเสมอว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้ Based-on สภาพผิว ไลฟ์สไตล์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ ซึ่งแน่นอนว่าผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลอยู่แล้ว

ส่วนคำถามที่ว่า ใช้แล้วจะแพ้ไหม ระคายเคืองหรือไม่ สิวจะขึ้นหรือเปล่านั้น เราไม่สามารถตอบให้ได้จริงๆ เนื่องจากแต่ละคนล้วนมีสภาพผิว และโอกาสแพ้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกครั้ง เราแนะนำให้ลองเทสต์อาการแพ้ที่บริเวณท้องแขนทิ้งไว้ซัก 1 คืน จากนั้นค่อยขยับไปที่ลำคอและใบหน้าตามลำดับนะครับ