#คุยกับตัวเองพื้ที่ของคนที่ชอบหาเวลาคุยกับตัวเอง เพื่อให้เกิดความคิดที่ตกผลึกก่อนไปสื่อสารกับคนอื่น

แต่จะคุยแบบเปล่งเสียงออกมาหรือไม่ก็ได้ ไม่ต้องกลัวใครมองว่าบ้า

เพราะบอกเลยว่าคนเราน่ะบ้ากันทั้งนั้น!

สำหรับ

รูปภาพ:

∞ เพราะ 'รู้หน้า' ไม่เท่ากับ 'รู้ใจ' ระยะปลอดภัยจึงจำเป็น

ว่ากันตามจริงหากไม่เกิดสถานการณ์COVID-19ขึ้นในสังคมโลกและในประเทศไทย เราอาจไม่ใส่ใจที่จะทำความรู้จักกับSocial Distancingมากนักยิ่งถ้าความเสี่ยงไม่ได้เกิดกับตัวเราโดยตรง อาจยิ่งไม่ได้รู้ลึกซึ้งถึงความหมายและวิธีการของการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เหมาะสมจริงๆแต่เมื่อเจอกับตัวเองเข้าอย่างจัง เลยได้เข้าใจว่าหลักการง่ายๆ ของการเว้นระยะห่างทางสังคมนั้นจริงๆ แล้วก็คือการเว้นระยะปลอดภัยนั่นแหละ ระยะปลอดภัยที่ว่าคือเว้นระยะในการปฏิสัมพันธ์กับสังคม หมายความว่าต้องเว้นการรวมหมู่ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะกิจกรรมอะไรที่ต้องทำร่วมกับคนหมู่มากนั่นแหละเว้นไปให้หมดตั้งแต่ตื่นนอน ออกจากบ้าน เดินทางขนส่งสาธารณะ (หรือแม้แต่นั่งรถส่วนตัวที่โดยสารมามากกว่า 1 คน) การร่วมประชุม ชุมนุม การกินข้าวร่วมกัน กินเลี้ยงสังสรรค์ ร่วมงานสังคม ร่วมสนุกในงานรื่นเริง บันเทิงตามโอกาสและเทศกาลต่างๆ รวมไปถึงพฤติกรรมปลีกย่อยอย่างการเดินตลาด ช้อปปิ้งในห้างฯ การขึ้นลิฟต์โดยสาร การออกกำลังกายในที่สาธารณะ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การเข้าร้านเสริมความงามและนวดผ่อนคลาย ฯลฯไม่เว้นแม้กระทั่งกิจกรรมในวงแคบอย่างการร่วมวงกินข้าว พูดคุยกับคนในครอบครัว การใช้ชีวิตใช้สิ่งของร่วมกันกับคนรัก การวางตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเพื่อนฝูง

รูปภาพ:

ใช่แล้ว ถึงขั้นนั้นเลยล่ะ!แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้เพราะต้องยอมรับว่าสถานการณ์ช่วงนี้ พวกเราทุกคนต่างตกอยู่ในภาวะรู้หน้าไม่รู้ใจตลอดเวลาเราไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าคนที่โทรผิดมา คนที่นั่งกินข้าวโต๊ะข้างๆ หรือคนที่แค่ส่งยิ้มมาให้ เค้าจะไปมีความเสี่ยงติดเชื้อมาจากที่ไหนรึเปล่าแม้กระทั่งตัวเราเอง เราจะแน่ใจได้แค่ไหนกันเชียวว่าเราไม่ได้เผลอทำพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อคนอื่นบ้างเลย

เมื่อรู้หน้าไม่รู้ใจ แถมยังไม่รู้โรคภัยอีกSocial Distancingจึงต้องเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเป็นความยากและท้าทายความสามารถของมวลมนุษยชาติครั้งยิ่งใหญ่ ที่จะเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์การใช้ชีวิตในโลกใบใหม่นี้ไปอีกยาวนานแต่ปัญหาก็คือเราจะปรับตัวยังไงดีกับสิ่งที่เราไม่คุ้นเคยและแทบไม่พร้อมรับมันเลยแม้แต่น้อย

∞ คำถามคือ ‘ห่าง’ แค่ไหนถึงพอดี ?

สิ่งแรกที่ต้องมีเลยคือ‘สติ’เพราะเมื่อทิศทางของสังคมนำพาให้เราต้องใช้วิถีSocial Distancingจริงๆ แล้วอย่างแรกเลยคือคนอาจตระหนกตกใจ แพนิค ทำตัวไม่ถูก เว้นระยะห่างจนสุดโต่งเกินไป หรือไม่ก็เครียดกับการทำตัวไม่ถูกนั้นจนไม่ทำอะไรเลย ไม่แม้กระทั่งบอกคนใกล้ชิดให้รู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงมาก็ไม่ทำทางที่ดีจึงอาจค่อยๆ ลองทำจะดีกว่าทำแบบสุดโต่งในตอนช่วงแรก จนมาสติแตกช่วงหลัง

สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในภาวะที่ต้องกักตัวหรือเฝ้าระวัง และยังไม่เข้าใกล้ความเสี่ยงมากนัก อาจทำเพียงเก็บตัวอยู่บ้านให้มากที่สุด หากิจกรรมที่ทำภายในบ้านให้มากขึ้น ออกไปข้างนอกเท่าที่จำเป็น หรืออาจไปเดินเล่นรับลมยามเช้ายามเย็นบ้างก็ได้ ตามแต่ใจปรารถนา เสร็จแล้วก็กลับบ้านมาอย่างคนมีสติ คือล้างมือ ล้างหน้า อาบน้ำล้างตัวสระผม ซักเสื้อผ้าให้สะอาดไม่ทิ้งไว้นาน ใช้ชีวิตต่อในบ้านอย่างไม่ประมาท

แต่สำหรับคนที่มีความเสี่ยง จึงต้องทั้งเก็บตัวด้วย กักตัวไปด้วยหรือต้องเฝ้าระวังอาการตัวเองไปด้วยนั้น ยอมรับว่าช่วงแรกปล่อยให้ตัวเองสติแตกไปก่อนก็ยังได้ เพราะแน่นอนว่าแว้บแรกที่รู้ตัวว่ามีโอกาสเสี่ยง เราจะเครียดโดยอัตโนมัติ นอกจากถามเฝ้าตัวเองว่ายังจะต้องนั่งไล่ไทม์ไลน์ นั่งลำดับเหตการณ์ นับวันสังเกตการณ์อีกมากมาย ทำให้เราคิดมาก อาจมีร้องไห้ หรืออาจกังวลเป็นห่วงคนใกล้ตัวอีกมากมายไม่รู้จบ

รูปภาพ:

เพราะเอาตรงๆถ้าอยู่ๆ เราก็นั่งจอยในวงกินข้าวกับที่บ้านไม่ได้ ถูกแยกไม่ให้คลุกคลีอยู่ใกล้ชิดคนรัก ห้ามพูดคุยกับเพื่อนอย่างสนิทสนม จะกอดหอมหมาแมวยังต้องยั้งตัวเองไว้ถูกกั๊กระยะห่างทางความสัมพันธ์รอบด้านพร้อมกันขนาดนี้ ถามจริงๆ ว่าต้องเก่งมาจากไหนถึงจะยั้งสติไม่ให้หลุดได้เลย ?ฉะนั้นจงยอมรับความจริงกับความกังวลเหล่านี้ให้ได้ก่อน และสุดท้ายเราก็จะปล่อยไป เพราะเมื่อได้ระบายออกมา สติก็อาจตามมาได้ไวขึ้น แล้วก็ค่อยๆ ดึงวิถี Social Distancing มาปรับใช้ไปตามสมควร

โดยอาจเริ่มจากแยกจานชามช้อนส้อมเป็นส่วนตัว ค่อยๆ เว้นระยะใกล้ชิดกับคนในครอบครัวหรือคนรัก งดการใช้สิ่งของร่วมกัน แยกห้องนอนในเคสที่มีโอกาสเสี่ยงมาก หรือกรณีที่บ้านไม่ได้มีหลายห้อง ก็จัดสัดส่วนการนอนที่ห่างกันในระยะปลอดภัยและมีอากาศถ่ายเท และควรงดการออกไปข้างนอกบ้านทุกกรณีไปก่อน ที่สำคัญคือควรหาเวลาผ่อนคลายจิตใจตัวเองด้วยการบริหารร่างกาย นอนพักผ่อนให้มาก หากิจกรรมที่อยากทำและสามารถทำได้ในช่วงนี้จะได้ไม่ฟุ้งซ่านและหมั่นคอยสังเกตอาการตัวเองไปด้วย

∞ ลองวิธี Social Distancing แต่ยังเข้าสังคมได้

หรือจะลองbalance ตัวเองด้วยการเว้นระยะแบบที่ยังคงสื่อสารกับคนในสังคมได้ด้วยก็ได้นะเป็นการป้องกันการถูกเข้าใจผิดจากคนรอบข้างไปด้วยในตัว เพราะต้องเข้าใจว่าการที่คนๆ นึงเว้นพื้นที่ไว้ ขอมีระยะปลอดภัยในความสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ เป็นใครใครก็คิดไม่ดี คิดว่าเราเหยียด รังเกียจ อยากตีตัวออกห่างทั้งนั้นแหละ พาลแต่จะคิดไปว่าเราไม่เชื่อใจและไม่อยากอยู่ใกล้เขา จนอาจมองไม่เห็นความรู้สึกจริงๆ ที่เต็มไปด้วยความกลัว กลัวเค้าจะได้รับเชื้อต่างๆ ที่เราทำกิจกรรมในแต่ละวันมาต่างหากล่ะ

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เครียด หรืออกแตกตายกันทั้งสองฝั่ง เราจึงควรเว้นระยะปลอดภัยเอาไว้ ในแบบที่ยืดหยุ่นได้เป็นระยะที่ไกลพอดี จากการแพร่เชื้อต่างๆ แต่ก็ใกล้พอที่จะติดต่อสื่อสารกันได้ ไม่ล้มหายตายจากความสัมพันธ์อันดีไปเสียก่อน

และเมื่อจังหวะเข้าที่ เราย่อมเห็นอะไรดีๆ ตามมาในการเว้นระยะห่างทางสังคมนั้นไว้อีกมากมายแน่นอน

∞ Social Distancing เครื่องมือวัด ‘วินัย’ ในใจคน

เพราะท้ายที่สุด แม้การเว้นระยะห่างทางสังคมจะเป็นเรื่องยาก เรื่องใหม่ มันอาจทำให้เราสูญเสียช่องทางในการสานสัมพันธ์อันดี แน่นแฟ้น ความผูกพันไปชั่วขณะแต่สถานการณ์ครั้งนี้ก็เข้ามาเป็นโอกาสให้เราทุกคนได้ฝึกไว้ นี่คือแนวทางที่เราต้องทำ เพราะอย่างที่เรารู้กันว่านาทีนี้แยกกันเราอยู่ รวมหมู่เราตาย

และอย่างน้อยก็ทำให้เราได้มองอะไรชัดขึ้น ถ้ามองให้ดีให้ลึกลงไป Social Distancing ยังเป็นสิ่งที่ใช้วัดใจคนได้นี่ถือเป็นเรื่องของวินัยวินัยในการสู้กับใจตัวเอง เราสามารถเว้นระยะให้คนรอบข้างเราปลอดภัยได้หรือไม่ เราห้ามใจ ห้ามกิเลสได้แค่ไหน และกล้าที่จะทำในสิ่งที่ควรหรือต้องทำได้รึเปล่า

พูดง่ายๆ ก็คือระยะที่เว้นไว้ คือการกระทำที่พึงทำ เป็นความรับผิดชอบต่อสังคม รับผิดชอบต่อคนใกล้ชิด และรับผิดชอบต่อตัวเองเราจะดูว่าคนไหนเป็นยังไง หรือแม้กระทั่งตัวเราเองเป็นคนจริงแค่ไหน ลองใช้เครื่องมือนี้วัดใจดูก็ได้นะ ก็อย่างที่เค้าว่าไว้คนเราจะดูใจกัน วัดว่าเป็นคนยังไงให้ดูตอนลำบาก เมื่อวิกฤตมาถึงแล้ว จงใช้ให้เป็นโอกาสซะ

รูปภาพ:

ที่สำคัญคือพึงระลึกไว้ว่าการเว้นระยะในครั้งนี้มันคือความห่างไกลชั่วขณะ เราเว้นแค่เพียงชั่วคราว เพื่อจะได้กลับมาใกล้กันในระยะยาวยังไงล่ะและอย่าลืมว่านี่เป็นเพียงความไกลทางกายภาพ ไกลแต่เพียงกาย ใช่ว่าจะปล่อยใจไปหากันไม่ได้ซะที่ไหน ถือซะว่าให้ความคิดถึงได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ และวิกฤตครั้งนี้ทำให้เราได้มีเวลามองสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันมากขึ้น มองเห็นสิ่งต่างๆ ชัดขึ้นกว่าที่ผ่านมาก็แล้วกัน-  -  -  -  -  -  -  -  -  -  -  -  -  -  -

รูปภาพ:

แล้วคุณล่ะSocial Distancing ในครั้งนี้ทำให้มองเห็นอะไรชัดขึ้นมั้ย ?แล้วคิดว่าระยะปลอดภัยแบบไหนที่พอดีกับคุณ ?ใช้ช่วงเวลาและพื้นที่ที่เว้นเอาไว้นี้ ฝึกเว้นระยะห่างทางสังคมเอาไว้ให้คล่อง เมื่อคุยกับตัวเองรู้เรื่องแล้ว ก็แชร์วิธีดีๆ มาบอกต่อกันบ้างล่ะ

จบ ep.5 เพียงเท่านี้ เจอกันใหม่ตอนหน้า บายจ้าา<3

เรื่อง :https://sistacafe.com/curators/8785

ภาพ :https://sistacafe.com/curators/51