หลังจากที่ได้แต่ฝันมาหลายปี ในที่สุดก็ได้ทำงานจากที่บ้านสมใจอยากกันแล้วสินะ!

ไม่รู้ว่าต้องกร่นด่าหรือขอบคุณไวรัสตัวร้าย COVID-19 ก่อนดีที่ในที่สุดก็ทำให้พวกเราชาวออฟฟิศได้ทำงานอยู่ที่บ้านสมใจ ภาพในหัวคิดไปอย่างโลกสวยว่าการทำงานอยู่ที่บ้านจะต้องสวยงาม ฉันต้องชิค ประชุมงานทีทุกคนต้องเห็นแบ็คกราวน์สวยๆ ของบ้านฉัน ที่สำคัญการทำงานต้อง super productive สุดๆ ไหนจะของกินของใช้ก็สะดวก ไม่ต้องฝ่ารถติด มีแรงทำงานเหลือๆ แน่นอน

---------------------------------

นับจากวันแรกที่บริษัทเริ่มประกาศให้ทำงานแบบ Work From Home จนถึงวันนี้ก็ปาไปประมาณหนึ่งเดือนแล้ว ใดๆ ที่เคยคิดว่าง่าย ที่คิดว่าชิคกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะจากที่สภาพแวดล้อมของออฟฟิศ เสียงดังจอแจของผู้คนรอบตัวพูดคุยปรึกษางาน หรือภาพที่ทุกคนคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอม ตอนนี้กลับเหลือแค่เรากับงานตัวต่อตัว ทำให้ต้องดึงเอาความรับผิดชอบต่อหน้าที่ทั้งหมดในร่างออกมาใช้ให้เกลี้ยง ยังไม่นับที่บางคนก็มีสิ่งที่ทำให้ต้องวอกแวกจนไม่เป็นอันทำงานอื่นๆ ด้วยอย่างเช่น แม่เรียกล้างจาน แมวอยากออกจอประชุม หรือลูกร้องเพราะหิวขนม

แน่นอนว่าการทำงานแบบ work from home จึงไม่ใช่เรื่องสนุกอีกต่อไป

สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือสถานการณ์จะบังคับให้เราต้องเข้มแข็งต่อการงานและคนรอบตัวพอสมควร ซึ่งจากประสบการณ์กว่าหนึ่งเดือนที่ได้ทดลองทำงานจากที่บ้านมาจนถึงตอนนี้ก็เรียกได้ว่ามีภูมิคุ้มกันพอสมควร เลยอยากมาแบ่งปันการทำงานที่บ้านให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันบ้าง

- อย่าอยู่ในชุดนอนทั้งวัน -

รูปภาพ:

เหมือนจะพูดเอาขำ แต่เราเอาจริง อย่าอยู่ในชุดนอนทั้งวัน!

เชื่อว่าหลายๆ คนคงโดนขายฝันมาบ้าง ภาพของการไม่ต้องรีบตื่นนอน ไม่ต้องรีบอาบน้ำแต่งตัว ไม่ต้องรีบขึ้นรถลงเรือออกจากบ้านเหมือนเคย แถมสามารถโดดจากเตียงมาเปิดคอมได้เลยด้วย หูยยย~ อะไรจะเริ่ดเบอร์นั้นอ่ะแม่ ไม่ไปแล้วออฟฟิศ อยู่บ้านนี่แหละ..

แต่หยุดความคิดนั้นไว้ก่อน เพราะนี่คือสิ่งที่เราทดลองในวันแรกของการทำงาน work from home มาแล้วพบว่ามันไม่เวิร์คจัดๆ เลยค่ะคุณ การตื่นนอนแล้วทำงานเลยแถมยังอยู่ในชุดนอนด้วยจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงแบบเห็นได้ชัดมากๆ เนื่องจากชุดนอนที่สุดแสนจะสบายมันยิ่งตอกย้ำว่าเราไม่ได้อยู่ในที่ทำงาน เราอยู่บ้าน ความเข้มแข็งในการต่อต้านสิ่งเร้าต่างๆ ก็มีโอกาสที่จะลดน้อยถอยลงตามไปด้วย

Solution :

เปลี่ยนชุด! ง่ายๆ เลย อาจเป็นชุดลำลองหรือชุดเที่ยวเล่นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นชุดทำงานแบบเต็มรูปแบบ ใส่สูทผูกไทด์อะไรเบอร์นั้น (หรือถ้าบางคน "ต้อง" จัดหนักเบอร์ใหญ่ก็ใส่แค่ท่อนบนก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอก) แล้วเธอจะรู้ว่าพลังของการเปลี่ยนชุดมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน!

- เริ่มต้นวันใหม่ สดใส มีประสิทธิภาพแบบ Super Productive! -

รูปภาพ:

ในช่วงอาทิตย์แรกของการทำงานจากที่บ้าน ด้วยความอยากสบายจัดเลยตื่นนอนซะ 8.45 เลย ผลก็คือเด้งขึ้นมาจากเตียง วิ่งเข้าห้องน้ำ แปรงฟันล้างหน้า Clock-in เข้างานแล้วก็รีบวิ่งมาเปิดคอม สิ่งที่เกิดขึ้นคือหน้ายังไม่ทันแห้ง ตายังพร่ามัวจากการตื่นนอน ใจเต้นเร็วเพราะความรีบความล่กต่างๆ พาลให้หมดพลังไปทั้งวัน

สรุปคือแบบนี้ไม่ไหว ชีวิตเราไม่ควรต้องตื่นเต้นก่อนทำงานขนาดนี้ เลยต้องหาวิธีปรับตัวใหม่ ไม่งั้นพังแน่นอน

Solution :

มองหาข้อดีจากการที่เราไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปทำงานนั่นคือเรามีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น! ทุกวันนี้เราเฝ้าบอกตัวเองว่าเราต้องการเวลานอนเยอะๆ ซึ่งถามว่าจำเป็นมั้ย คำตอบอาจจะไม่จำเป็นเหมือนเคย เราไม่ต้องฝ่ารถติดตอนไปทำงาน ไม่ต้องเบียดคนบนรถเมล์ตอนกลับบ้านอีกแล้ว การทำงานก็ควบคุมได้จากที่บ้าน แล้วแบบนี้จะมัวเสียเวลานอนบนเตียงกันทำไม?

ลองเอาเวลาตรงนี้ไปปรับทำอย่างอื่นดูก็ดี อย่างเราเริ่มรู้สึกว่าอึดอัด ขยับร่างกายไม่กระฉับกระเฉงอย่างเคย เลยตัดสินใจกลับมาตื่นนอนเวลาเดิม ลองออกไปเดินเล่นวิ่งเล่นรอบคอนโดในช่วงเช้าซัก 10-20 นาที จากนั้นค่อยกลับมาอาบน้ำแต่งตัว เตรียมเข้างาน แค่นี้ก็ทำให้ร่างกายพร้อมเริ่มต้นวันใหม่ได้ดีทีเดียว ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายอย่างเดียวก็ได้นะ บางคนอยากตื่นมาเตรียมอาหารเช้าดีๆ เริ่มต้นวันใหม่ให้ตัวเองแทนที่จะไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งกินข้างทางเหมือนเช่นทุกวันก็ย่อมได้เช่นกัน ลองลุกขึ้นมาจัดตารางให้ตัวเองกันดีกว่า

- ทำงานไป กินข้าวไป ไม่ใช่ว่าขยัน แต่ชีวิตจะพัง -

รูปภาพ:

สเต็ปต่อมา หลังจากที่ทำงาน work from home มาซักระยะ กลับรู้สึกว่าการทำงานจากบ้านนี้ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างชิลล์เลย เรารู้สึกเหมือนคำว่า 'รับผิดชอบต่อตัวเอง' มันคอยยืนกอดอกควมคุมการทำงานอยู่ข้างๆ เสมอ ทำให้เราเองต้องเร่งรีบไปหมด ไหนจะต้องคอยประสานงานกับทุกฝ่ายผ่านเทคโนโลยีต่างๆ ให้ทันท่วงที ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เดินไปสามก้าวก็คุยกันได้แล้ว ทำให้เอาเข้าจริงการทำงานแบบ work from home นี่ดูท่าจะยุ่งกว่าการทำงานที่ออฟฟิศซะอีก

และด้วยความที่ไม่อยากเสียเวลาในการทำงานใดๆ จะได้รีบทำรีบเสร็จ 'การพักกินข้าว' เลยกลายเป็นกิจกรรม 'เสียเวลา' ซะงั้น เกิดเป็นวงจรมนุษย์หน้าจอ ทำงานไป กินไป เคี้ยวไป ตอบเมล์ไป รู้ตัวอีกที เอ้า! อิ่มแล้ว แต่เพิ่งกินไปได้ครึ่งจานเอง หรือบางทีเราก็กินไปโดยไม่รู้รสชาติอาหารด้วยซ้ำ ขอเอาอิ่มพอ งานต้องมาก่อน

ซึ่งถือว่าไม่โอเคเลย เรากำลังฝึกให้ตัวเองสักแต่เอาของเข้าตัวโดยที่ไม่รู้จัก 'ละเลย' สิ่งที่เราเอาเข้าปากไปได้ยังไง

Solution :

กำหนดเวลาทานอาหารกลางวัน เช่น เมื่อถึงเวลา 12.15 น. เราจะปิดคอมเข้าโหมด Sleep จากนั้นลุกไปจากโต๊ะทำงานเพื่อทานอาหารกลางวันให้เป็นกิจจะลักษณะ จากนั้นอาจจะพาตัวเองไปที่ระเบียงเพื่อสังเคราะห์แสงซักหน่อย (เข้าใจแล้วว่าทำไมนังเหมียวแถวบ้านชอบมานอนอาบแดด.. มันทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีเหมือนกันนะ) ให้สมองได้พักจากการทำงานบ้าง พอเข้าช่วงบ่ายก็จะได้พร้อมลุยงานต่อไงล่ะ

- Clock in / out เข้าออกงานให้เป็นเวลา อย่าเผลอให้งานกินชีวิตเรา -

รูปภาพ:

ในช่วงอาทิตย์แรก เราทำงานหามรุ่งหามค่ำจนลืมดูนาฬิกา ลืมวันลืมคืนหนักมาก ยิ่งเลิกดึก สติก็ยิ่งอยู่กับงานมากขึ้น เงยหน้ามาอีกที เอ้า!! จะสามทุ่มแล้วแม่ ใดๆ ก็คือทำงานเพลินจนลืมพระอาทิตย์ไปเลย

ถามว่าทำงานหนักขนาดนี้เงินเดือนแสนห้าหรือเปล่า ก็ไม่ ทำงานหนักขนาดนี้จะได้โล่พนักงานดีเด่นหรือเปล่า ก็คือไม่อีก ยิ่งเลิกงานดึก เวลาอาหารเย็นก็ต้องดึกตาม และในที่สุดสิ่งที่เราหนีไม่ได้ก็คือ "ความอ้วน" นั่นเองค่ะ นี่ยังไม่นับความเสี่ยงที่จะเกิด office syndrome จากโต๊ะเก้าอี้ที่บ้านไม่พร้อมทำงานอีก

สุดท้ายสุขภาพพังขึ้นมา ใครเค้ามารับผิดชอบชีวิตเรา?

Solution :

การทำงานดึกดื่นสำหรับเราไม่ได้หมายความว่าขยัน แต่หมายถึงเราจัดการเวลาได้ไม่ดีพอ เรามีเวลา 8 ชั่วโมงในการทำงานแต่ละวัน เพราะฉะนั้นจึงต้องวางแผนทามไลน์งานให้ดี

ยกตัวอย่างเช่นบริษัทเราใช้ระบบจัดการเวลาเข้าออกงานด้วยแอปพลิเคชั่น

http://www.jobcan.in.th/


พอถึงเวลาเข้างาน 9.00 น. ก็เข้าไปกด Clock-in (ปี 2020 แล้ว ใครเค้ายังเข้างานแบบส่งรูปในไลน์กัน.. บ้าบอ) พอถึงเวลาเลิกงาน 18.00 น. ก็เข้าแอปฯ ไปกด Clock-out อีกรอบ หรือถ้าจำเป็นต้องเลทจริงๆ จะพยายามไม่เกิน 18.30 น.

เหตุผลที่อยากเลิกเร็วเพราะอยากพาตัวเองออกไปเดินโดนแสงอาทิตย์ข้างนอกอีกซักหน่อย ไม่งั้นถ้าเป็นแบบนี้นานๆ สงสัยได้กลายเป็นผีดิบเฝ้าคอมเข้าซักวันแน่ๆ

-----------------------------------

ผ่านมาก็เดือนนึงแล้ว.. ไม่รู้ว่าเราต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้อง Work From Home แบบนี้ไปอีกนานขนาดไหน แต่ถ้าให้ดีอยากให้ทุกคนปรับตัวและวางแผนให้พร้อมเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว อีกทั้งดูแลรักษาสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจด้วย เชื่อว่าหลังจากหมดช่วงนี้ไปทุกคนจะต้องเก่งและแข็งแกร่งขึ้นมากแน่ๆ SistaCafe ขอเป็นกำลังใจให้ชาว Woking (From Home) Woman ทุกคนเลยนะคะ