
หน้าหนาวมาแล้ว ดูแลตัวเองกันหน่อย ส่อง 6 โรคที่มากับลมหนาว เผลอไม่ได้ เดี๋ยวป่วยไม่รู้ด้วย!
ตอนนี้ประเทศไทยของเรา เข้าสู่หน้าหนาวอย่างเป็นทางการแล้วค่ะ! เรามาดูกันหน่อยดีกว่าหน้าหนาวแบบนี้ มีโรคอะไรที่เราควรระวังบ้าง อย่างน้อยๆ จะได้ดูแลตัวเองได้ทัน ไม่ละเลยจนป่วยไข้

โควิดก็ต้องระวัง ร่างกายก็ต้องดูแล โอ้ย! ปวดใจ แต่ก็อย่างว่าอะนะ ถึงยังไงก็ละเลยไม่ได้ ณ ตอนนี้ ประเทศไทยเข้าสู่หน้าหนาวอย่างเป็นทางการแล้วเนอะ ว่ากันว่าโรคโควิดจะค่อนข้างอันตรายในช่วงฤดูนี้ ยังไงก็ดูแลตัวเองกันด้วยนะ แต่ไม่ใช่แค่โควิดค่ะซิส ที่เราควรระวัง โรคอื่นๆ ที่มาพร้อมกับลมหนาว ก็ต้องระวังด้วย ซึ่งเท่าที่เราไปอ่านมานั้น โรคที่มาพร้อมกับหน้าหนาวมีประมาณ 6 โรค วันนี้เราก็เลยหยิบมาแชร์ พร้อมบอกอาการ สาเหตุ และวิธีการป้องกัน เพื่อนๆ จะได้ดูแลตัวเองกันได้อย่างตรงจุด สุขภาพจะได้แข็งแรงตลอดหน้าหนาวเนอะ จะมีโรคอะไรบ้าง เราไปดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ
1. ไข้หวัดใหญ่

วิธีรักษา : ขั้นเบสิคที่สุดเลยคือ ดื่มน้ำให้เยอะๆ เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย ที่สำคัญที่สุดคือ เช็ดตัวทุกชั่วโมงด้วยน้ำอุ่น แล้วกินยาลดไข้ตามปกติ แต่ถ้าร่างกายไม่ฟื้นตัว กินยาลดไข้แล้ว ไข้ไม่ลด แนะนำว่าให้ไปพบแพทย์ทันที! เพื่อตรวจเช็คอาการที่แน่ชัดและจะได้รักษาได้ทันทวงทีนะจ๊ะ
วิธีป้องกัน : วิธีที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถป้องกันตัวเองจากโรคนี้ได้คือ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ค่ะ ซึ่งเราว่าทุกคนก็น่าจะฉีดกันหมดทุกคนอยู่แล้ว นอกเหนือจากนี้คือ งดการใช้ของร่วมกับคนอื่นไปก่อนเลย เพราะเราไม่รู้ว่าใครป่วยไม่ป่วย ทำแบบนี้จะได้ช่วยป้องกันตัวเองได้ด้วย แล้วอย่าลืมหมั่นล้างมือให้สะอาด แถมช่วงนี้ก็รณรงค์ให้ใส่แมสกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าละเลยกันนะ
2. โรคปอดบวม

วิธีป้องกัน : เนื่องจากอาการนี้ มักเกิดหลังจากที่เราเป็นไข้หวัด เพราะงั้น เมื่อเพื่อนๆ รู้ตัวว่าเป็นไข้หวัด ให้รีบรับการรักษาทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน พยายามดื่มน้ำอุ่นเยอะๆ อยู่ในพื้นที่อากาศถ่ายเทสะดวกและหมั่นรักษาความสะอาด ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย สำหรับใครที่มีลูกเด็กเล็กแดง ก็อย่าลืมพาไปฉีดวัคซีนป้องกันปอดบวมด้วยนะ
3. โรคหัด

วิธีรักษา : โรคหัดไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงอะไรมากมาย ปัจจุบันนี้มีวัคซีนฉีดป้องกันแล้วนะ (เป็นวัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR) คือสามารถป้องกันโรคคางทูม โรคหัด และโรคหัดเยอรมัน) ยังไงก็พาเด็กๆ ไปฉีดกันได้นะคะ วิธีรักษาขั้นพื้นฐานเลยคือ ทานยาลดไข้ ดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ แล้วอาการทุกอย่างมันจะทุเลาไปเอง แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อน ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที!
วิธีป้องกัน : ด้วยความที่โรคหัดติดต่อทางลมหายใจ ไอ จาม กลุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเด็กช่วงอายุ 5 - 9 ปี เพราะงั้นดูแลหนูๆ กันให้ดีๆ ทางที่ดีที่สุดคือ ควรฉีดวัคซีนรวม หัด หัดเยอรมันและคางทูมซะ ก็จะช่วยป้องกันโรคหัดได้
4. โรคอุจจาระร่วง

อาการ : โรคอุจจาระร่วงที่ว่านี้ สาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส “โรต้า” (Rotavirus) ส่วนใหญ่มักจะพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยกลุ่มที่พบบ่อยที่สุดคือ เด็กอายุ 6 - 12 เดือน อาจจะเพราะเด็กนั้นมีภูมิต้านทานที่ต่ำและมักมีพฤติกรรมชอบหยิบของเข้าปากมั่วไปหมด เพราะฉะนั้นผู้ปกครองต้องดูแลลูกหลานให้ดีๆ นะ
ซึ่งอาการของโรคนี้ จะมีไข้ ถ่ายเหลวและอาเจียนอย่างหนัก จนทำให้เกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง ถึงขั้นช็อกหรือเสียชีวิตได้ เพราะงั้นหากพบว่าลูกหลานเรามีอาการดังกล่าว ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที!
วิธีรักษา : ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรต้าไวรัสแล้วนะ ยังไงก็พาเด็กไปรับวัคซีนซะ เด็กสามารถรับได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือน วัคซีนจะช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรค และลดความรุนแรงลงได้ ทั้งนี้ เราแนะนำว่า อย่าพยายามยื้ออาการด้วยตัวเอง หากพบว่าลูกหลานมีอาการดังกล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษานะคะ
วิธีป้องกัน : นอกจากรับวัคซีนแล้ว อีกปัจจัยสำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องรักษาสุขอนามัยภายในบ้านด้วยนะ เพราะเด็กส่วนใหญ่ชอบหยิบของนู่นนี่นั่นเข้าปากไง ดังนั้นผู้ปกครองจึงจำเป็นต้องระวังในจุดนี้ให้มากๆ เพื่อป้องกันเด็กหยิบจับสิ่งของแล้วติดเชื้อ ที่สำคัญคือหมั่นล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่แออัดหรือย่านชุมชน ก็จะช่วยป้องกันโรคได้ส่วนหนึ่งแล้วค่ะ
5. ไข้สุกใส

อาการ : โรคนี้เป็นอีกหนึ่งโรคที่มักระบาดในหน้าหนาว เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส "วาริเซลลา" (Varicella virus) ซึ่งสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสตุ่มน้ำใสโดยตรง หรือจากการสัมผัสจากของใช้ของคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า เช็ดตัว ผ้าห่ม ที่นอน หรือสูดหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำเข้าไป
โรคนี้ มักจะพบในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี อาการแรกเริ่ม จะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่เลยค่ะ ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามร่างกาย แต่จะต่างกันตรงที่ พวกเขาจะมีผื่นแดงหรือตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย มีอาการคัน ต่อมาจะกลายเป็นหนอง หลังจากนั้นจะแห้งและตกสะเก็ดภายใน 5 - 10 วัน และอาการไข้ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
วิธีรักษา : จริงๆ แล้วต้องรักษาตามอาการ เมื่อมีไข้ ก็กินยาลดไข้ ที่สำคัญคืองดใช้ของร่วมกับคนอื่นด้วยนะ ห้ามแคะแกะเกาบริเวณตุ่มเด็ดขาด! เพราะอาจจะทำให้เกิดการอักเสบและเป็นแผลเป็นได้ ส่วนใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์หรอก เพราะอาการไม่ได้ร้ายแรงมากมายนัก แถมไม่ก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนด้วย สามารถทุเลาลงเองได้ค่ะ
วิธีป้องกัน : ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้สุกใสแล้ว ยังไงก็พาเด็กๆ ไปฉีดกันได้เลย สามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป ส่วนผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยเป็นโรคนี้ ก็สามารถไปฉีดป้องกันได้ด้วยเช่นเดียวกัน ที่สำคัญคือโรคนี้ติดต่อได้ง่ายมาก ผ่านการสัมผัส เพราะฉะนั้นเมื่อพบผู้ที่เป็นโรคนี้ ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกัน หรือสัมผัสถูกตัว แต่ถ้าใครเคยเป็นโรคนี้แล้ว ว่ากันว่าจะไม่เป็นซ้ำอีก เพราะงั้นคนที่เคยเป็นแล้ว สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ป่วยได้ปกติเลยค่ะ แต่ยังไงก็เว้นระยะห่างสักหน่อย คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ
6. โรคผิวหนังแห้ง ลอก และคัน

วิธีรักษา : พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ผิวแห้ง เช่น การอาบน้ำร้อนจัด การใช้สบู่หรือสารทำความสะอาดที่รุนแรงเกินไป แล้วใครที่แพ้อากาศหนาว แนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงอากาศหนาวจัดหรือร้อนจัดไปเลย จะดีที่สุด ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีม หรือสารที่อาจทำอันตรายต่อชั้นผิวด้วย หากรู้สึกว่า อาการที่กำลังเป็นอยู่รุนแรงขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาในขั้นตอนต่อไปนะคะ
วิธีป้องกัน : อย่างแรกเลยคือ พยายามดื่มน้ำให้เยอะๆ นะ หรืออาจจะทานอาหารเสริมหรืออาหารบางอย่าง ที่มีวิตามินเอ บี ซี แร่สังกะสี ก็สามารถช่วยได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ควรทาครีมบำรุงผิวที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ โดยครีมที่เลือกใช้ ควรปราศจากสารที่อาจทำให้ผิวมีการระคายเคือง เช่น Paraben, Alcohol, น้ำหอม และสารอันตรายอื่นๆ ด้วย

และทั้งหมดนี้ ก็เป็นโรคที่มากับหน้าหนาว เอาจริงๆ ไม่ใช่แค่ต้องระวังโควิดนะ แต่เพื่อนๆ ก็ต้องระวังโรคอื่นๆ ที่มาพร้อมกับฤดูกาลนี้ด้วย ดูแลสุขภาพให้ดี กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ก็ถือว่าเป็นการดูแลสุขภาพไปได้ระดับนึงแล้ว
หนาวนี้ ยังไงก็ดูแลสุขภาพด้วยนะ บ๊ายบาย