รูปภาพ:https://data.whicdn.com/images/145150537/original.gif

♡ สวัสดีค่ะ สาวๆSistaCafeผู้มุ่งมั่นกับการเรียนทุกคน!แม้ประสบการณ์นอกห้องเรียน อย่างการทำกิจกรรม การเข้าค่ายเพื่อสังคม จะสำคัญในการใช้ชีวิตจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า' เกรดในห้องเรียน 'ก็เป็นส่วนชี้ชะตาอนาคตส่วนนึงของเราเช่นกันไม่ว่าจะนำไปยื่นสอบตรง ยื่นผ่านแอดมิชชั่น หรือเกรดในมหาลัยที่สุดท้ายก็ต้องเด่นหราในทรานสคริปต์ ให้ HR พิจารณาเวลาไปสมัครงาน ถ้าเกรดน้อย ก็ยากที่จะเข้าที่ดีๆ ได้ ตัวเลือกเยอะ เขาก็เอาคนเกรดสูงก่อน โลกความจริงหลังเรียนจบมันโหดร้ายกว่าที่เราคิดเยอะค่ะ (。╯︵╰。)มีสาวซิสวัยเรียนหลายคนที่ติดเล่นมากไปหน่อย จนเกรดเริ่มตกลง ตกลงเรื่อยๆ ติด F ติดศูนย์หลายเทอมจนที่บ้านด่าเช้าเย็น บางคนเสี่ยงจะถูกรีไทร์หรือซ้ำชั้น บางคนเคยเรียนเก่ง แต่เมื่อขึ้นชั้นยากขึ้น ผลการเรียนก็แย่ลงก็มีบทความนี้จึงขอบอกต่อ' 7 ทริค เรียนเพิ่มเกรด ลุ้นเก็ท A ทุกวิชา 'รับรองว่านำทริคเหล่านี้ไปใช้ ผลการเรียนของเธอจะดีขึ้น เรียนรู้เรื่องกว่าเดิมอย่างแน่นอน มาทำให้พ่อแม่ชื่นใจกันเถอะค่ะซิส σ(≧ε≦σ) ♡

1. ปรับมุมมองใหม่ ให้คิดว่าการเรียนเป็น 'มิตร' ไม่ใช่ 'ศัตรู'!

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/2999b00c4389067997f87bc624d9b729.jpg

สิ่งแรกที่ต้องมี ถ้าอยากเป็นคนเรียนเก่งคือ ' ทัศนคติทางบวกต่อการเรียน ' ค่ะ ตราบใดที่เธอมองการบ้าน กองหนังสือ ห้องเรียนเหมือนนรก ถูกส่งไปทรมาน นั่งภาวนาว่าเมื่อไหร่จะหมดคาบ ก็คงยากที่เธอจะเกรดดีขึ้นด้วย mindset แบบนั้น


บางคนก็กดดันตัวเอง พอผลเกรดออกมาแย่ ทั้งที่ตั้งใจระดับนึงแล้วก็ร้องไห้เสียใจ มีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้าอีก ถ้าอยากหลุดพ้นเรื่องพวกนี้ ต้องตัดความคิดลบในใจออกไปให้ได้ค่ะ!

ถามตัวเองอย่างจริงจังว่า" อยากเรียนดีขึ้นไปเพื่ออะไร "แล้วยึดเป้าหมายนั้นเป็นหลัก เช่น อยากเรียนต่อเมืองนอก, อยากเกรดดีให้พ่อแม่ภูมิใจ, อยากยื่นเกรดเพื่อขอทุน etc. มองการเรียนคือเครื่องมือ ทางผ่านสู่การบรรลุเป้าหมายนั้น


ดังนั้นเราควรมองการเรียนเหมือนตัวช่วย เป็นฝ่าย support การทำมาหากินในชีวิตของเรา เหมือนเวลาเรามีเพื่อนเพื่อสร้างคอนเนคชั่นนั่นแหละ เมื่อเรามองการเรียนในแง่บวกแล้ว เวลาต้องทำการบ้าน ทบทวนบทเรียนก็จะไม่ฝืนใจ ไม่ทรมาน และไม่ท้อกลางทางค่ะ

2. เวลาหัวตื้อ คิดงานไม่ออก ทำการบ้านไม่ไหว 'ออกกำลังกาย' ช่วยได้!

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/83ce120282551649286e86eaf629a57c.jpg

บางครั้งเวลาเรานั่งอ่านหนังสือ ทำการบ้านบนโต๊ะในท่าเดิมหลายชั่วโมง ก็ย่อมจะเกิดอาการ ' Brain Fog ' หรือสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมเป็นเวลานาน

ใครเจอปัญหานี้อยู่บ่อยๆ เราแนะนำให้เธอไป ' ออกกำลังกาย ' หรืออย่างน้อยก็ยืดเส้นยืดสาย เดินไปมา ขยับแข้งขยับขาบ้าง เพื่อให้เลือดลมสูบฉีดไหลเวียน สมองจะปลอดโปร่งขึ้นทันตาเห็นเลยล่ะค่ะ

บางคนเติบโตมากับพ่อแม่ที่เข้มงวด โดน ' บังคับ ' ให้นั่งที่เดิมจนกว่างานจะเสร็จ ทำให้เครียด และคิดงานได้ไม่ออกเท่าที่ควร บางคนส่งผลให้เกลียดการเรียนไปเลยทีเดียว


งานบางอย่าง โดยเฉพาะที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ จะนั่งอยู่แต่ที่เดิมๆ ก็ยากที่จะได้ไอเดียใหม่ ลุกออกมาออกกำลังกาย เดินเล่น ฟังเพลง ดูคลิปสั้นๆ ให้หัวโล่งๆ บ้าง แล้วค่อยกลับไปอ่านใหม่ เธอจะทำงาน ทำการบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คอนเฟิร์ม!

3. ตั้งใจเรียนในห้องให้มากขึ้น และหัด 'ถามคำถาม' เมื่อมีข้อสงสัย

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/23e95cbc02a11bd13c3c6acb2ecaf701.jpg

สาวๆ หลายคนโดยเนื้อแท้แล้วเป็นคนหัวดี ฉลาด แต่เสียแค่ติดเล่น ไม่ค่อยตั้งใจฟังครูสอนในห้อง หลับสัปหงกน้ำลายยืดใส่หนังสือ เม้าท์แตกกับเพื่อน พออ่านเองก็ไม่รู้เรื่อง เลยปล่อยเลยตามเลย เกรดก็ตกตามระเบียบ!


ถ้าอยากเรียนได้คะแนนดีขึ้น ต้องเริ่มจากการฟังในคาบให้รู้เรื่องก่อน อย่าจดทุกอย่างบนกระดานเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ให้ฟังแล้วสรุปสั้นๆ ค่อยเขียนลงสมุดหรือพิมพ์ลงไอแพด เลคเชอร์ของเธอจะสั้นลง ไม่ต้องเขียนเยอะให้เมื่อยมือด้วยค่ะ

เธออาจจะใช้ตัวย่อ ลายมือหวัดๆ เพื่อให้จดทัน แต่ต้องแน่ใจว่าเธอจะอ่านออกเมื่อกลับไปอ่านทวนภายหลัง สาวเรียนเก่งบางคนใช้ทริคจดหวัดๆ ไปก่อน แล้วค่อยถอดเป็นเลคเชอร์ลายมือดีๆ อีกรอบที่บ้านเพื่อทบทวนไปด้วยในตัวสุดท้าย อย่ากลัวที่จะถามครูหากไม่เข้าใจในบทเรียน ถ้าไม่กล้ายกมือถาม ก็แอบไปเลียบๆ เคียงๆ ถามนอกเวลาก็ได้ ครูที่ดีจะช่วยอธิบายจนเราเข้าใจ แต่ถ้าเจอครูที่ไม่ค่อยโอเค ก็ถามเพื่อนหัวกะทิ หรือรุ่นพี่ที่เรียนจบมาแล้วก็ได้ หลักๆ คืออย่าปล่อยให้ตัวเองงง ถ้าไม่แก้ความงงตั้งแต่ตอนนี้ พอมีบทเรียนใหม่ๆ เธอจะยิ่งต่อไม่ติด ไม่เข้าใจ สุดท้ายก็สอบตกเหมือนเดิม (--_--)

4. จัดการสิ่งต่างๆ ในชีวิตให้ดีขึ้น เมื่อชีวิตราบรื่น การเรียนก็จะดีตาม!

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/6c31c9f2a1d9ba4319bcab70657e6829.jpg

อาจจะดูไม่เกี่ยวกับบทเรียนโดยตรง แต่เชื่อไหมว่า' การจัดระเบียบชีวิต 'เช่น การจัดของรกๆ ในห้องให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ช่วยให้เรียนเก่งขึ้นได้

!

เคยมีคำกล่าวว่า ห้องส่วนตัวจะบ่งบอกถึงสภาพจิตใจคนอยู่ในขณะนั้น คนที่ห้องรก หนังสือไปทาง เสื้อผ้าไปทาง ก็บอกได้ว่าเธอมีเรื่องหัวหมุน ยุ่งเหยิง หากใช้ชีวิตในห้องแบบนั้นจะยิ่งฟุ้งซ่าน ทำให้อ่านหนังสือได้ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ

นึกสภาพว่าจะอ่านวิชาไหนดี ก็ต้องคุ้ยหาหนังสือในกองเสื้อผ้าที มันดูวุ่นวายไปหมด =_=

เคลียร์สมองให้โล่ง เริ่มจากจัดห้องให้เป็นระเบียบก่อน ถ้ายังไม่มีเวลาทำความสะอาดทั้งห้อง อย่างน้อยก็จัดโซนโต๊ะทำการบ้านให้โล่งๆ วางของที่จำเป็นไว้ให้ครบครัน เช่น โคมไฟ เครื่องเขียน หนังสือเรียน แล็ปท็อป สมุดโน้ต ปฏิทิน ใช้เสร็จก็เก็บเข้าที่เดิมทุกครั้ง


เพื่อลดเวลาไปงมหาของ ทำให้เธอโฟกัสกับเนื้อหาในบทเรียนได้มากขึ้นด้วยค่ะอ้อ! ถ้าต้องนั่งทั้งวัน เก้าอี้ที่ช่วยซัพพอร์ตช่วงหลัง นั่งแล้วนุ่มสบายไม่ปวดหลัง ก็เป็นสิ่งที่น่าลงทุน ใช้ได้ตั้งวัยเรียนยันวัยทำงานที่ต้องนั่งหน้าโต๊ะทั้งวันเลยล่ะค่ะ ถ้ามีงบก็ซื้อเลย!  (´♡‿♡`)

5. จดโน้ตเลคเชอร์ในคาบอย่างมี 'เทคนิค' มากขึ้น

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/b427a8fe279ecd198619d3cb16fb9812.jpg

บางทีที่เธอเรียนไม่เก่ง ไม่เข้าใจบทเรียนเท่าที่ควร อาจเพราะเธอจดโน้ตเลคเชอร์ไม่ดีเท่าที่ควรค่ะ! อย่างที่บอกไปข้อข้างบนว่า

การรีบเขียนแบบหวัดๆ หรือใช้ตัวย่อเต็มไปหมด เวลากลับมาทบทวนอาจมึนตึ๊บ พาลไม่อยากอ่านซ้ำ, ใช้ภาษาทางการที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าบทเรียนจะสื่อถึงอะไร เพราะไม่ได้คิดวิเคราะห์ก่อนจดโน้ต, ใช้ปากกาสีเดิมๆ กับทุกวิชา อ่านแล้วเบลอ, ประหยัดเกินเหตุ จดทุกวิชาในสมุดเล่มเดียว ทำให้อ่านแล้วตีสับสนกับวิชาอื่นได้

เป็นต้น

เราแนะนำให้มีสมุดเลคเชอร์แยกแต่ละวิชา อย่างน้อยวิชาละเล่ม และใช้ปากกาให้มากกว่า 1 สีเป็นอย่างต่ำ เพราะสีจะกระตุ้นสมองให้จำได้ง่ายขึ้น มีสัก 2-3 สีกำลังดี เพราะสีเยอะไปก็สับสนเช่นกัน พยายามถอดเลคเชอร์ในห้อง คัดลอกใส่สมุดจดอีกรอบด้วยลายมือบรรจง


อ่านก่อนจดเพื่อทำความเข้าใจไปด้วย และควรทำทุกวัน ไม่ควรยกยอดเป็นสัปดาห์แล้วมาจดทีเดียว นอกจากเมื่อยมือแล้ว ข้อมูลที่เยอะเกินไปจะทำให้สมอง overload สุดท้ายจำไม่ได้สักวิชา ทำทีละนิด ให้สมองมีเวลาซึมซับจะดีกว่า

6. ค้นหา ’สไตล์การเรียนหนังสือ' ที่เหมาะสมกับตัวเอง

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/6dce903295e8b39967a6518811abb91d.jpg

ผู้เรียนแต่ละคนเป็นมนุษย์ ไม่ใช่หุ่นยนต์ จึงย่อมมีสไตล์การเรียนที่แตกต่างกัน บางคนต้องเคี่ยวหนักๆ บังคับเยอะๆ เน้นกดดันถึงจะเกรดสูง แต่บางคนก็ต้องค่อยๆ ตะล่อมสอน ใช้กิจกรรมมาล่อ


แม้แต่วิธีอ่านหนังสือเรียน บางคนต้องเงียบสงบเท่านั้นถึงจะมีสมาธิ แต่บางคนต้องฟังเพลงคลอเบาๆ ถึงจะโฟกัสกับบทเรียนได้ หากปัจจุบันเธอได้เกรดไม่โอเค อาจเพราะยังหาวิธีเรียนไม่เหมาะกับตัวเองก็เป็นได้!

ทางออกในเรื่องนี้ คือลองใช้วิธีเรียน หรืออ่านหนังสือในหลายๆ แบบ แล้วดูว่าแบบไหนทำให้เรามีสมาธิ จำบทเรียนได้ ตอบคำถามในข้อสอบได้เยอะที่สุด แล้วยึดสไตล์นั้นเป็นหลัก จำไว้เสมอว่าการเรียน ต้องเรียนให้สนุกและได้ความรู้ ถ้าเรียนแบบไหนแล้วเป็นทุกข์ แสดงว่าการเรียนแบบนั้นไม่เหมาะกับเราสาวๆ สามารถเพิ่มแรงบันดาลใจได้ ด้วยการติดโพสต์อิทให้กำลังใจตัวเอง, ติดรูปดาราไอดอลที่ชื่นชอบ, ตั้งวอลเปเปอร์คอมกับมือถือเป็นไอดอลด้านการเรียน ก็เป็นแรงกระตุ้นอ้อมๆ ให้เธอเกรดดีขึ้นได้เช่นกันค่ะ

7. หาเวลาวันหยุด และหลังเลิกเรียนเพื่อ 'ทบทวนบทเรียน' บ่อยๆ

รูปภาพ:https://www.img.in.th/images/bd4df310a2acc51215665aa690838688.jpg

การเรียนทั้งในมัธยมและมหาวิทยาลัย มักมีเนื้อหาเยอะหลายวิชา ถ้าเธอไม่ใช่อัจฉริยะมาเกิดจริงๆ อย่าฝากความหวังไว้กับ ' One Night Miracle ' หรืออ่านหนังสือทุกวิชาโต้รุ่งในคืนเดียว มันไม่มีทางจำได้ เผลอๆ ง่วงจัด หลับคาห้องสอบไปอีก!

จะเรียนดีต้องอย่าขี้เกียจ ควรหาเวลาทั้งช่วงหลังเลิกเรียน และเสาร์อาทิตย์มาทบทวนบทเรียนเป็นประจำค่ะ ค่อยๆ อ่านวันละ 2-3 หน้า สมองจะจดจำได้ดีกว่า และไม่เครียดจนเกินไปด้วย

ลองทดสอบตัวเองด้วยการ ทำข้อสอบหลอกๆ ( mock exams ) จากหนังสือเรียน แล้วจับเวลาทำดู ถ้าตอบไม่ค่อยได้หรือตอบผิด แสดงว่าเธอยังทบทวนได้ไม่มากพอ

หากเป็นวิชาท่องจำก็เน้นท่องซ้ำๆ ย้ำๆ จนกว่าจะจำได้ ยิ่งทวนบ่อยยิ่งได้เปรียบ! แต่ถ้าเป็นวิชาที่ใช้ความเข้าใจ เช่น เลข วิทยาศาสตร์ ก็ถามครูจนกว่าจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง แล้วหมั่นนำความรู้นั้นไปฝึกทำโจทย์ ทำข้อสอบย้อนหลัง รับรองว่าเกรด A อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมชัวร์

รูปภาพ:https://data.whicdn.com/images/145150537/original.gif

------------------------------------

จบลงไปแล้วกับทริคเรียนดี เพิ่มเกรดในห้องทั้ง 7 ขั้นตอน ที่นักเรียนคนไหนก็เริ่มทำตามได้เลย ไม่ต้องรอ!การเรียนที่มีประสิทธิภาพนั้น นอกจากทำความเข้าใจในคาบแล้ว ก็ควรนำมาต่อยอดด้วยการจดเลคเชอร์เป็นภาษาตัวเอง ใช้สีปากกาช่วยแยกหมวดหมู่ความคิด หาเวลาทบทวนอยู่เสมอ หากไม่สงสัยก็อย่าลังเลที่จะถาม แม้แต่ปัจจัยอ้อมๆ อย่างจัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ หรือออกกำลังกายก็ล้วนทำให้สมองปลอดโปร่ง ไม่ว่าจะวิชาไหนเธอจะเรียนได้ดีขึ้น เข้าห้องสอบได้อย่างมั่นใจลองเริ่มจากเทอมนี้ดูก่อนก็ได้ เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนอย่างแน่นอน สุดท้ายนี้ขออวยพรให้สาวๆ เก็ท A ล้วน สอบทุกอย่างผ่านฉลุย แต่ต้องขยันอ่านหนังสือด้วยนะคะ! วันนี้ไปแล้ว บ๊ายบาย