__________________________________________________

ตั้งแต่ต้นปีมา บอกเลยว่าไม่มีกระแสไหนที่จะมาเทียบเท่า เรื่องCOVID-19ได้เลย ถึงแม้ว่าหลายคนจะบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าปีนี้หนักเหลือเกิน แต่บอกเลยว่าCOVID-19เนี่ยแหละ'หนักของจริง'

เมื่อ ของจริงมาเยือน สถานการณ์ตอนนี้ก็บีบบังคับทำให้หลายๆ คนไม่สามารถใช้ชีวิตแบบ'เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ชั้นไม่ติด ชั้นไม่สน ชั้นไม่สุ่มเสี่ยง ชั้นใช้ชีวิตปกติ'ได้อีกต่อ

__________________________________________________



เราเองเป็นอีกหนึ่งคนที่ตามข่าวนี้แทบไม่วางตา ตั้งแต่เริ่มระบาดที่จีนแรกๆ พยายามจับตาดูรายงานยอด และแนวทางการแก้ไขในแต่ละวันของเค้า ซึ่งเราภาวนาว่าให้ทุกอย่าง ควบคุมได้และไม่บานปลายไปมากกว่านี้...... แต่สุดท้าย เรื่องราวก็แย่ลง เหมือนจุดพีคในหนัง เมื่อยอดผู้ติดเชื้อได้กระจายตัวไปหลายประเทศ และกลุ่มผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มใหญ่และวงกว้างมากขึ้น จนทำให้ทั้งยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตสูงแบบพุ่งทะยานมากกว่าประเทศต้นทางเสียอีก....

ไม่ใช้เพียงแค่ต่างประเทศเท่านั้น แต่รวมไปถึงที่ประเทศเราเอง ก็พบผู้ติดเชื้อสูงแบบก้าวกระโดดตามเค้าไปด้วยติดๆ เหมือนกัน และนอกจากยอดผู้ติดเชื้อเริ่มพุ่งขึ้นจนควบคุมได้ยากแล้ว ก็เริ่มทำให้สภาพจิตใจคนเริ่มขวัญเสีย ตื่นตระหนกกันถ้วนหน้าเข้าไปอีก

..... ไม่ว่าจะไปที่ไหน เจอกับใครบนท้องถนน ไปทานข้าวนอกบ้าน ซื้อของที่ห้าง ไปจ่ายตลาด กิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำก็หวาดระแวงกลัวไวรัสกันไปหมด รวมถึง'เริ่มหวาดระแวง'กันเองเกิดขึ้นด้วย....

เห็นได้เลยว่าการระบาดครั้งนี้ ส่งผลให้ 'ความชิลล์'ของคนไทยก็เริ่มลดลง มีการยกเลิกไฟล์ทบิน ยกเลิกโรงแรม ฯลฯ ร่วมถึงก็มีบางกลุ่มที่เป็นกลุ่มเสี่ยงให้ร่วมมือให้ทำการQuarantineตัวเองอยู่ที่บ้าน หรือการกักตัวไม่ออกไปข้างนอก เพื่อป้องกันและลดการแพร่เชื้อไวรัสนี้ด้วย

รูปภาพ:

#StayhomeforUS / Work From Home จึงเริ่มต้นขึ้น...

และเนื่องจากทางการได้มีมาตรการสั่งปิดบางสถานประกอบการบางพื้นที่ และรวมถึงพื้นที่แออัดเพื่อลดอัตราการติดเชื้อให้น้อยลง ทำให้บริษัทเอกชนที่ให้ความร่วมมือหลายๆ บริษัท เริ่มทยอยให้พนักงานเริ่มทำงานจากบ้าน(Work From Home)โดยยังได้รับรายได้ตามปกติอยู่เราเองก็เป็นหนึ่งในส่วนนั้นด้วยที่บริษัทเข้าใจและใส่ใจในความปลอดภัยของพนักงาน....

ก่อนนี้เราคิดว่าจริงๆ แล้วการอยู่บ้านทำได้ง่ายๆ เลยแหละ แต่........

แต่กลับกันก็ยังมี'แรงงาน' ส่วนที่เหลือที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ ไม่มีการเตรียมตัว ไม่มีมาตรการเยียวยา และการรับมือได้ทันท่วงทีประเด็นของเรื่องนี้มันอยู่ที่...พรก.ฉุกเฉินที่ประกาศออกอย่างคลุมเครือมากๆ เอ๊ ยังไง เอ๊ สรุปปิดกรุงเทพหรือยัง ทำให้หลายๆ ฝ่ายก็รับมือไม่ทันไปด้วยซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่วายเริ่มเป็นประเด็นดราม่าเข้าจนได้ เมื่อ'แรงงาน' ส่วนนี้ไปอัดแน่นอยู่ที่หมอชิตเพื่อกลับบ้านเกิดภูมิลำเนา เกิดการเสียดสี เยาะเย้ยกันไปมา รวมถึงมีการล่าแม่มดกันเกิดขึ้น ซึ่งก็ไม่ต่างจากตอนที่'ผีน้อยกลับไทย'ไม่มีผิดถ้าจะให้พูดตามจริง ในเรื่องของการประกาศปิดสถานประกอบการในกรุงเทพ การขอร้องให้ประชาชนอยู่บ้านนั้น มันไม่ใช่เรื่องยากพวกเขาเลย แต่สิ่งที่ที่ยาก คือ......คนที่คือไม่มีบ้านอยู่ > รายได้ไม่เพียงพอ = ต้องกลับภูมิลำเนาเท่านั้นคนที่เป็นพนักงานรายวัน > หาเช้ากินค่ำ หยุดงาน = ขาดรายได้คนที่โรงงานออฟฟิศไม่หยุด > ต้องไปทำงานทุกวัน = หยุดไม่ได้เงินคนที่เป็นเจ้าของกิจการ > ขาดรายได้ = ไม่มีเงินเยียวยาลูกน้องซึ่งจะเห็นได้เลยว่า ผลกระทบนี้มันหนักและเริ่มกระทบต่อกันเป็นทอดๆ ต่อไปเรื่อยๆ

..... เขาไม่มีอาหารเพียงพอ สำหรับ 14 วัน สิ่งที่มี คือ ค่าเช่าห้อง ค่าไฟ ค่าน้ำ ข้าวข้าว ค่ารถ มีแต่ค่าใช้จ่ายล้วนๆ ที่รอจ่อคอใกล้เข้ามา.....หยุดการก่นด่ากันเองเอาไว้ก่อน.....หยุด การล่าแม่มด กันเอาไว้ก่อน เพราะอยากให้มองเรื่องจริงที่ว่าทุกคนไม่มีใครอยากติด COVID-19 หรอกเพียงแต่ว่าเค้า' จำเป็น 'ต้องดิ้นรนให้มีชีวิตหนีทั้งไวรัส และต้องหาทางเอาตัวรอดไปพร้อมๆ กันด้วยทั้งนั้น

เนี่ยแหละคือความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนมากๆการจะปิดเมือง หากรัฐบาลมีอำนาจ มีความพร้อม เตรียมการให้ดี ผลกระทบอาจจะน้อยกว่านี้ก็ได้ แต่เมื่อใช้อำนาจสั่งปิดเอกชน ก็เหมือนกับผลักความรับผิดชอบให้ฝั่งเอกชน หรือผู้ประกอบการ จนเกิดส่งผลกระทบกับกลุ่มนี้โดยตรงยังไงล่ะ....

= เงินเยียวยา 5,000 บาท =

รูปภาพ:

จริงๆ เราแอบคิดว่าเรื่องนี้เกือบจะจบสวยอยู่แล้ว เมื่อรัฐบาลได้ออกมาตรการรองรับเยียวยา คนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ ด้วยการลงทะเบียนแจกเงิน 5,000 / 3 เดือน แต่เราต้องหดหู่อีกครั้งเมื่อ...

// ' ได้เห็นหลายๆ คนไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ แต่ดันเข้าไปลงทะเบียนรับเงินเยียวยาจากรัฐ เพื่อแย่งพื้นที่คนที่เดือดร้อนจริงๆ '// ' ยังไม่รวมถึงคนที่พยายามกักตุนสินค้าหรือสิ่งของจำเป็น เพื่อมาโก่งราคาขายกัน เมื่อสินค้าขาดตลาด

เป็นอีกเรื่องที่เราสะเทือนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในสถานการณ์นี้โชว์ให้เห็นถึง การเอาตัวรอดของคนเรา ถ้าจะหา 'คนผิด' จากเรื่องนี้ ก็คงมีแต่'ความเห็นแก่ตัว'นั่นแหละ...... ความจริงที่ว่า เมื่อความเป็นความตายใกล้เข้ามา และการหนีตายคือทางเลือกเดียวความเห็นแก่ตัวมนุษย์จึงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะการเอาตัวรอดของคนในสังคมทั้งจากผู้มีอำนาจไล่ระดับลงมาจนถึงพวกเรากันเอง ก็เลยโผล่ออกมาด้วยแต่เราเองก็ยังเชื่อนะว่า การทดสอบครั้งนี้ ไม่ได้แสดงให้เห็นถึง ด้านลบของสัญชาตญาณมนุษย์เพียงด้านเดียวแน่นอน เพราะการหนีตายจากไวรัส COVID-19 นั้น มันยังมีหลายทางที่เราสามารถต่างพากันรอดไปพร้อมๆ กันได้จากที่เริ่มเห็นคนหลายๆ กลุ่ม หลายๆ คน ก็ออกมาให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่บ้าง แบบนี้แหละที่ยังมีเรื่องดีๆ สะท้อนออกมาให้เจอแม้ทุกคนต่างอยู่ในสภาพที่แย่ด้วยกัน...เมื่อเราไม่มีอำนาจเพียงพอหรือไม่สามารถทำในส่วนที่ผู้มีอำนาจทำได้สิ่งที่พวกเราพอทำได้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ตอนนี้ คือ ลดการเห็นแก่ตัวลงหน่อย และหันมา'ร่วมด้วยช่วยกัน' เพราะทุกคนต่างเดือดร้อนไม่แพ้กันซึ่งถ้าตอนนี้เราช่วยกันจริงๆ ไม่ได้หมายถึงการลงเงินทุน(เพราะเราเข้าใจว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะพร้อมบริจาคเงินก้อนโต)แต่ปัญหาตอนนี้จริงๆ ก็คือ การแพร่กระจายของเชื้อ ที่เราต้องควบคุมไม่งั้นจะบานปลายในที่สุด และในตอนนั้นทุกฝ่ายจะแย่และหนักไปด้วยกันหมด

__________________________________________________


บทส่งท้ายก่อนจบเรื่องนี้ไป ให้ทุกคนลองจินตนาการว่านี้คือหนังฟอร์มยักษ์เรื่องหนึ่ง เราทุกคนต่างติดตามและอินไปเรื่องนี้ แต่พวกเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ตอนจบของหนังเรื่องนี้มันจะแฮปปี้เอนดิ้งแบบหนังทั่วไปหรือเปล่า.... ?? แต่ในเมื่อเราทุกคนคือส่วนประกอบของหนังเรื่องนี้ ก็คงถึงเวลาแล้วแหละที่เราทุกคนควรจะเป็น 'ตัวเอก'ออกมาหาหนทางออกที่ดีและปลอดภัยไปด้วยกัน และเราก็หวังว่า'ตัวร้าย'เพียงหนึ่งเดียว ในหนังเรื่องนี้อย่าง ' ไวรัส COVID-19 ' ได้ถูกกำจัดออกไปเสียที........

__________________________________________________