
สวัสดีค่า สาวๆ SistaCafe คนอยากผิวสวย ใสเด้งทุกคน! (*˘︶˘*).。.:*♡
หากต้องเลือกสกินแคร์บำรุงผิวที่ดีที่สุด ยังไงก็ต้องยกให้ ' ครีมกันแดด ' ที่ช่วยป้องกันผิวจากการทำลายของแสงแดด ยิ่งสภาพอากาศเมืองไทยที่แดดจ้ายิ่งกว่าอยู่ในนรกแล้วนั้น ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ ป้องกันรังสี UVA/UVB ยิ่งเป็นไอเทมที่ต้องพกติดกระเป๋าไว้ตลอด แต่ก็มีสาวๆ หลายคนที่โวยวายว่า ' ทากันแดดแล้วนะ แต่ทำไมผิวไม่ดีขึ้นเลย คล้ำเสีย ริ้วรอยตีนกาก็ขึ้น หลอกกันรึเปล่าเนี่ย!? ' #ว่าซั่น

สาวๆ บางคนเอาสะดวกเข้าว่า ไม่ชอบทากันแดดล่วงหน้า ไว้เจอแดดก่อนค่อยทา ซึ่งกันแดดบางยี่ห้อก็เคลมว่าทาแล้วออกแดดได้ทันทีอยู่หรอก แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ 100% ยิ่งไปเจอแดดแรงอย่างช่วงเที่ยงๆ หรือทำกิจกรรม เล่นกีฬา ไปทะเลกลางแจ้ง เจอแดดแล้วค่อยทา อาจจะปกป้องผิวไม่ทันการ ผิวคล้ำเสีย แสบแดงเหมือนกุ้งเผาไปเสียก่อน
วิธีสากลที่ทั่วโลกใช้ คือทาครีมกันแดดก่อนออกแดด ' อย่างต่ำ 20 นาที ' เพื่อปล่อยให้เนื้อครีมซึมเข้าผิว และออกฤทธิ์ป้องกันรังสียูวีอย่างเต็มที่ และควรส่องกระจกบานใหญ่ เพื่อทาให้ทั่วถึงเท่ากันทั้งตัวก่อนใส่เสื้อผ้า จะได้ไม่หลงลืมมุมอับบนร่างกาย เช่น ซอกแขน ซอกขา หลังใบหู เป็นต้นค่ะ

จะทาครีมกันแดดให้ได้ผล จะมาประหยัดเกินเหตุ ทาทั้งตัวแต่บีบแค่หยดเดียวไม่ได้ ไม่เห็นผลค่ะซิสขา! แม้กันแดดยี่ห้อที่ซื้อมาจะราคาแพงแค่ไหน ก็อย่าไปเสียดาย เพราะการทาน้อยเกินไป ก็ทำให้ค่า SPF ที่ทาลงผิวน้อยลงไปด้วย ถ้าเธอซื้อกันแดดหน้า SPF50+ แต่เธอใช้แค่ครึ่งเดียว SPF ก็จะเหลือแค่ครึ่งเดียวเช่นกัน ไม่แปลกที่ทาแล้วผิวยังคล้ำ เพราะมันยังกันแดดได้ไม่พอไงล่ะ!
ปริมาณกันแดดที่ควรใช้คือ ทาผิวหน้า สองข้อนิ้วมือหรือขนาดเท่าเหรียญสิบ และผิวตัวทั้งหมด อย่างน้อย 1 แก้วช็อตเล็กๆ หรือ 30 มิลลิลิตร ถ้าจะทากันแดดแล้วแต่งหน้าต่อ ก็เลือกใช้แบบสีเนื้อหรือแบบน้ำที่ซึมเข้าผิวไวๆ จะได้ไม่เกิดปัญหาหน้าวอก หน้าลอย หรือเหนียวหน้าจนเกินไปนะคะ

สาวๆ ส่วนใหญ่มักทากันแดดแค่ใบหน้า แขน ขา เพราะเป็นส่วนหลักๆ ที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าสัมผัสกับแสงแดด แต่ที่จริงร่างกายของเรายังมีผิวอีกหลายส่วนที่เจอแดดจังๆ แต่เรามักหลงลืมไป ทำให้เวลาออกแดดจ้าทั้งวัน จะเกิดอาการแสบร้อน คันยุบยับตรงอวัยวะบางส่วน เช่น หลังใบหู หลังมือ ซอกนิ้วมือ ซอกนิ้วเท้า ทำให้ใส่เสื้อผ้าโชว์ผิว ถ่ายรูปแล้วไม่สวยได้ ยังไม่นับความแสบตอนอาบน้ำ แช่น้ำอีกนะ #แค่คิดก็สยองแล้ว!
' ริมฝีปาก ' เป็นอวัยวะที่เห็นง่าย แต่คนมักลืมไปว่ามันก็คือผิวหนัง ต้องทากันแดดด้วยเช่นกัน! ทุกครั้งที่ออกแดด อย่าลืมทาลิปบาล์มที่มีค่า SPF เพื่อป้องกันไม่ให้ปากแห้งแตก แสบร้อนจากรังสียูวี เพิ่มความชุ่มชื้น นอกจากทาปากแล้ว ยังใช้ลิปบาล์มกับผิวส่วนที่ละเอียดอ่อนได้ด้วย ในกรณีที่เธอมีผิวเซนซิทีฟ เช่น เปลือกตา เป็นต้น

อยากผิวสวยเรียบเนียน คงความใส ริ้วรอยไม่มาย่างกราย ต้องไม่ขี้เกียจทากันแดดค่ะ! สาวๆ บางคนทากันแดดแค่ครั้งเดียว คือตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน ทั้งที่ตารางทำกิจกรรมเอาท์ดอร์แน่นเอี๊ยด ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตามหลักวิทยาศาสตร์ กันแดดมันเริ่มหมดฤทธิ์ตั้งแต่ช่วงเที่ยงๆ แล้ว ไหนจะเหงื่อที่ไหลชะล้างครีมออกไปอีก เท่ากับว่าช่วงบ่ายเธอเอาผิวที่เกือบจะเปลือยเปล่ารับแดดเต็มๆ จะมีผิวแสบไหม้ ผิวลอกก็เรื่องปกติ
ครีมกันแดดไม่ใช่ยาวิเศษ ที่ทาครั้งเดียวแล้วจะอยู่ได้ตลอดไป ต้องทาซ้ำอย่างต่ำทุก 2 ชั่วโมง เพื่อคงประสิทธิภาพของกันแดดไว้ โดยเฉพาะหากรู้ว่าต้องทำกิจกรรมที่เจอน้ำเยอะๆ อย่างการว่ายน้ำ หรือเป็นคนเหงื่อออกเยอะก็เช่นกัน แม้กันแดดหลายยี่ห้อจะเคลมว่า ' กันน้ำได้ ' แต่ที่จริงกันได้แค่ 40-80 นาทีหลังลงน้ำเท่านั้นแหละ ดังนั้นไม่ว่าจะยุ่งยังไง ก็ต้องหาเวลาทาซ้ำให้ได้ค่ะ

อยากผิวสวยอย่ามักง่าย! โดยเฉพาะถ้าใช้กันแดดแบบครีมที่เนื้อเข้มข้น ต้องให้เวลาในการวอร์มเนื้อ แล้วค่อยๆ เกลี่ยให้เนียนซึมเข้าผิว จะมาปาดๆ ลวกๆ ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดเหตุการณ์ที่ว่า แขนขาพอกครีมซะหนาเตอะ แต่ทาช่วงอกแค่บางๆ เพราะกลัวเหนียว ค่า SPF ไปกองอยู่ที่แขนขาหมด พอเจอแดดจริงๆ มีแต่ผิวช่วงแขนขาที่รอด ส่วนผิวช่วงหน้าอกดำไหม้เกรียมเป็นกุ้งเผาเลยจ่ะ T T
การทากันแดดที่ได้ผลจริงๆ ควรทาให้ทั่วร่างกาย แม้ในส่วนที่ปิดใต้ร่มผ้าก็ตาม แต่ต้องทาส่วนที่โผล่พ้นใต้เสื้อผ้าออกมาให้เยอะเป็นพิเศษ ถ้าใช้กันแดดแบบสเปรย์ ไม่จำเป็นต้องไปถูหรือนวดให้ซึม แต่ต้องแน่ใจว่าพ่นทั่วผิวบริเวณนั้นจริงๆ ถ้ากลัวมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ให้สเปรย์ซ้ำๆ จนเกิดเงาขึ้นที่ผิวทั่วตัว แปลว่าเราพ่นได้ในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว พร้อมออกแดดค่ะ

ความเข้าใจผิดอย่างนึงที่สาวๆ ส่วนใหญ่คิด ( ไปเอง ) คือวันที่เมฆเยอะ ฟ้าครึ้ม ไม่มีแดด คือไม่มีรังสียูวี ไม่ต้องทากันแดดก็ได้ ซึ่งเป็นอันตรายกับผิวมากๆ! ความจริงก็คือ ถ้าอยู่ในช่วงกลางวัน แม้จะเป็นวันที่ฟ้าหม่นแค่ไหน แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังอยู่ที่เดิม รังสียูวีเกือบ 80% ก็ส่องผ่านเมฆทะลุเข้าชั้นผิวของเธออยู่ดี แม้จะอยู่ในห้องบนตึก หน้าต่างที่ปิดสนิทก็ป้องกันแค่ UVB แต่ไม่อาจกันรังสี UVA ได้อยู่ดีค่ะ

จิตวิญญาณคนขี้งก เสียดายของเข้าสิง! ซื้อกันแดดลดราคาแบบยกโหลมา ใช้ไม่ทัน กันแดดบางขวดหมดอายุไปหลายเดือน บางขวดเป็นปีแล้ว จนเนื้อสัมผัสเปลี่ยน กลิ่นก็เริ่มหืน แต่ก็ยังเอามาทาอยู่นั่น หยุดหาทำ! กันแดดโดยปกติจะมีอายุไม่เกิน 3 ปีเท่านั้น หากใช้ของที่เสื่อมสภาพแล้ว เราไม่รู้เลยว่าสารเคมีที่ผสมในครีมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เบาหน่อยก็แค่กันแดดไม่ได้เท่าเดิม หรือเป็นเนื้อริ้วๆ ลอกเป็นขุยๆ แต่ถ้าผิวแพ้ง่าย ก็อาจขึ้นเป็นผื่นแดง คันคะเยอได้เลยนะคะซิส เสียค่ายา ค่าหาหมอแพงกว่าค่ากันแดดงี้ ไม่คุ้มเวอร์
จะซื้อกันแดดแต่ละที แม้จะซื้อช่วงเซลส์ก็ตาม ควรเช็ควันหมดอายุทุกครั้ง ถ้าไม่มีวันหมดอายุที่ฉลาก ก็นับต่อจากวันที่ซื้อไปอีก 3 ปี ถ้าของลดราคา ก็นับต่อไปอีก 1 ปีหรือ 2 ปี ดูจากสภาพขวดเป็นหลัก แต่จากประสบการณ์ตรง ถ้าซื้อของลดราคาเกิน 50% ก็ใช้ให้หมดภายในปีนั้นจะดีที่สุดค่ะ

-------------------------
เป็นไงสาวๆ เข้าข่ายข้อไหนกันบ้าง? มันไม่ใช่ว่าทาครีมกันแดดปาดๆ ลวกๆ แล้วจะจบนะจ๊ะ ต้องทาให้ครบทุกส่วนของร่างกาย ทาให้ซึมเข้าผิว เพื่อดึงประสิทธิภาพของเนื้อครีมออกมาอย่างเต็มที่ ยิ่งแดดบ้านเราค่อนข้างแรง ก็ยิ่งต้องใส่ใจในการทาเป็นพิเศษ เหมือนเวลากินยารักษาโรคน่ะ ถ้าโดสเบาไปก็เอาไม่อยู่ ถ้ากินผิดเวลาก็ส่งผลเสีย ครีมกันแดดก็ถือเป็นยารักษาผิวอย่างนึงเช่นกัน จึงควรทำตามวิธีที่ถูกต้องอย่างเคร่งครัดค่ะ
อาจจะดูยุ่งยากหลายขั้นตอน แต่เมื่ออายุมากขึ้น ผิวของเธอจะดูเด็กกว่าวัย ริ้วรอยน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ทา ไม่ต้องให้หมอซ่อมผิวทีหลัง เท่านี้ก็ถือว่าคุ้มมากๆ แล้ว ❤ ขยันทากันแดดไว้ เพื่อคงผิวสวยตลอดไปนะคะ วันนี้ขอตัวลาไปก่อน พบกันใหม่คราวหน้าน้า บ๊ายบาย
Comments