![โละทิ้งได้แล้ว เดี๋ยวราขึ้น! 7 'ของกิน ของใช้ในบ้าน' ที่อาจหมดอายุนานแล้ว แต่เรายังใช้อยู่ไม่รู้ตัว -[]-](https://image.sistacafe.com/w10/images/uploads/summary/image/80175/94306388_234546451126431_5698242652435582077_n.jpg)
โละทิ้งได้แล้ว เดี๋ยวราขึ้น! 7 'ของกิน ของใช้ในบ้าน' ที่อาจหมดอายุนานแล้ว แต่เรายังใช้อยู่ไม่รู้ตัว -[]-
ของกิน ของใช้ทุกอย่างมีวันหมดอายุนะจ๊ะ ไม่ใช่ใช้ได้ตลอดไป! ลองเช็คสิ่งของเหล่านี้ในบ้านซิว่า หมดอายุไปนานแล้วรึยัง? ถ้าเก่าเก็บมาก รีบเปลี่ยนอันใหม่อย่างด่วน แหล่งสะสมเชื้อโรคทั้งนั้นค่ะซิส

สวัสดีค่าา สาวๆ SistaCafe คนน่ารักทุกคน (*¯ ³¯*)♡
เคยมั้ย? เวลาจะใช้ของสักสิ่งในบ้าน แล้วสงสัยว่าเราซื้อมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่จำได้มันก็ตั้งอยู่ตรงนั้นมาตลอด ประหนึ่งว่ามันไม่มีวันหมดอายุ เช่น ของกินในรูปแบบผงเช่นเครื่องเทศสมุนไพร หรือของใช้ประเภทแปรงสีฟันในห้องน้ำ ฟองน้ำล้างจาน ยารักษาโรคที่วางทิ้งไว้ในบ้านจนลืมว่าซื้อมาตั้งแต่ปีไหน ยังไม่นับหมอนในห้องที่บางคนหนุนมาเกินครึ่งชีวิต นุ่นในนั้นขึ้นราไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้... #อี๋ย์
บางทีอาจถึงเวลาแล้วที่ต้องเช็ควันหมดอายุของพวกนี้อย่างจริงจัง ของชิ้นไหนที่เลยวันผลิตมานานเกินไป ก็เตรียมเซย์กู๊ดบายด่วนๆ ก่อนที่มันจะเป็นแหล่งเชื้อโรค ทำให้เธอป่วยได้ในอนาคต หาวันว่าง แปลงร่างตัวเองเป็นมาริเอะ คนโดะ แล้วเตรียมเก็บกวาดของเก่าที่ไม่ spark joy ( และไม่ healthy ด้วย! ) ไปพร้อมๆ กันกับเราใน ' 7 ของกินของใช้ ที่อาจหมดอายุไปนานแล้ว แต่เรายังเผลอเอามาใช้อยู่โดยไม่รู้ตัว ' เลยดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดีของเธอเอง!!!
1. แปรงสีฟัน [ ควรทิ้งทุก 3-4 เดือน ]

แปรงสีฟันนี่แหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียเลย! ปากเรากินอาหารมามากมาย พอผสมกับน้ำลายก็กลายเป็นเชื้อโรคสะสม ไม่ใช่แค่การใช้งานปกติ แต่เวลาเราล้างห้องน้ำ ละอองน้ำยาล้างห้องน้ำสาดกระเซ็น หรือล้างมือแรงแล้วน้ำกระเด็นโดน แบคทีเรีย 100-200 สปีชี่ส์ ก็กระจายตัวติดตามขนแปรงแล้ว แล้วนึกภาพเราเอาเชื้อแบคทีเรียพวกนั้นกลับเข้าไปในปากใหม่สิ... #ขนลุกซู่
2. ยารักษาโรคที่ซื้อได้ทั่วไป [ ควรทิ้งปีละครั้ง ]

ยารักษาโรคต่างๆ ที่ซื้อตามร้านขายยา หรือแผนกยาในซูเปอร์ ไม่ได้ซื้อครั้งเดียวใช้ได้ตลอดกาลน้า ถึงวันหมดอายุจะนานหน่อย แต่ถึงเวลาก็ต้องทิ้งเหมือนกัน! ยาปกติจะมีประสิทธิภาพไม่ต่ำกว่า 90% จนกว่าจะถึงวันหมดอายุ จึงควรเก็บยาเก่าๆ ทิ้งทุกปี ทั้งนี้ต้องเก็บให้ถูกวิธีด้วย ( ที่แห้งและเย็น ) ถ้าเธอวางทิ้งโดนแสงแดดจัดทุกวัน ยาก็อาจเสื่อมสภาพเร็วกว่านั้น หลังจากยาหมดอายุ ประสิทธิภาพจะลดลงเรื่อยๆ แย่กว่านั้นสารในยาจะเปลี่ยนสภาพ กลายเป็นอันตรายกับร่างกายเราแทน!
3. เครื่องสำอาง [ ควรทิ้งทุก 3 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทของเมคอัพ ]

สายบิวตี้น่าจะพอรู้กันอยู่แล้วว่า เครื่องสำอางต้องคอยเก็บทิ้งอยู่เรื่อยๆ เพราะอายุค่อนข้างสั้น เร็วสุดคือมาสคาร่า ที่มีอายุหลังเปิดใช้เพียง 3 เดือนเท่านั้น! อย่าเห็นว่าเป็นยี่ห้อราคาแพง หรือเป็นแพ็กเกจ limited edition เลยเสียดายไม่กล้าทิ้ง เพราะไม่คุ้มกับสภาพผิวหนังของเธอเลย ถ้าโชคดีไม่แพ้ก็รอดไป แต่ถ้าแจ็กพอตผิวเซนซิทีฟ แล้วเผลอใช้ของหมดอายุ ขึ้นผื่นแพ้แดง เป็นตุ่ม ตาอักเสบ ปากเจ่อขึ้นมา คราวนี้ไม่ได้แต่งหน้าอีกยาวเลยเด้อ!
อายุเครื่องสำอางโดยประมาณ : มาสคาร่า อายแชโดว์และอายไลเนอร์ 3-6 เดือน, ลิปสติกและแป้งทาหน้า 1 ปี ทั้งนี้ เมคอัพส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีวันหมดอายุแปะที่ฉลาก หากสาวๆ มีของหลายชิ้น ซื้อสติกเกอร์สีขาวแบบที่เขียนทับได้ เขียนวันที่ซื้อแล้วแปะไว้เตือนความจำก็ดีค่ะ และหลังใช้เสร็จ ควรปิดฝา/ตลับให้มิดชิด วางไว้ในที่แห้งและเย็น เพื่อป้องกันการก่อตัวของเชื้อโรค โดยเฉพาะเมคอัพเนื้อครีมที่อาจมีเชื้อปนเปื้อน เสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย
4. สมุนไพรและเครื่องเทศ [ ควรทิ้งทุก 1-4 ปี ]

สายทำครัวฟังทางนี้! บางคนซื้อเครื่องเทศ สมุนไพรเป็นขวดๆ มาวางไว้ในห้องครัวตั้งแต่ปีมะโว้ บางเมนูไม่ค่อยได้ทำ ขวดก็วางเก่าเก็บฝุ่นขึ้นไว้ในตู้ บางทีผ่านไปหลายปีเพิ่งขุดเอามาทำอาหาร #กุมขมับ แต่ข่าวดีของเครื่องปรุงเหล่านี้คือ ถ้าเก็บปิดฝาอย่างดี ไม่มีฝุ่นไปผสมในขวด มันไม่ได้ส่งผลร้ายอะไรกับร่างกายค่ะ แค่รสชาติอ่อนลง และสรรพคุณของสมุนไพรชนิดนั้นๆ จะเสื่อมลงตามกาลเวลาเท่านั้นเอง
5. หมอน [ ควรทิ้งทุก 2-3 ปี ]

ข่าวดีคือริ้นไรที่แอบซ่อนในฟูกนอน จะไม่มีอันตรายกับผิวหนังถ้าเธอไม่ได้เป็นภูมิแพ้ผิวหนัง แต่เพื่อความสะอาดก็ควรเปลี่ยนทุกๆ 2-3 ปี ส่วนหมอน แม้จะไม่มีวันหมดอายุแน่นอน แต่หากเราใช้นอนไปเรื่อยๆ ก็ย่อมมีรอยเปื้อน รอยน้ำลาย มีกลิ่นอย่างแน่นอน ยังไม่รวมถึงเชื้อราหรือฝุ่นที่สะสมอยู่ข้างในอีก เป็นไปได้ก็ควรเปลี่ยนทุก 2-3 ปีเช่นกัน ทั้งนี้ ถ้าอยากยืดอายุหมอนกับฟูก ก็ใช้ปลอกหมอนกับผ้าปูแบบเป็นซิปรูดปิด และซักปลอกกับผ้าปูที่นอนทุกสัปดาห์ ก็ช่วยได้ค่ะ
6. ฟองน้ำ [ ควรทิ้งทุกเดือน ]

ฟองน้ำล้างจานนี่ตัววัดใจเลย ว่าบ้านใครสะอาดจริงๆ! ใช้ล้างจานอยู่ทุกวัน ( หรือเกือบทุกวัน ) ผ่านน้ำยาล้างจานอาบจนชุ่มมากี่สิบกี่ร้อยครั้ง เอาจริงๆ มันสกปรกมากเลยนะ ถึงจะผึ่งให้แห้งแล้วก็เถอะ เอาแค่สภาพตอนเพิ่งซื้อ น้องสะอาดกริบ กับใช้ไปสักสัปดาห์ ก็เห็นคราบสกปรกชัดเจนแล้ว ทั้งแบคทีเรียทั้งเชื้อรา เชื้อโรคทั้งนั้น ถ้าไม่เปลี่ยนบ่อยๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับเอาเชื้อโรคไปขัดจาน แล้วเธอก็เอาจานนั้นมากินอาหารอีกที ไม่รู้สึกแหวะบ้างเหรอ TT
เพื่อความสะอาดของจานอาหารในบ้าน พยายามเปลี่ยนฟองน้ำล้างจานให้ได้ทุกเดือนจะดีมาก หรือถ้ามันเริ่มมีกลิ่น เริ่มมีสีดำๆ เยอะเกินไปแล้ว แปลว่ามีเชื้อโรคปนเปื้อนเกินขีดจำกัด ควรเปลี่ยนทันที ทั้งนี้สาวๆ สามารถชะลออายุฟองน้ำได้ ด้วยการนำเข้าเครื่องล้างจาน หรือไมโครเวฟ กดไฟสูง 1-2 นาที ( เฉพาะฟองน้ำที่ไม่ผสมโลหะนะ เดี๋ยวไมโครเวฟระเบิด! ) ความร้อนจะช่วยฆ่าเชื้อโรคบนฟองน้ำได้ค่ะ
7. รองเท้าผ้าใบ [ ควรทิ้งทุกๆ 5 เดือน ]

สาวๆ บางคนเป็นสายสตรีท ชอบใส่รองเท้าผ้าใบ บางคนซื้อมาเก็บไว้เป็นสิบๆ คู่ เรียกได้ว่าเป็นกรุ แต่ผลัดเปลี่ยนใช้ไม่ทัน พอวันนี้นึกครึ้มมาใช้ เอ้า! ทำไมใส่เดินแล้วเท้าเจ็บ ใส่ไม่สบายเหมือนก่อน อาจเป็นไปได้ว่ารองเท้าคู่นั้นมันเสื่อมสภาพซะแล้วล่ะค่ะ! ไม่ต้องรอให้ด้ายหลุด หรือพื้นรองเท้าเปิดหรอก แค่ใส่แล้วมันไม่รองรับอุ้งเท้าเธอเหมือนเดิม ก็เป็นสัญญาณว่าไม่ควรใส่รองเท้าคู่นั้นอีกแล้วค่ะ โดยเฉพาะสายนักกีฬา อย่าทู่ซี้ใส่เด็ดขาด อาจเกิดการบาดเจ็บได้เลย
ถ้าเธอใส่รองเท้าผ้าใบเดินอย่างน้อย 45 นาที- 1ชั่วโมง เป็นเวลา 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็ควรเปลี่ยนคู่ใหม่ทุกๆ 5 เดือน แต่ถ้าเดินเยอะกว่านั้นก็ควรเปลี่ยนเร็วกว่านั้นอีก เช่น ทุก 3-4 เดือน ถ้าไม่อยากเท้าเคล็ดหรือเป็นโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ วิธีดูอีกแบบคือ ถ้าใส่แล้วรองเท้าไม่แบนเรียบไปกับพื้น เริ่มเอียงเบี้ยว หรือส้นเท้าบีบแล้วหยุ่นๆ กว่าเดิม ก็ถึงเวลาซื้อคู่ใหม่โลด!

--------------------------
เป็นยังไงบ้างคะ อ่านจบถึงตรงนี้แล้ว น่าจะเคลียร์พื้นที่โล่งในบ้านไปได้เยอะเลยสิท่า (」°ロ°)」ขอย้ำว่าทุกอย่างในบทความนี้มันมีอายุการใช้งานหรือ shelf-life เด้อ ไม่ได้ใช้งานไปเรื่อยๆ ได้ตลอดชีวิต! อย่างกกับค่าเล็กๆ น้อยๆ อย่างค่าแปรงสีฟันใหม่ หมอนใหม่ ฟองน้ำใหม่ หรือของที่มีราคาขึ้นหน่อยก็เถอะ จะเป็นเครื่องสำอางหรือรองเท้าผ้าใบแบรนด์เนมมาจากไหน ถ้าหมดอายุแล้วก็ต้องทิ้ง เพราะจากสิ่งที่จะอำนวยความสะดวกหรือความสวยให้เรา มันจะแปรสภาพเป็นกองเชื้อโรค หรือทำให้เราบาดเจ็บแทน ใจแข็งทิ้งไปแล้วซื้อของใหม่มาเปลี่ยนดีกว่า รักษาสุขอนามัยไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าเจ็บป่วยหาหมอในภายหลังนะจ๊ะ สำหรับวันนี้ขอตัวลาไปก่อน จะมีความรู้อะไรมาแชร์อีก ติดตามบทความหน้าน้า บ๊ายบายย