สวัสดีค่าาา สาวๆSistaCafeคนช่างจ้อทั้งหลายย! ♡ ~('▽^人)ใครที่คลิกอ่านบทความนี้ เราเชื่อว่าเธอคงเป็นฝ่ายพูดมากกว่าฟัง! เข้าใจแหละว่าเจอเรื่องอะไรดีๆ เด็ดๆ มาก็อยากเล่าให้เพื่อนฟัง ใครมาปรึกษา ระบายความทุกข์ใจ ก็คันปากยิบๆ อยากออกความเห็นตลอดบางทีเพื่อนยังพูดไม่ทันจบประโยคเลย เธอก็ทนไม่ไหวขอแทรกแล้ว หรือบางครั้งพูดๆ อยู่เพื่อนเดินหนีไปเลยก็มี เพราะเขาทนเธอจ้อๆๆ ไม่ไหวแล้ว และถ้ายังไม่หยุดนิสัยนี้ ในไม่ช้าเธออาจโดนเพื่อนแบนนะจ๊ะ!!อาจจะเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ชอบ ' พูด ' ไม่ได้อยาก ' ฟัง ' คนที่ทำเป็นตั้งใจฟัง หลายคนก็แค่แกล้งฟังแต่ไม่ได้สนใจจริงๆ ก็มากมาย จึงมีอาชีพที่เรียกว่านักจิตวิทยาหรือนักให้คำปรึกษาเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ยังไงล่ะ!สำหรับบางคนที่ปัญหารุมเร้า เขาก็ไม่ได้ต้องการคำแนะนำจริงๆ จังๆ หรอก เขาแค่ต้องการคนปรับทุกข์และให้กำลังใจนิดหน่อยเท่านั้นซึ่งหากเธอมีสกิล ' ผู้รับฟังที่ดี ' นอกจากจะเป็นที่รักและไว้ใจของเพื่อนๆ แล้ว ยังทำให้ความสัมพันธ์กับแฟนยืนยาว และต่อยอดเป็นอาชีพดีๆ ได้ในอนาคตอีกด้วยวันนี้เราจึงมาชวนสาวๆ ฝึก7 ทริคการเป็นผู้ฟังที่ดีในบทความนี้ จะต้องทำยังไงบ้างนั้น เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ!

1. ให้ความสนใจเรื่องที่อีกฝ่ายพูด 'อย่างจริงจัง'

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/dcc5c816d6b68cee7827e0aa43c43c33.jpg

ในการสนทนา บางคนไม่พูดขัดก็จริง เงียบ ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดไปเรื่อยๆ แต่ที่จริงเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา หัวนึกถึงเรื่องอะไรอยู่ก็ไม่ทราบ นั่นไม่ใช่ผู้ฟังที่ดี! เพราะคนที่ฟังเขาต้อง ' สนใจ ' กับเรื่องนั้นๆ อย่างจริงจังโฟกัสกับเรื่องที่คู่สนทนาพูดและคิดตาม ถ้าเขาพูดนาน เราก็อาจไม่ได้โฟกัสอยู่กับเขาทั้ง 45 นาทีหรือ 1 ชั่วโมงหรอก แต่ต้องให้เวลาส่วนใหญ่กับเขาในเมื่อเขาเลือกจะไว้ใจและปรับทุกข์กับเราแล้ว ยิ่งเป็นเพื่อน ก็ต้องให้เกียรติเวลาของเขาด้วยเช่นกันค่ะทำสมองให้โล่งๆ พร้อมรับฟัง อย่าคิดฟุ้งซ่าน นัยน์ตาเหม่อลอย มองเล็บ มองนิ้ว มองนาฬิกา คิดว่าวันนี้กินอะไรดี พรุ่งนี้ไปเที่ยวไหนดี เพราะคนเล่าดูออกแน่นอนว่าเธอไม่สนใจถ้าเป็นเพื่อนยังพอง้อได้ แต่ถ้าทำพฤติกรรมนี้ตอนคุยงาน คุยธุรกิจกับลูกค้าอยู่ล่ะก็ บอกได้คำเดียวว่าเละ!

2. ใช้ภาษากาย (Body Language) เชิงบวก แสดงให้รู้ว่าเราฟังอยู่

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/4e631d1432a4e44b1c2e83b7ae37502c.jpg

หากไม่สันทัดในการพูดจริงๆ หรือเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าไม่ใช่เรื่องควรให้ความเห็นส่วนตัวสักเท่าไหร่ การใช้ ' ภาษากาย ( body language )  'ก็เป็นอีกหนึ่งปฏิกิริยาที่แนะนำ เพราะคนเราสามารถดูอารมณ์ในขณะนั้นๆ ได้จากภาษากายนี่แหละ

คนที่เปิดกว้างพร้อมรับฟังคนอื่น มือไม้จะสบายๆ ไม่กอดอก ไม่หน้าบึ้ง ไม่ทำท่ากังวล แต่จะยิ้มอ่อนๆ หรือสีหน้าใจดี อ่อนโยน ทำมือให้รู้ว่าฟังอยู่ พยักหน้าและบอกให้เล่าต่อเรื่อยๆ เป็นต้น

ผู้ฟังที่ดีนอกจากให้ความสนใจเต็มที่กับอีกผู้เล่าแล้ว จะพยายามทวนว่าตัวเองเข้าใจถูกหรือเปล่าเป็นระยะๆ ไม่ปล่อยผ่านไปเฉยๆ จึงไม่ควรถูกรบกวนด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์, notifications ในแอพโซเชียลทั้งหลาย นึกภาพเสียงตึ๊งที เธอก็หยิบขึ้นมาดูที ภาษากายที่เพื่อนเห็นก็คือ ' เธอเอาแต่นั่งล้วงโทรศัพท์ ไม่ได้สนใจที่พูดเลยนี่นา 'ดังนั้นปิดเสียงซะ! แล้วสบตาผู้เล่า มี eye contact ถ้าทำมือไม่ถูกก็วางประสานกันเฉยๆ ก็ได้ ถ้านึกภาพไม่ออกก็ลองดูรายการที่มีพิธีกรดังๆ ระดับประเทศหรือระดับโลก ว่าเขาวางตัว ทำมือทำไม้ยังไงกับแขกรับเชิญ แล้วลองเอามาปรับใช้กับตัวเองก็ได้ค่ะ

3. ถามคำถามที่เกี่ยวข้อง รายละเอียดเพิ่มเติมของเรื่องนั้นๆ

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/ce6dc0339d5e778be955fe4437a9e8ed.jpg

สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเธอสนใจฟังแน่ๆ ก็คือ ' การถามคำถาม ' เหมือนเวลาฟังเลคเชอร์ในชั้นเรียน แล้วครูถามคำถามหรือมีควิซท้ายคาบนั่นแหละ เพราะเป็นการบ่งบอกว่าที่ผ่านมาข้อมูลได้เข้าถึงสมองของเธอหรือไม่


หากอยากได้ใจเพื่อน ก็อย่าใช้คำแบบ " อ๋อ อืม แย่จังนะ ", " อ่อ ก็ดีแล้ว " ที่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นคำกลางๆ ใช้ในบริบทไหนก็ได้ เพื่อนจะรู้สึกว่าเธอพูดส่งๆ ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญ ก็อย่าหวังว่าเขาจะเล่าให้ฟังอีก เพราะความไว้ใจถูกทำลายไปแล้ว!

สมมุติเขามาปรับทุกข์เรื่องที่บ้าน หนี้สินต่างๆ ก็ลองถามคำถามประมาณว่า " แล้วตอนนี้หนี้เหลือประมาณเท่าไหร่ ", " ลองขอให้ธนาคารช่วยยืดเวลารึยัง ", " ถ้าเป็นเรา เราจะไปขอลดหย่อนกับ xxxx แล้วให้พี่น้องช่วยกันผ่อน "

คือเป็นประโยคที่ดูออกว่าสนใจฟังจริงๆ แถมช่วยหาทางออกให้ด้วย แม้ทางเหล่านั้นเอาไปใช้ในชีวิตจริงไม่ได้ก็เถอะ แต่อย่างน้อยเธอก็แสดงออกว่าใส่ใจเต็มที่แล้ว

4. ถือว่าฝึกทักษะ 'ความอดทน' แต่ผลลัพธ์อาจคุ้มค่ากว่าที่เห็น

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/f57dedc25ca32406856cc89d962b5665.jpg

สำหรับสาวช่างจ้อ คงเหมือนให้ไปตีลังกาบนมหาสมุทร หรือนั่งชิลล์ในกองไฟ เพราะมันทำยากมากแม่! แต่ในข้อนี้เราไม่มีอะไรจะแนะนำไปมากกว่า ' จงฟัง ' อยู่นิ่งๆ และทำความเข้าใจ


ยิ้มในจังหวะที่ควรยิ้ม พยักหน้าบ้างเป็นบางครั้งเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าฟังอยู่และเข้าใจในเรื่องนั้นเป็นอย่างดี เท่านั้นพอ!

ถ้านึกภาพไม่ออกก็ลองนึกถึงจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาที่ต้องรับเคสคนไข้ครั้งละ 1-2 ชั่วโมง โดยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวดู เขาจะไม่ออกความเห็นเยอะเพราะต้องการให้คนไข้ระบายออกมาให้มากที่สุด เขาจะแค่นั่งข้างๆ และพูดตอบรับสั้นๆ เป็นบางครั้งเท่านั้นจนหมดเวลา


คนเรามีหลายแบบ บางคนก็อยากให้เราช่วยออกความเห็น แต่บางคนก็แค่ต้องการ ' เซฟโซน ' ให้เขาระบายๆ แล้วจบ ต้องดูว่าเพื่อนเธอเป็นแนวไหน ( และเป็นเพื่อนที่สำคัญพอจะให้ระบายด้วยไหม เพราะยอมรับตรงๆ ว่ามันก็ต้องใช้ความอดทนพอสมควร ) หากไม่คิดอะไรมาก ก็ถือว่าฝึกความอดทนค่ะ

5. ถึงอยากคอมเมนต์แค่ไหน ก็อย่า 'ขัดกลางปล้อง' ระหว่างที่อีกฝ่ายพูดอยู่

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/96d964bac70df5b465b82f0aa8143a10.jpg

เรื่องง่ายๆ ที่หลายคนทำไม่ได้! เข้าใจนะว่าเรื่องที่เล่าอาจจะเข้มข้น แซ่บ เผ็ดร้อนยิ่งกว่าละครหลังข่าว ฟังแล้วมันคันปากอยากด่า อยากคอมเมนต์ซะเหลือเกิน แต่เธอต้องอย่าลืมว่าเขากำลังเล่าอยู่ เรื่องยังไม่จบ คดีอาจจะพลิกก็ได้

ที่สำคัญตัวละครเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอ แต่เกี่ยวกับเขา ถ้าพูดอะไรไม่ดีจะผิดใจกันทีหลังเปล่าๆ ดังนั้นจงฟังเงียบๆ อย่าขัดกลางปล้อง อย่าแทรกจะดีที่สุด

ในทางกลับกัน เธอก็คงไม่อยากคุยกับเพื่อนอยู่ดีๆ แล้วมีใครไม่รู้มาพูดแทรก ออกความเห็นทั้งที่เธอไม่ได้ร้องขอหรอก จริงไหม? มันเป็นการกระทำที่หยาบคายและไม่มีมารยาทเอามากๆ


บางคนแค่พูดแทรกครั้งเดียว เขาอาจไม่อยากเล่าให้เธอฟังอีกเลย หรือหลงประเด็นว่าเล่าถึงตรงไหน ดังนั้นถ้าเขาไม่อนุญาตให้พูด ก็จงรออย่างอดทน พอเขาเล่าจบก็ค่อยออกความเห็นนะคะซิส

6. จำเรื่องราวเหล่านั้นไว้ และชวนคุยเรื่องนั้นๆ ในคราวหน้าที่เจอกัน

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/dee09be9d5287936f12d99bf1d605f2c.jpg

อย่าปล่อยให้เรื่องในวันนี้ผ่านไปเหมือนหูทวนลม! แต่เก็บเรื่องที่เพื่อนเล่าไว้เป็นข้อมูล และนำไปถามไถ่ ชวนคุยกับเพื่อนในคราวหลัง หากเป็นการบำบัดก็คงเหมือนการติดตามผล หรือ follow up นั่นเองค่ะ


( แต่ต้องดูเนื้อหาเรื่องที่เล่านิดนึงนะ หากเป็นเรื่องไม่ค่อยดี เช่น แม่ตาย เมียนอกใจ ก็อย่าไปเปิดแผลใจเขาจนเหวอะซ้ำๆ เด้อ สงสารเพื่อนด้วย!!! )

สมมุติว่าเพื่อนมาคุยให้ฟังว่า ตั้งใจอ่านหนังสือมานานมาก สุดท้ายก็สอบเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศได้ ครั้งหน้าที่คุยกันเธอก็สามารถหยิบขึ้นมาพูดได้ว่า " เตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว ยื่นวีซ่ารึยัง จะไปเมื่อไหร่ จะเลี้ยงส่งวันไหนอย่าลืมชวนบ้างนะ "

หรือถ้าได้เลื่อนตำแหน่ง ได้งานใหม่ ก็ถามเรื่องชีวิตในออฟฟิศใหม่ เนื้องานใหม่ๆ เป็นต้น คนคิดหัวข้อคุยไม่เก่งน่าจะชอบด้วย เพราะแค่หัวข้อเดียวในวันนั้นก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ ได้ไม่สิ้นสุด ไม่ต้องมานั่งทักกันเรื่องดินฟ้าอากาศกันอีก!

7. ข้อมูลทุกอย่างต้องเป็น 'ความลับ' อย่าเอาไปบอกต่อ!

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/18737ac540b9bf414bf5f89281815e33.jpg

เพื่อนอุตส่าห์ไว้ใจเอาเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องทางธุรกิจมาบอกเรา แค่ต้องรวบรวมความกล้าเอามาบอกคนนอกอย่างเรา เขาก็ต้องทำใจมาพอสมควรแล้ว สาวๆ ที่ได้ฟังก็อย่าทำลายความไว้ใจด้วยการ ' เอาไปบอกต่อคนอื่น '


เผลอซุบซิบปากต่อปากจนเป็นไฟลามทุ่ง แม้จะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ การกระทำแบบนี้ทำให้เขาตัดเพื่อนและเกลียดเธอได้ง่ายๆ เลยเลยล่ะค่ะ ( บางคนผูกใจเจ็บมากๆ อาจไม่ให้อภัยไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ )

หากจะเป็นผู้ฟังที่ดี จงเก็บเรื่องนั้นไว้เป็นความลับ เสมือนเรื่องของเขาคือเรื่องส่วนตัวของเราเอง ให้เขาไว้ใจ สบายใจว่าเรื่องอยู่กับเราแล้วจะไม่โดนแพร่งพราย ปิดปากสนิทเหมือนอยู่ในตู้เซฟ

เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนแข็งแกร่ง ยืนยาว และสร้างความเชื่อใจซึ่งกันและกัน เมื่อเรามีเรื่องของตัวเองบ้าง เราก็จะมีเพื่อนคนนี้ไว้คอยปรับทุกข์เช่นกันค่ะ (*^‿^*)

เพราะการรับฟังเป็นขั้นตอนแรกของการ ' เรียนรู้ ' เพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเอง และยังได้เรียนผ่านประสบการณ์ของคนอื่นโดยไม่ต้องทดลองเอง จึงเป็นทักษะที่ทุกคนควรมีติดตัวไว้! ไม่ว่าเธอจะเป็นคนชอบพูดฝ่ายเดียว หรือฟังเก่งอยู่แล้ว แต่อยากเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดีขึ้น เราเชื่อว่าบทความนี้ตอบโจทย์แน่นอนค่ะในยุคโซเชียลที่คนส่วนใหญ่ก้มหน้าอยู่กับมือถือ ทำหลายสิ่งพร้อมกันโดยไม่สนใจคนตรงหน้าอย่างจริงจัง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอ่อนแอลงไปมาก หากมีสักวันที่ไม่ต้องมีมือถือ เป็นวันที่นั่งคุยเปิดใจ คุยมองตากันอย่างจริงใจและจริงจัง นอกจากความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนหรือแฟนจะแน่นแฟ้นขึ้นแล้ว เธอยังได้พักจากโลกโซเชียลที่วุ่นวาย ได้โฟกัสกับโลกในชีวิตจริงบ้าง ก็พระเจ้าให้ปากมาหนึ่งปาก แต่หูมาสองข้างนี่นะ ใช้หูมากกว่าปากหน่อยจะเป็นไรไปเนอะ ^^